หน่วยกอบกู้จักรวรรดิวอลลาเคียที่กำลังมุ่งหน้าสู่นครหลวงลูปุกาน่าถูกแบ่งออกเป็นรถมกรสามคัน คันแรกสำหรับสมาชิกฝั่งวอลลาเคีย คันที่ 2 สำหรับฝั่งลูกุนิก้า และคันที่ 3 สำหรับขนยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น
สุบารุกับเบียทริซเลือกขึ้นรถมกรคันของฝั่งจักรวรรดิเพื่อสอบถามวินเซนต์ว่าทำไมจักรพรรดิอย่างเขาถึงเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อเข้าร่วมหน่วยจู่โจมด้วย
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้สุบารุรู้ซึ้งดีว่าจุดเด่นของวินเซนต์คือเชาวน์ปัญญา มิใช่ความสามารถในการต่อสู้ เขาจึงลองถามอีกฝ่ายดู แล้วก็ได้คำตอบที่เกินคาดกลับมา
สุบารุ: ห๊ะ? เมื่อกี้พูดว่าไงนะ?
วินเซนต์: ไม่มีบอกซ้ำรอบสามแล้วนะ ――ถ้าหากเป็นประชาชนชาวจักรวรรดิที่รู้จักนับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์มาแล้วล่ะก็ ข้าสามารถแยกแยะชื่อกับใบหน้าได้ทุกคน
สุบารุ: เสียสติไปแล้วเรอะ เอ็งเนี่ย!?
วินเซนต์: อย่าได้เข้าใจผิด ใช่ว่าจะจำทุกคนในจักรวรรดิได้ ตัวตนที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ อย่าง “ชนเผ่าชูดราค” ที่หลบซ่อนอยู่ในป่าย่อมไม่สามารถระบุตัวได้อยู่แล้ว ฉะนั้น การรู้จักประชาชนชาวจักรวรรดิทุกคนจึงเป็นไปมิได้
นั่นแปลว่าอย่างน้อยๆ วินเซนต์สามารถจดจำชื่อและใบหน้าของทหารจักรวรรดิในกองทัพทุกคนได้
ความทรงจำอันสุดยอดของเขาจึงมีประสิทธิภาพอย่างมากในการใช้อำนาจ “กินดารา” ของสปิก้าเพื่อถอนรากถอนโคนพวกซอมบี้
. ระหว่างที่เบียทริซกับมีเดียมกำลังดูแลสปิก้าอยู่ “ทันซ่า” หนึ่งในสมาชิกหน่วยจู่โจมของฝั่งจักรวรรดิก็เตือนสติสุบารุว่าเขากล่าวหาวินเซนต์แรงไปหน่อย
สุบารุพอรู้ว่าทันซ่าเองก็ไม่ค่อยชอบวินเซนต์นัก เนื่องจากวินเซนต์เคยปฏิเสธการเกี้ยวพาราสีของยอร์น่า แถมเขายังมีท่าทีค่อนข้างเย็นชาต่อเคออสเฟลม
วินเซนต์: ขอบอกไว้ก่อน บุคคลที่เจ้ายอร์น่า มิชิกุเระใคร่ครวญถึงมิใช่ตัวข้า หากแต่เป็นอดีตจักรพรรดิ
สุบารุ: หือ งั้นหรอกเรอะ? ใช่พ่อของนายรึเปล่า?
วินเซนต์: ย้อนไกลกว่านั้นเยอะ ถ้าอยากรู้นักก็ไปถามเจ้าตัวเอาเอง อย่างน้อยก็ยังพอมีโอกาสนั้นอยู่ จริงไหม ยัยหนู
ทันซ่า: ――ค่ะ กระทั่งตอนนี้ก็ยังสัมผัสถึงพลังของท่านยอร์น่าได้
ทันซ่ายังคงสัมผัสพลังที่เธอได้รับมาจากวิชาคงคงของยอร์น่าผ่านดวงตาได้ แปลว่าอย่างน้อยยอร์น่าก็ยังมีชีวิตอยู่
กระนั้นสถานการณ์ในนครหลวงก็ยังน่าปัญหาห่วง เนื่องจากว่าพวกสุบารุไม่สามารถล่วงรู้ถึงสถานะของยอร์น่า พริสซิลล่า อัล และเซซิลุสได้เลย
. สุบารุมองสำรวจสมาชิกหน่วยจู่โจมฝั่งจักรวรรดิแล้วรู้สึกว่ากำลังรบมันดูด้อยกว่าฝั่งลูกุนิก้าแปลกๆ
ฝั่งราชอาณาจักรมีทั้งตัวเขากับเบียทริซ เอมิเลีย สปิก้า รอสวาล และการ์ฟีล รวมถึงฮาริเบลที่อนาสตาเซียส่งมาช่วยเป็นกำลังเสริม
ในขณะที่ฝั่งจักรวรรดิมีเพียงวินเซนต์ มีเดียม และจามาลที่พึ่งถูกเลื่อนยศขึ้นเป็น “แม่ทัพตรี” ซึ่งกำลังรับบทเป็นผู้คุ้มกันสารถีอยู่ในตอนนี้
จริงอยู่ว่ามีเดียมและจามาลนั้นแกร่งกว่าทหารจักรวรรดิทั่วไป แต่ทั้งสองคนไม่สามารถเทียบระดับกับการ์ฟีลได้เลย
อีกอย่างสุบารุนับทันซ่าเป็นคนของฝั่งเขาด้วย แต่พอพูดเล่นๆ ไปเช่นนั้น เขาก็โดนทันซ่าตบไปทีข้อหาลามปามเกินไป
ตอนนั้นเองที่ “ผู้เฒ่าอำมหิต” โอลบาร์ต ดันคลูเคน ปรากฏตัวขึ้นมาหัวเราะ “คั่กๆๆๆ” แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งทำให้สุบารุตกใจร้องเสียงหลงจนต้องกอดเบียทริซไว้
เบียทริซ: สุบารุ ใจเย็นก่อนสิยะ ก็แค่คนแก่ตัวจิ๋วโผล่มาเองกระมัง
สุบารุ: ถ้าจู่ๆ มีคนแก่ตัวจิ๋วโผล่ออกมาล่ะก็ มันก็เป็นได้แค่คุณโอลบาร์ตไม่ก็หนังเฮอเรอร์(หนังผี)ญี่ปุ่นเท่านั้นแหละ! จุดร่วมก็คือจะอย่างไหนก็น่ากลัว! งานเข้าล่ะ! นี่มันบ้าไปแล้ว!
โอลบาร์ต: โอ้โห พล่ามน้ำไหลไฟดับเลยนะ ไอ้หนูคนนี้ ยังตัวจิ๋วไม่เปลี่ยนเลยน้อ สบายดีหรือเปล่าล่ะ?
สุบารุ: ความผิดใครกันเล่าที่ทำให้คนอื่นเขาตัวจิ๋วน่ะ! ก็สบายดีเฟ้ย! แล้วทางนั้นล่ะ!
โอลบาร์ต: ข้าเองก็สบายดีน้อ ก็แค่เสียแขนขวาไปเท่านั้นเอง~
พอโอลบาร์ตโบกแขนข้างที่กุดเพราะความผิดของสุบารุให้ดู เขาก็ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร ช่างเป็นการเอาเปรียบความรู้สึกผิดของผู้อื่นที่เจ้าเล่ห์เหลือเกิน
. วินเซนต์สั่งให้สุบารุกับโอลบาร์ตไปจัดการความบาดหมางกันนอกรอบ ตอนนี้เขาต้องการทราบว่าโอลบาร์ตเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันหรือยัง
โอลบาร์ต: ในนครหลวงจักรวรรดิมีผู้ใช้วิชาควบคุมคนตายอยู่ ก็เลยจะมุ่งหน้าไปสังหารเจ้านั่นใช่ไหมน้อ? จินตนาการได้เลยน้อ ว่าเจ้ากอซคงร้องห่มร้องไห้ที่ถูกฝ่าบาททิ้งเอาไว้ ออกจะน่าสงสารเนอะ?
วินเซนต์: เจ้านั่นมีบทบาทที่เจ้านั่นเท่านั้นสามารถทำได้อยู่ แน่นอนว่าเจ้าเองก็เช่นกัน
โอลบาร์ตบ่นว่าวินเซนต์ใช้งานคนแก่อายุเกิน 90 อย่างเขาซะหนัก วินเซนต์จึงออกปากว่าถ้าหากโอลบาร์ตอยากจะเกษียณจริง เขาจะอนุมัติให้หลังจบศึกนี้
วินเซนต์ถือโอกาสนี้ออกคำสั่งให้โอลบาร์ตปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่และกำชับมิให้เขาเผลอหลุดพฤติกรรมเจ้าเล่ห์ออกมาเด็ดขาด
เนื่องจากวินเซนต์กับสุบารุรู้ดีว่าโอลบาร์ตสามารถกลายเป็นตัวปัญหาได้ขนาดไหน เขาจึงต้องดักคอไว้ก่อน เพราะหากว่าโอลบาร์ตอาละวาดขึ้นมา ไม่มีใครในรถขบวนนี้ที่จะหยุดตาเฒ่าได้เลย
คำสั่งของวินเซนต์ทำให้โอลบาร์ตนิ่งเงียบไปสักพัก สุดท้ายตาเฒ่าก็ยอมรับปาก เขาสารภาพว่าแปลกใจที่กระทั่งวินเซนต์ยังเปลี่ยนไปได้
. พอโล่งใจที่วินเซนต์ระงับความเสี่ยงจากโอลบาร์ตลงได้ ทันซ่าก็ถือโอกาสถามยืนยันว่าโอลบาร์ตเป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยจู่โจมด้วยหรือไม่
โอลบาร์ตยืนยันว่าถูกต้องตามนั้น แถมนอกจากเขาแล้ว ในนครหลวงลูปุกาน่าก็ยังมีโมโกรและเซซิลุสอยู่อีก ทันซ่าเสริมอีกว่ายอร์น่าก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
สุบารุพึ่งนึกออกว่าตอนที่อยู่นครมารเคออสเฟลม ทันซ่ากับโอลบาร์ตเคยแอบรวมหัวกันเล่นงานพวกสุบารุ ปัจจุบันความสัมพันธ์ของทั้งสองคงซับซ้อนน่าดู แต่ตอนนี้มิใช่เวลาคำนึงถึงความบาดหมางเก่า
จากที่ทั้งสองคนพูดมา กำลังรบของฝั่งจักรวรรดิเริ่มตีตื้นฝั่งลูกุนิก้าขึ้นมาแล้ว พอนับรวมโอลบาร์ต โมโกร เซซิลุส และยอร์น่าเข้าไปด้วย
สุบารุ: แต่ทางนี้เองก็มีคุณฮาริเบลอยู่ด้วย ต่อให้นับรวมพวกเซสซี่ พวกชั้นก็ยังได้เปรียบอยู่เล็กน้อย… แต่จะว่าไป เซสซี่เองก็นับเป็นพวกพ้องของชั้นนี่นา
วินเซนต์: คิดว่าสามารถสวมปลอกคอให้เจ้านั่นได้งั้นหรือ? หากคิดเช่นนั้น ก็แปลว่าเจ้ามิได้เข้าใจเจ้านั่นอย่างลึกซึ้งเลย
โอลบาร์ต: อา~ เจ้าฮาริเบลอยู่ด้วยสิน้า~ หมอนั่นเป็นชิโนบิคนเดียวในโลกใบนี้ที่แกร่งยิ่งกว่าข้า ก็เลยไม่ชอบขี้หน้ามันเอาซะเลยน้อ
. ที่จริงสุบารุยังอยากถามเรื่องที่มีเดียมกลายเป็นผู้มีสิทธิ์ขึ้นเป็นมเหสีได้ยังไง แต่เรมบอกเขาก่อนลากันแล้วว่ามีเดียมจะเล่าให้ฟังอีกทีหลังกลับมาถึงเอง
ตอนนั้นเองที่จามาลเปิดหน้าต่างฝั่งสารถีมาทักขึ้นว่ารถมกรใกล้ถึงจุดผลัดเปลี่ยนซึ่งจะมีการจอดรถพักชั่วคราวแล้ว
พอไปถึงจุดผลัดเปลี่ยน สุบารุกะจะกลับไปรวมกลุ่มกับพวกเอมิเลีย แต่ก่อนหน้านั้น เขายังเหลือเรื่องคาใจเกี่ยวกับจามาลอยู่อีกเรื่อง
สุบารุ: เฮ้ย พอดีบังเอิญได้ยินมา นี่นายกะจะไปตายเพื่อคุณคาชัวอย่างงั้นเหรอ?
จามาล: หา? ถ้าใช่แล้วจะทำไมวะ ไอ้เด็กเปรต?
สุบารุ: ไม่ใช่อะไรหรอก แค่คิดว่ามันแปลกน่ะสิ คุณคาชัวยังเศร้าไม่หายที่เสียคู่หมั้นไปแท้ๆ คิดว่าเธอจะรู้สึกยังไงถ้าครอบครัวดันมาตายเพิ่มอีกคนน่ะ
สุบารุไม่พอใจที่จามาลออกอาการสมองวอลลาเคียขนาดนั้น เขาจึงอยากให้จามาลเปลี่ยนใจและสาบานว่าจะรอดกลับไปหาคาชัวให้ได้
จามาล: ถ้าเกิดข้าตาย คาชัวจะร้องไห้เรอะ? เรื่องนั้นมันสำคัญตรงไหนกัน สิ่งสำคัญคือตอนที่ตายข้าสามารถรับใช้ฝ่าบาทและประเทศชาติได้ดีแค่ไหน และจะได้รับเงินชดเชยหรือเปล่าต่างหาก
สุบารุ: เพราะงั้นเองเหรอ ความภาคภูมิมันทำให้พวกนายไม่เห็นคุณค่าของชีวิต…
จามาล: ไอ้เด็กเปรต เอ็งมันไม่รู้อะไรเลยโว้ย! ยัยนั่นเป็นผู้หญิงที่ยืนไม่ได้ แถมมีลูกก็ยังไม่ได้! นอกจากเจ้าท็อดด์มันก็ไม่มีผู้ชายคนไหนที่คิดจะรับเธอไปดูแลอีกแล้วว้อย! คาชัวต้องมีเงินถึงจะอยู่รอดได้!
จามาลประกาศลั่น พลางมองข้ามสุบารุไปหาวินเซนต์ที่ยืนอยู่ข้างหลังแทน
จามาล: ตอนนี้ข้าเป็นแม่ทัพตรีแล้ว หากสามารถทำตัวเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทที่นี่ได้ล่ะก็ เวลาที่ตายก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นแม่ทัพโท เพียงเท่านั้นคาชัวก็จะปลอดภัย ตัวข้าน่ะในฐานะพี่ชายของคาชัวแล้ว ตายไปยังจะมีประโยชน์มากกว่ามีชีวิตอยู่เสียอีก!
สุบารุ: ――อึก
. คำตอบที่จริงจังและดุดันของจามาลทำให้สุบารุอ้ำอึ้งไป ไม่มีใครในที่นั้นกล้าเอ่ยปากหักห้ามตรรกะของจามาล ทั้งมีเดียม วินเซนต์ และโอลบาร์ต
เนื่องจากความเห็นของจามาลมันสมเหตุสมผลตามวิถีจักรวรรดิ แต่สุบารุเห็นต่างออกไป จามาลควรที่จะรอดกลับมา ได้รับการเลื่อนยศ แล้วใช้เงินเดือนของเขาดูแลคาชัวต่างหาก
สุบารุ: ถ้าหากเงินเดือนที่อาเบลจ่ายให้ “แม่ทัพ” มันไม่ได้น้อยเกินไป มันก็ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว ――ตัดสินใจแล้วเฟ้ย จามาล
จามาล: หา? ยังมีอะไรจะว่าอีก…
สุบารุ: แผนการสำหรับอนาคตของนายน่ะ ไม่ว่ายังไง ชั้นก็จะหยุดมันให้จงได้ ――ไม่ว่ายังไง ก็ไม่ปล่อยให้ตายหรอกเฟ้ย แกน่ะ
คำประกาศท้าทายของสุบารุทำให้วินเซนต์พ่นลมหายใจทางจมูก โอลบาร์ตหัวเราะลั่น ทันซ่ากอดอกแน่น มีเดียมเบิกตากว้าง ส่วนจามาลก็จ้องเขม็งใส่เด็กสามคนที่ยืนเรียงกันพร้อมเพรียง
จามาล: เป็นเด็กที่น่าขนลุกชะมัดเลยเฟ้ย เอ็งเนี่ย
สุบารุ: เพื่อนของแกก็เคยพูดแบบเดียวกันไว้ ――แต่ไม่คิดจะหยุดหรอกนะ
หลังการแลกเปลี่ยนนั้น จามาลก็ปิดหน้าต่างลงและกลับไปทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเพื่อเตรียมจอดรถมกรต่อ
สุบารุ: ยอมตายเพื่อช่วยคนอื่นบ้าบออะไรกัน เรื่องแบบนั้นน่ะ――
การกระทำที่มีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานเช่นนั้น นัตสึกิ สุบารุตั้งมั่นที่จะหยุดยั้งมันอย่างสุดชีวิต หัวใจของเขาเจ็บปวดยามที่ครุ่นคิดถึงมันเสมอ จนอยากให้รถมกรไปถึงที่หมายเร็วๆ
. ตัดไปทางฝั่งนครหลวงจักรวรรดิลูปุกาน่าซึ่งมีเมฆดำบดบังท้องฟ้า ผู้รอดชีวิตในเมืองบางคนยังคงหลบซ่อนอยู่และบางคนก็พยายามต่อสู้กับผีดิบ
แต่ในไม่ช้า ผู้ที่จับอาวุธขึ้นสู้ก็ต้องนึกเสียใจ เนื่องจากผีดิบที่พวกตนต่อสู้สามารถคืนชีพกลับมาได้อย่างไม่สิ้นสุด เหล่าคนกล้าจึงตายก่อนใครเพื่อน กลายเป็นการเพิ่มกำลังรบให้ผีดิบ
นครหลวงกลายเป็นนครวังวนแห่งความตาย ภาพลักษณ์แห่งความสิ้นหวังที่ยิ่งมีคนตายก็มียิ่งมีผีดิบเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
กระนั้นกลับยมีหนุ่มน้อยผมสีน้ำเงินในชุดสไตล์ญี่ปุ่นคนหนึ่งยืนกล่าวชื่นชมสภาพปัจจุบันของนครหลวงอยู่ท่ามกลางกลิ่นเน่าเสียที่โชยไปทั่ว
หนุ่มน้อยผู้อยู่เหนือสามัญสำนึกคนนี้มีดวงตาสีน้ำเงินที่รื่นเริงอยู่เสมอ แถมดวงตาของเขายังปราศจากความกลัวนับตั้งแต่ที่เกิดมา
หนุ่มน้อยมั่นใจว่าตัวเขาสามารถสังหารผีดิบทุกตัวในเมืองเพื่อสร้างเป็นผลงานระดับเลเจนดารี่(เป็นตำนาน)ได้
เซซิลุส: แต่ทำไมกันน้า? รู้สึกว่าขืนทำแบบนั้นไปเนื้อเรื่องคงเดินหน้าต่อแบบไม่ถูกทางเท่าไหร่!
. หนุ่มน้อยมีความสามารถล้างบางผีดิบทั้งเมืองอยู่จริงๆ แต่เขาครุ่นคิดไม่ตกเสียทีว่าเหตุผลอะไรกันที่ทำให้เขาสังหรณ์ใจว่าไม่ควรทำเช่นนั้น
เซซิลุส: ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี คุณมีความเห็นยังไงกับเรื่องนั้นบ้างครับ?
อัล: ไม่เข้าใจ…เลยเฟ้ย แต่ว่า…
เซซิลุส: ครับผม
อัล: …ก่อนที่จะถามเรื่องนั้นช่วยดึงชั้นขึ้นมาก่อนไม่ได้เรอะ?
ที่ข้างๆ หนุ่มน้อยที่ก้มลงมามองมีชายสวมหมวกเหล็กกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ตรงขอบหลังคาด้วยการใช้แขนที่มีเพียงข้างเดียวยึดเอาไว้อย่างสุดชีวิต
เซซิลุส: ไม่ได้สิครับ คุณอัล ในเมื่อยังไม่รู้เลยสักนิดว่าคุณเป็นใครกันแน่ เลยยังไม่แน่ใจว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งในฮิสตอรี่ของผมหรือเปล่าน่ะ!
อัล: อา แม่งเอ๊ย นี่มันเลวร้ายที่สุดเลย…
. จบตอน