webnovel arc8 chapter4

บทที่ 8 ตอนที่ 4 "สัญชาตญาณของนักรบ"

อิซเมล “เนตรยักษ์” คือยอดนักรบผู้เป็นความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูลเผ่าตาเดียว

เขาเข้าร่วมทัพกบฏเพื่อหวังกุดศีรษะวินเซนต์ วอลลาเคีย อีกทั้งยังสามารถนำทัพบุกฝ่าปราการเข้าไปได้คนแรก

แต่สุดท้ายทัพกบฏของอิซเมลก็ถูกเปลวเพลิงกวาดล้าง และตัวอิซเมลเองก็ “ควรจะ” โดนกระสุนปืนใหญ่ศิลามนตรายิงเละไปแล้ว

ทว่า ร่างที่ถูกเผาเกรียมกลับฟื้นคืนกลับมา และดวงตาสีฟ้างดงามของอิซเมลก็กลายเป็นดวงตาสีทองท่ามกลางลูกตาที่ดำสนิท

ร่างที่เย็นชืดของอิซเมลถือขวานศึกเดินไปตามเมืองนครหลวงที่พังเละเทะ โดยมีเพียงความอาฆาตแค้นเป็นแรงผลักดัน

อิซเมล: ――หายหัวไปอยู่ไหนกัน ไอ้สัตว์นรกน่ารังเกียจ

. ในระบบยศทหารของวอลลาเคียนั้น ผู้ที่ไต่เต้าขึ้นเป็นยศ “แม่ทัพ” ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มีฝีมือต่อสู้กล้าแกร่ง น้อยคนจะเป็นประเภทเจ้ากลยุทธ์

และท็อดด์ก็ประเมินว่าอิซเมลน่าจะมีฝีมือเทียบเคียงระดับ “แม่ทัพโท” ได้เลย แปลว่าหากเข้าปะทะตรงๆ ทางสุบารุกับท็อดด์นี่แหละที่จะแตกพ่ายกันหมด

ปัญหาคือศึกระหว่างเมโซเรย์อากับแม่ทัพโมโกรมันจบลงแล้ว โดยที่มังกรเมฆาเป็นฝ่ายที่คำรามฉลองชัยชนะ

ส่วนเทพยักษ์นั้นเข่าสองข้างถูกทำลายจนร่างล้มลงบริเวณพระราชวัง อีกไม่นานอ่างเก็บน้ำก็จะถูกทำลายจนน้ำไหลท่วมนครหลวง

สรุปคือตอนนี้พวกสุบารุถูกบีบให้เลือกระหว่างประจันหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งด้านหน้า หรือถอยกลับไปลองหาทางออกใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่ามีเวลาเหลือพอไหม

มองดูอย่างผิวเผินแล้วอำนาจ “ตายแล้วกลับมา” น่าจะเอื้อต่อการเลือกวิธีอย่างหลัง แต่การหนีโดยที่ไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนรังแต่จะทำให้เสียเวลาเปล่า

สุบารุจึงเริ่มประเมินกำลังรบที่มีอยู่ คนที่ต่อสู้ได้คือสุบารุ เบียทริซ รุย ทันซ่า แล้วก็มีท็อดด์กับอิโดร่าเป็นกำลังเสริม

ซึ่งว่ากันตามตรงในแง่กำลังรบ สุบารุเป็นแค่ตัวแถมของเบียทริซเท่านั้น ส่วนอิโดร่าควรอยู่คุ้มกันเรม คาชัว ฟล็อป และพวกองค์ชายตัวปลอมที่ต่อสู้ไม่ได้มากกว่า

สุบารุกับท็อดด์จ้องตากันชั่วขณะ จากนั้นทั้งสองก็ได้บทสรุปว่าต้องผสานพละกำลังกับปัญญาเข้าด้วยกันเพื่อเอาชนะอุปสรรคในครั้งนี้

สุบารุ & ท็อดด์: ――มาโค่นซอมบี้กันเถอะ

. พอได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น อิซเมลก็โน้มตัวเตรียมเข้าปะทะและกวาดสายตาไปเห็นบ้านทั้งหลังที่ถูกถอนออกมาจากพื้นกำลังลอยมาทางเขา

อิซเมล: ――อ่อนหัด!

แทนที่จะเลือกหนีให้เข้าทางแผนศัตรู อิซเมลกลับตวัดขวานศึกผ่าบ้านทั้งหลังที่ลอยมาจนแหกเป็นสองซีก

แต่ยามที่ฝุ่นควันกำลังตลบอบอวล มีใครบางคนแอบเขวี้ยงก้อนหินเล็งใส่ศีรษะของอิซเมลด้วยความเร็วสูง

ทว่า เผ่าตาเดียวนั้นมีสายตาที่เฉียบแหลมเหนือเผ่าพันธุ์อื่น อิซเมลจึงเอียงคอหลบหินไปได้อย่างไม่ยากเย็น แถมตอนนี้เขาพอจะรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของศัตรูแล้ว

อิซเมลเปิดใช้งานวิชาเนตรของเผ่าตาเดียว ด้วยพลังนี้ อิซเมลสามารถมองเห็นอารมณ์ของผู้อื่นเป็นสีสันได้

ยามที่มองเห็น “สีแดง” ซึ่งเป็นสีแห่งจิตต่อสู้กระจุกตัวกันอยู่ในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ ร่างของอิซเมลก็พรั่งพรูด้วยสัญชาตญาณนักรบในตัว

ไม่มีสิ่งใดที่อิซเมลปรารถนาไปมากกว่าศึกระหว่างนักรบปะทะนักรบอีกแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ถึงได้ถูกผลักดันด้วยแรงอาฆาตเพราะถูกหยามเกียรตินักรบก่อนตาย

. คราวนี้ก้อนหินและบ้านถูกเขวี้ยงมาพร้อมกันเพื่อโจมตีขนาบจากสองทิศทาง กระนั้นอิซเมลก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นการโจมตีของพวกขี้ขลาดเลย

ไม่ใช่แค่บ้านที่อันตราย ก้อนหินเองก็ถูกเขวี้ยงมาด้วยแรงและความแม่นยำที่มากพอจะทำให้กระดูกแตกหักหากโดนเข้าไปเต็มๆ

อิซเมลจึงใช้ขวานศึกผ่าเป็นแนวตั้งเพื่อกำจัดกระสุนบ้านและจามใส่พื้นถนนให้แตกไปพร้อมกัน จากนั้นเขาก็ใช้เท้างัดพื้นถนนขึ้นมาเตะให้กระจายไปทางศัตรู

นั่นไม่ใช่เพื่อโจมตี แต่เป็นการสร้างฝุ่นควันมาบดบังทัศวิสัยของศัตรู เผ่าตาเดียวสามารถมองทะลุม่านควันได้อยู่แล้ว อิซเมลจึงได้เปรียบในสถานการณ์นี้

อิซเมล: ผู้ชายที่โตแล้วกับเด็กสาว――

คราวนี้ อิซเมลเห็นชัดแล้วว่าคนผู้ชายมีหน้าที่ใช้ก้อนหินปาขัด ส่วนเด็กสาวคือคนที่ถอนบ้านทั้งหลังออกมาเขวี้ยงเป็นกระสุน

. แม้ฝั่งศัตรูท่าทางจะไม่ใช่นักรบโดยพื้นฐาน แต่ทั้งคู่ก็เปี่ยมล้นไปด้วยจิตต่อสู้ เพื่อมิให้เสื่อมเสียเกียรติ อิซเมลจึงจำเป็นต้องฆ่าทั้งสอง…

…ต้องฆ่า ต้องฉีกแขนขา ต้องกระชากหัว แล้วก็ดื่มโลหิตจากหัวใจที่ควักออกมา ความกระหายต่อเลือดและความตายมันคลุ้มคลั่งไปหมด

ระหว่างที่ทำลายกระสุนบ้านหลังที่สาม อิซเมลก็มองเห็นใบหน้าของตัวเองผ่านเศษกระจก แล้วก็ได้เห็นว่าเขากำลังแสยะยิ้มอยู่

แถมมันยังเป็นรอยยิ้มกระหายเลือดแบบที่อิซเมลสมัยยังมีชีวิตอยู่ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นเลยสักครั้ง

อิซเมล: ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!

แทนที่รู้สึกรังเกียจรอยยิ้มนั้น อิซเมลกลับหัวเราะลั่นและกระโจนตัวเข้าไปจามขวานผ่ากระสุนบ้านนัดต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว

ท็อดด์: ――มีแค่ตาเดียวระยะมองเห็นเลยแคบอย่างที่คิดสินะ?

ระหว่างที่อิซเมลกำลังสะบั้นกระสุนบ้านหลังที่ 5 ให้แหลก คำเยาะเย้ยของใครบางคนก็ดังมาถึงหู ทว่า มันดันเป็นเสียงของบุคคลที่อิซเมลอาฆาตพยาบาทที่สุด

“ไม่ ไม่ๆๆๆๆๆ ไม่มีทาง”

อิซเมล: ――นี่เอ็ง!!

พอเหลือบไปเห็นทหารผมสีส้มแอบนอนแนบพื้นอยู่ในบ้านที่ถูกทำลาย จิตต่อสู้ของอิซเมลก็แปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหารอันเยือกเย็น

อิซเมลเปลี่ยนการตวัดขวานแนวตั้งเป็นแนวทแยงกลางคันเพื่อผ่าร่างของศัตรูที่เป็นต้นเหตุให้เขา “ตาย” แต่แล้วร่างของทหารคนนั้นกลับเลือนหายไปในพริบตา

เนตรยักษ์ของอิซเมลกวาดสายตาไปเห็นศัตรูคู่แค้นไปโผล่อีกที่หนึ่ง แถมยังมีเด็กสาวผมทองอีกคนที่จับเข็มขัดหนังของมันไว้

. ลางสังหรณ์ไม่ดีมันร้องเตือนตัวเขาไม่หยุดว่าเจ้าศัตรูคนนั้นไม่มีทางมาหยอกล้อเขาในระยะใกล้อย่างประโยชน์ แล้วทันใดนั้นเอง…

อิซเมล: ――อุก!?

ก้อนหินที่ถูกเขวี้ยงมาด้วยความเร็วสูงก็ปะทะเข้าที่ไหล่ซ้ายของอิซเมล แต่แทนที่จะทรมานแสนสาหัสเพราะกระดูกแตก เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด

แขนซ้ายของอิซเมลแตกออกราวกับเป็นแก้ว แต่มันไร้ซึ่งโลหิตและความเจ็บปวด แถมแขนที่แตกไปยังฟื้นคืนกลับมาใหม่อย่างสมบูรณ์ภายในเวลา 2 วินาที

อิซเมลที่รู้สึกหยิ่งพยองสลับขวานศึกมายังแขนซ้ายที่งอกใหม่แล้วลองสะบั้นเศษบ้านที่เหลืออยู่จนแหลก

ระหว่างนั้นศัตรูก็ยังคงกระหน่ำโจมตีเข้ามาด้วยก้อนหิน แต่คราวนี้อิซเมลยื่นมือขวาไปรับหิน ปล่อยให้มือแตกออก เพราะถึงอย่างไรก็ฟื้นคืนกลับมาได้ในพริบตา

อิซเมล: นี่สินะ คือแก่นแท้ของร่างกายนี้…

อิซเมลเข้าใจแล้วว่าร่างกายที่ถูกคืนชีพกลับมาของเขานั้นไร้ซึ่งโลหิต ความเจ็บปวด และดูท่าจะหลีกเลี่ยงได้กระทั่ง “ความตาย”

. อิซเมลกวาดสายตาหาศัตรูอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นชัดเจนว่าไอ้ศัตรูขี้ขลาดมันเคลื่อนย้ายไปโผล่ด้านหลังผู้ชายและเด็กสาวที่โจมตีเขาอย่างหาญกล้าก่อนหน้านี้

การที่สองนักรบร่วมมือกับไอ้ตาขาวทำให้อิซเมลสูญเสียความเคารพนับถือไปจนหมด ทุกอย่างแปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาตพยาบาท

อิซเมล: พวกเอ็งทุกคนต้องชดเชยที่ดูหมิ่นสงครามด้วยชีวิต――

อิซเมลกระโจนตัวพุ่งเข้าไปหากลุ่มศัตรูโดยทันที เด็กสาวกวางที่งัดบ้านขึ้นมาไม่ทันหันมารุมปาหินใส่อิซเมลร่วมกับชายไว้เคราแทน

อิซเมล: ――เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์!

อิซเมลปล่อยให้หินอัดกระแทกร่างจนแตกโดยไม่คิดจะตวัดขวานป้องกัน เพราะถึงอย่างไร ร่างของเขาก็ฟื้นคืนกลับมาโดยไร้ความเสียหายอยู่ดี

หนทางเดียวที่ร่างกายใหม่อันไร้ซึ่งชีวิตของอิซเมลจะรู้สึกมีชีวิตชีวาได้ คือการได้อาบโลหิตของพวกศัตรู

. อิซเมลสังเกตเห็นว่าทั้งชายไว้เคราและเด็กสาวกิโมโนที่เป็นสีแดง และไอ้ศัตรูคู่อาฆาตที่เป็นสีฟ้าไม่ได้มีสีหน้าเหมือนกลัวตายเลย

สัญชาตญาณนักรบในตัวอิซเมลสัมผัสได้ว่ามีศัตรูพยายามจะตลบหลังเขา อิซเมลจึงบิดตัวกลางอากาศและหันไปเห็นเงาเล็กๆ ของเด็กสาม

เด็กชายผมดำ เด็กสาวในชุดเดรสและเด็กสาวผมทองที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาออกมากลางอากาศ อิซเมลมองเห็นทั้งสามเป็นสีแดง เปี่ยมล้นด้วยจิตต่อสู้

สุบารุ: เอล――

พอได้ยินคำร่ายมนตร์ สัญชาตญาณนักรบในตัวก็สั่งให้เขาเตะหินเพื่อสร้างกำบัง แต่อิซเมลกลับเลือกกำขวานศึกให้แน่นเพื่อเตรียมฟันสวนแลกกับศัตรูไปเลย

ด้วยร่างกายใหม่นี้ เขาย่อมสามารถเข่นฆ่าศัตรูด้วยวิธีการสุ่มเสี่ยงกว่าร่างกายเดิมได้อยู่แล้ว…

สุบารุ: มีเนีย――!!

อิซเมลใช้มือเปล่ารับผลึกสีม่วงที่ถูกยิงออกมาจากมือพวกเด็กๆ และเตรียมที่จะตวัดขวานสวนกลับ

――หารู้ไม่ว่า อิซเมล “เนตรยักษ์” ยอดนักรบแห่งเผ่าตาเดียวคนเดิมไม่มีทางที่จะตัดสินใจโง่เขลาเช่นนั้นแน่นอน

. จบตอน