ไฮน์เคลค่อยๆ เปิดบานประตูเข้าไปสำรวจในบ้านริมถนนหลังหนึ่งภายในนครหลวงลูปุกาน่าอย่างเงียบเชียบ เพื่อระวังมิให้พวกผีดิบบริเวณนั้นกรูกันมาตามเสียง
นอกจากมือข้างที่กุมดาบแล้ว ขณะนี้มือข้างเหลือของเขายังต้องคอยประคอง “สัมภาระ” เอาไว้ด้วย ไฮน์เคลจึงอยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุด
ภายในบ้านมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง และที่ห้องด้านในก็มีศพที่พึ่งตายได้ไม่นานของหญิงชราและชายหนุ่มอยู่ ทั้งสองน่าจะถูกฆ่าโดยผีดิบที่ไฮน์เคลพึ่งสังหารไปก่อนเข้าบ้าน
เหยื่อทั้งสองคนน่าจะเป็นแม่ลูกกัน ไฮน์เคลคาดเดาว่าฝ่ายแม่น่าจะแก่ชราเกินกว่าจะอพยพได้ ลูกชายจึงคอยอยู่ปกป้องแม่จนตายตกตามกันไป
ไฮน์เคลเก็บดาบพลางรำพึงว่าหากเขาตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแบบชายหนุ่ม ตัวเขาจะกล้าต่อสู้เพื่อปกป้องครอบครัวจนตัวตายไหม
แต่สุดท้ายเขาก็ปัดตกความคิดนั้นทิ้งไป เนื่องจากไฮน์เคลรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าคนน่าสมเพชอย่างเขาคงเหลือวิ่งหนีหางจุกตูดและทิ้งครอบครัวเอาไว้
โลอัน: เฮ้ยยย ผมแดง! หายหัวไปอยู่ไหนน่ะขอรับ!? ตัวเราเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วนะขอรับ!
ไฮน์เคลมองออกไปนอกหน้าต่างตามเสียงเรียกและเห็นภาพของชายขี้เมาที่ตะโกนเสียงดังกลางเมืองผีดิบอย่างไร้ความเกรงกลัว
ที่ข้างๆ ของชายขี้เมามีเด็กน้อยในชุดสไตล์วะโซคล้ายกันอยู่ด้วย เจ้าเด็กน้อยเรียกชายขี้เมาว่า “คุณพ่อ” แถมยังส่งเสียงดังโหวกเหวกพอกันอีกต่างหาก
ในขณะเดียวกันมนุษย์สุนัขที่ตัวเขาเข้าใจว่าพกมันมาเป็นอาหารฉุกเฉินก็เริ่มนอนดิ้นอยู่ในอ้อมแขน ไฮน์เคลที่เริ่มสร่างเมารู้สึกปวดหัวจนต้องถอนหายใจออกมา
. ไฮน์เคลที่ไปรวมตัวกับสองพ่อลูกได้พบกับสหายที่ไม่คาดคิด เนื่องจากอีกฝ่ายเองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอไฮน์เคลในนครหลวงจักรวรรดิเช่นกัน
อัล: เอาจริงดิ คาดไม่ถึงเลยว่านายจะยังอยู่ในนครหลวงจักรวรรดิอีกนะเนี่ย คุณไฮน์เคล นึกว่าหนีไปตั้งนานแล้ว หรือไม่ก็…
ไฮน์เคล: หรือไม่ก็ตายไปแล้วใช่มั้ยล่ะ? ทางนี้ก็สงสัยแบบเดียวกันนั่นแหละ อัลเดบารัน
อัล: เรียกแค่ “อัล” ทีเถ้อ~
อัลแจ้งข่าวให้ไฮน์เคลทราบว่าคุณหญิงพริสซิลล่าถูกศัตรูจับตัวไป เพราะงั้นอัลถึงได้อยู่ต่อในนครหลวงและบังเอิญไปเจอกับสองพ่อลูกเข้า
ในระหว่างนั้น ลูกชายของโลอันที่แนะนำตัวว่า “เซซิลุส” ก็กำลังจ้อกับพ่อของตนพลางกัดเนื้อแห้งที่ถือวิสาสะขโมยจากโกดังมากินอยู่
ไฮน์เคล: ――เซซิลุส เซ็กมุนต์ “อัสนีสีฟ้า” แห่งวอลลาเคีย
ไฮน์เคลรู้จักนามและฉายานั้นเป็นอย่างดี มันคือชื่อของเก้าแม่ทัพเทวะ “ลำดับหนึ่ง” มนุษย์ที่สังหารมนุษย์ด้วยกันไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์
เซซิลุส เซ็กมุนต์ คือบุคคลผู้ที่เลื่องลือกันว่าแข็งแกร่งพอๆ กับ “นักดาบเทวา” แห่งราชอาณาจักรลูกุนิก้า
รูปลักษณ์ภายนอกของเซซิลุสอาจจะเป็นเพียงเด็ก 11-12 ขวบ แต่ไฮน์เคลรู้ดีว่าอายุนั้นไม่มีผลกับผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
เนื่องจากตัวไฮน์เคลเองเคยดวลดาบพ่ายแพ้ “ไรน์ฮาร์ด” บุตรชายของเขาตั้งแต่ตอนที่ไรน์ฮาร์ดยังอายุไม่ถึง 6 ขวบเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น ไฮน์เคลจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าโลอันมีมุมมองเช่นไรต่อชื่อเสียงและฝีมือดาบที่แข็งแกร่งผิดมนุษย์มนาของเซซิลุส
. เซซิลุสสงสัยว่าโลอันคือผู้ที่จับเขาไปปล่อยที่เกาะทาสดาบกินุนไฮฟ์เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กลายเป็นตำนานของที่นั่นหรือเปล่า
โลอันปฏิเสธว่าการไปที่เกาะทาสดาบซึ่งใช้การฆ่าฟันเป็นมหรสพมีแต่จะทำให้เซซิลุสเข้าถึงวิถีแห่ง “ดาบสุราลัย” ได้ช้าลงเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆ โลอันก็กวาดสายตาดูเซซิลุสจากหัวจรดเท้า ซึ่งฝั่งลูกชายก็หมุนตัวให้พ่อได้เห็นทั้งด้านหน้าและหลังอย่างร่าเริง
เซซิลุส: มีอะไรเหรอครับ? ถึงจะไม่ได้เจอกันนาน แต่ความเจิดจรัสในฐานะดารานำแสดงเด่นของผมก็น่าจะลืมได้ยากนี่ครับ
โลอัน: ไม่ใช่เรื่องนั้น เดี๋ยวนะๆ ลูกพ่อ! นี่เจ้าเอา “มุราซาเมะ” กับ “มาซายูเมะ” ไปไว้ที่นี่ไหนกัน? ผลงานชิ้นเอกขนาดนั้น ไม่ควรเผลอปล่อยให้อยู่ห่างเอวเลยนะ
เซซิลุส: ผลงานชิ้นเอกที่ว่านี่เป็นคาตานะเหรอครับ? พูดถึงเรื่องอะไรครับเนี่ย ผมกับคุณพ่อแอบตกลงกันไว้แล้วนี่ว่าจะไม่อนุญาตให้พกคาตานะจนกว่าจะเจอคาตานะเล่มที่เหมาะสมน่ะครับ น่าเสียดายที่ผมยังไม่เจอดาบเลื่องชื่อสักเล่ม ก็เลยตัวเปล่างี้ไงครับ พริ้วๆ
โลอัน: หืออออออ อ๊ะ …พอดูดีๆ แล้วเริ่มเห็นอะไรแปลกๆ เซซิลุส นี่เจ้าตัวหดลงไม่ใช่เรอะนั่น!
อัล: นี่เพิ่งจะรู้ตัวเองเรอะ!?
อัลที่ฟังบทสนทนาระหว่างพ่อลูกดูจะตกใจกว่าโลอันเสียอีก ใครจะไปคิดว่าเขาจะสังเกตเรื่องที่ดาบของลูกชายหายไปได้ก่อนเรื่องขนาดตัวที่เปลี่ยนไปเสียอีก
. อัลพยายามปรับความเข้าใจกับสองพ่อลูก โดยต้องแลกกับความปวดหัว เนื่องจากโลอันกับเซซิลุสมีตรรกะเพี้ยนๆ คุยยากทั้งคู่
อัลอธิบายว่าเซซิลุสถูกใครบางคนย้อนวัยให้เด็กลง โดยที่อัลพอจะรู้วิธีย้อนอายุคืน เพียงแต่ว่าเรื่องนั้นมันจำเป็นต้องพึ่งตาเฒ่าชิโนบิคนหนึ่ง
อัล: ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอยู่ในไซส์นี้ไปก่อน …ทำไมนายถึงไม่รู้ตัวตั้งแต่แรกเห็นว่าลูกชายตัวหดลงฟะเนี่ย
โลอัน: ก็คงเพราะไม่ว่าลูกชายจะตัวใหญ่หรือตัวเล็กมันก็เป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับตัวเราล่ะม้าง~
อัล: เฮ้ยๆ นี่เป็นรายการชิงตำแหน่งพ่อยอดแย่รึไง? พ่อของผู้แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละประเทศเป็นงี้หมดเลยเรอะ?
ไฮน์เคลอาศัยจังหวะนั้นหันไปถามว่าเซซิลุสรู้ตัวเรื่องที่ตัวเองตัวหดลงไหม ซึ่งเซซิลุสตอบว่าเขาไม่รู้ตัวเลยและไม่แคร์เท่าไหร่ด้วย
เนื่องจากเซซิลุสมองว่าเหตุการณ์ตัวหดของเขาเป็น “การใบ้ล่วงหน้า” ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
. โลอัน: มิน่าล่ะ เช่นนั้นเองสินะ ก็สงสัยว่าทำไมถึงได้แสดงท่าทีปกติตอนที่ได้เจอกับตัวเราน่ะขอรับ ถึงอย่างไร เราก็แยกทางกันในสภาพนั้นล่ะนะขอรับ
เซซิลุส: อื้อหือ? จำไม่ค่อยได้ซะด้วยสิว่าตัวผมกับคุณพ่อแยกทางกันเพราะอะไร――
กรูวี่: ――ก็เพราะว่าไอ้ห่านี่คือไอ้เวรตะไลที่แม่งคิดจะลอบสังหารฝ่าบาท เลยต้องโดนเชือดทิ้งไงล่ะวะ
ตอนนั้นเองที่มนุษย์สุนัขซึ่งนอนอยู่บนพื้นมาสักพักตื่นขึ้นมาจ้องเขม็งใส่โลอัน
กรูวี่: ไอ้ห่าที่ควรจะตายไปแล้วดันยังมีชีวิตอยู่ ชั้นเองก็โคตรแปลกใจเหมือนกันล่ะวะ ไหนจะเรื่องที่ไอ้ง่าวเซซิลุสลงมือพลาดแบบเกินคาดอีก
เซซิลุส: โอ๊ะ ตื่นแล้วเหรอครับ คุณหมา โฮ่งโฮ่ง โล่งอกไปทีที่ไม่เป็นอะไรนะครับเนี่ย
กรูวี่: เอ็งนี่ยังเป็นไอ้ง่าวคนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ ไอ้เวรเอ๊ย!
โลอันอาศัยจังหวะนั้นแนะนำให้อัลกับไฮน์เคลได้รู้จักกับ “กรูวี่ กัมเล็ต” มนุษย์สุนัขสายพันธุ์ไฮยีน่าผู้เป็นหนึ่งในเก้าแม่ทัพเทวะและเพื่อนร่วมงานของเซซิลุส
ไฮน์เคลอึ้งไปเลยเนื่องจากที่ผ่านมาโลอันบอกเขาแค่กรูวี่เป็นบุคคลสำคัญ ไฮน์เคลที่ตอนนั้นยังเมาค้างเลยถือกรูวี่เหมือนเป็นสัมภาระและกะจะใช้เป็นโล่ป้องกันผีดิบยามฉุกเฉินด้วยซ้ำ
แต่อย่างน้อยมันก็แปลว่าตอนนี้กลุ่มของไฮน์เคลก็มีเก้าแม่ทัพเทวะมารวมตัวกันสองคนแล้ว ถึงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะตัวหดลงก็ตาม
. อัลยังคงเคลือบแคลงใจเรื่องที่โลอันเคยคิดลอบสังหารองค์จักรพรรดิ ถึงแม้จะรู้กันดีว่าผลลัพธ์มันออกมาล้มเหลวก็ตาม
โลอันพยายามแก้ต่างว่าตัวเขาเองไม่ได้คิดจะลอบสังหารจักรพรรดิ แต่แค่กะจะให้เซซิลุสเป็นคนลงมือฆ่า ซึ่งเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด
พอไฮน์เคลสงสัยว่าสองพ่อลูกมีเอี่ยวในแผนลอบสังหารจักรพรรดิกันหมด กรูวี่ก็ขัดขึ้นว่าเซซิลุสไปดันโพล่งแผนการของพ่อตัวเองให้วินเซนต์ฟัง
จักรพรรดิวินเซนต์จึงได้ส่งเซซิลุสไปเก็บโลอัน ซึ่งเซซิลุสลงมือพลาดได้อย่างไรนั้น ทุกวันนี้กรูวี่ก็ยังสงสัยประเด็นนั้นไม่หาย
ไฮน์เคล: ผมน้ำเงิน ทำไมแกถึงได้วางแผนลอบสังหารจักรพรรดิกันล่ะ? มีจุดประสงค์จะล้มล้างประเทศรึไง?
โลอัน: ฮ่าฮ่าฮ่า ผมแดง อย่าพูดอะไรแปลกๆ สิ จุดประสงค์น่ะเรียบง่ายมาก ถ้าหากลูกชายเราลงไม้ลงมือกับองค์จักรพรรดิแล้วล่ะก็ ทั้งจักรวรรดิย่อมกลายเป็นศัตรูของลูกชายเราจริงไหมขอรับ
ไฮน์เคล: เรื่องนั้นมันก็…ถูกแหละนะ?
โลอัน: นั่นแหละคือจุดประสงค์ขอรับ สถานการณ์ที่ทหารจักรวรรดิอาจเข้ามาจู่โจมได้ตลอดไม่ว่ากินหรือนอนอยู่… การได้ฝึกฝนวิชาดาบระหว่างความเป็นกับความตาย สภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยมขนาดนี้หาอะไรแทนไม่ได้อีกแล้วขอรับ!
ไฮน์เคล: …
เซซิลุส: อ้อ อ้อ อ้อ เข้าใจล่ะๆ อย่างนี้เองสินะครับ! ถึงผมจะยังจำไม่ได้ แต่มั่นใจว่าคุณพ่อต้องให้ผมทำอะไรแบบนั้นแน่นอนครับ ทำทุกหนทางเพื่อให้เข้าถึง “ดาบสุราลัย”!
โลอัน: พรสวรรค์ดาบของลูกน่ะเป็นของจริงแน่นอนขอรับ… กระนั้น ลูกก็ยังมาถึงเพดานก่อนที่จะเข้าถึง “ดาบสุราลัย” อยู่ดี เพราะอย่างงั้นถึงต้องบังคับให้บากบั่นกันหน่อย เพื่อที่จะได้กระเทาะเปลือกออกมาไงล่ะขอรับ
เซซิลุส: ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีความรักฉันท์พ่อลูกเลยสินะ! ถ้าคุณพ่อยังมีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์แบบนั้นอยู่ คงไม่ฆ่าลูกไป 5-6 คนก่อนที่ผมจะเกิดมามีพรสวรรค์หรอกเนอะ
. เสียงหัวเราะของสองพ่อลูกซึ่งขัดกับเนื้อหาที่คุยทำให้กรูวี่นิ่วหน้า อัลยืนเกาคอเงียบๆ ส่วนไฮน์เคลนั้นรู้สึกเวียนหัวจนเผลอถอยหลังไปชนกำแพง
ความสัมพันธ์พ่อลูกของโลอันกับเซซิลุสมันแปลกประหลาดเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้
ไฮน์เคลหลงนึกว่าโลอันจะเป็นเหมือนตัวเขา ทว่า ความเห็นอกเห็นใจที่เคยมีให้มันเลือนหายไปจนหมดสิ้นในทันที
โลอันคิดจะสังหารจักรพรรดิ ถูกลูกชายหักหลัง ถูกสั่งฆ่า กลายเป็นทรชนจนเสื่อมเสียชื่อเสียงไปหมด แต่แล้วทำไมเขายังยิ้มไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้อีก
จริงอยู่ว่าไฮน์เคลเคยตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันที่บ้านเกิด เนื่องจากเขาถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวเชื้อพระวงศ์ทั้งที่ไม่ได้ทำ
แต่กรณีของโลอันมันเกินเหตุไปอีกระดับเลย กระทั่งอัลยังเห็นพ้องว่าหมอนี่มันสมองเพี้ยนไปแล้ว
. อัลพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาว่าทั้ง 5 คนควรรวมกลุ่มกันไว้ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายบางอย่างในนครหลวงลูปุกาน่าอยู่แล้ว
กรูวี่ไม่คัดค้าน เนื่องจากเขาไม่อยากถูกทิ้งไว้กับคู่พ่อลูกเพี้ยน แถมเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าวินเซนต์คิดจะเดินเกมต่ออย่างไร
เซซิลุสเองก็ไม่คัดค้าน เนื่องจากเขาทึ่งในความสามารถการตัดสินใจของอัลช่วงที่ทั้งสองปะทะกับซอมบี้พลซุ่มยิงล่องหนก่อนหน้านี้
อัล: แบบนั้นคงช่วยได้เยอะเลย ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว ช่วยเลิกพยายามที่จะฆ่าชั้นตามใจชอบทีเถอะ ต่อให้มีกี่ชีวิตมันก็คงไม่พอหรอกนะว้อย
เซซิลุส: ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ! ไนซ์โจ๊ก!
อัล: ไม่ใช่โจ๊กโว้ย
อัลหันไปชวนโลอันด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่เป็นมิตร เนื่องจากคะแนนความประทับใจที่มีต่อโลอันค่อนข้างติดลบ
จากนั้นอัลก็ชวนไฮน์เคลไปช่วยพริสซิลล่าต่อ เพราะถึงอย่างไรไฮน์เคลก็ต้องหวังนายหญิงพริสซิลล่าเพื่อทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง
เดิมทีพริสซิลล่าดึงไฮน์เคลเข้าฝ่ายเพื่อให้เขาคอยจับตาดูไรน์ฮาร์ดที่อยู่กับพรรคเฟลท์เอาไว้ หน้าที่ด้านการต่อสู้และอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่เธอคาดหวังจากเขาเลย
ที่จริงก่อนหน้านี้ไฮน์เคลได้ยอมแพ้ไปแล้วครั้งหนึ่งยามที่ไปตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างเกินความสามารถของตัวเขา
ไฮน์เคลยอมแพ้ หนีไปก๊งเหล้าย้อมใจ แล้วปล่อยให้โลอันลากเขากลับมาที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เขาก็ยังอยากไขว่คว้าโอกาสที่จะแก้ตัวเอาไว้
ไฮน์เคล: …ลูอันน่า
. ไฮน์เคลยังคงกังขาว่ากลุ่มพวกตนที่มีสมาชิกแค่ 5 คนจะสามารถกอบกู้จักรวรรดิได้เชียวหรือ กรูวี่เห็นด้วยว่าต่อให้มีเขากับเซซิลุสอยู่ก็คงฆ่าผีดิบให้หมดไม่ไหว
เซซิลุส: จะว่าไปผมแนะนำว่าอย่าทำแบบนั้นจะดีกว่านะคร้าบ เหตุผลมาจากลางสังหรณ์ของดารานำแสดงเด่นไงล่ะ!
กรูวี่: หุบปากไปเลยโว้ย!
อัลเสนอว่าพวกตนทั้ง 5 คนไม่จำเป็นต้องเป็นผู้กอบกู้จักรวรรดิ แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้คือการ “ปูเส้นทาง”
อัล: การกอบกู้จักรวรรดิคือหน้าที่ของวีรชน เพื่อการนั้นแล้ว พวกเราก็แค่ต้องสร้างจุดเริ่มดีๆ เอาไว้ให้ สร้างไว้ให้เยอะที่สุด ด้วยทุกอย่างที่พอจะคว้ามาใช้ได้ ยังไงเราก็ไม่รู้ว่าอะไรอาจจะช่วยได้บ้างแหละว้า
เซซิลุส: ――สรุปก็คือเป็นการ “บอกใบ้ล่วงหน้า” สินะครับ!!
ทั้งไฮน์เคล โลอัน และกรูวี่ต่างพากันงงว่าอัลตั้งใจจะสื่ออะไร แต่หนุ่มน้อย “อัสนีสีฟ้า” เห็นพ้องกับแนวทางของอัลอย่างรื่นเริง ซึ่งทำให้คนที่เหลือพากันคล้อยตาม
. จบตอน