ไฮน์เคล แอสเทรอา นั้น มิใช่ “นักอ่านดารา”
เขาไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง “นักดาบเทวา” แถมยังไม่ได้รับชื่อกลาง “วาน” ที่มอบให้แก่นักดาบผู้มากฝีมือในตระกูลแอสเทรอา
ตำแหน่งรองหัวหน้าภาคีอัศวินแห่งราชอาณาจักรลูกุนิก้าเองก็เป็นเพียงยศประดับ ไฮน์เคลมิใช่ผู้ถูกเลือก เขาเป็นเพียงคนธรรมดา เป็นแค่คนไร้ที่จะไปซึ่งยึดติดกับความหวังอันริบหรี่
แถมเส้นทางสู่ความหวังที่ว่ายังเป็นการถูกสหายหลอกใช้แบบทิ้งขว้างเพื่อเป้าหมายหลัก กระนั้นไฮน์เคลก็ดันทุรังทำตามที่ผู้อื่นกำชับไว้โดยที่มิได้คิดกังขาอะไร
ไฮน์เคล: เวรเอ๊ย…
จากสองตัวเลือกที่เหลืออยู่ ไฮน์เคลเลือกมุ่งหน้าไปยังหอรบที่ 4 ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะว่ามันอยู่ใกล้กับเส้นทางที่กองทัพคนเป็นใช้อพยพก่อนหน้านี้มากที่สุด
[เมโซเรย์อา: ――ข้า เมโซเรย์อา ข้าจักสดับฟังเสียงเพรียกหาของบุตรีผู้เป็นที่รักและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมจากห้วงนภา]
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์กรรมอะไร การตัดสินใจที่สมเหตุสมผลของไฮน์เคลถึงได้พาเขามาพบกับมังกรสีขาวผู้งดงามซึ่งกำลังสหายปีกปกป้องหอรบที่ 4 อยู่
. เด็กสาวเผ่ามนุษย์มกร “มาเดลิน เอสชาร์ต” ลืมตาตื่นขึ้นมาภายในห้องที่เต็มไปด้วยอัญมณีมากมายหลายชนิด รวมถึงเงิน ทอง และเครื่องประดับอื่นๆ
มาเดลินนั้นชื่นชอบวัตถุที่เปล่งประกาย เพราะงั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดชังมนุษย์ แต่มาเดลินก็ยังชื่นชมงานฝีมือด้านอัญมณีและทองของพวกนั้นอยู่ดี
อัญมณีเหล่านี้เป็นของรางวัลจากมนุษย์ที่มอบให้เพื่อตอบแทนผลงานของมาเดลิน เธอจึงเก็บบรรดาอัญมณีเอาไว้ในรังเพื่อช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น
กระนั้นวัตถุระยิบระยับเหล่านี้ก็ยังช่วยเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่าของมาเดลินมิได้อยู่ดี
. ปัจจุบันมาเดลินอยู่ในรังใหม่ที่พึ่งย้ายข้าวของมาแบบฉุกเฉินหลังเกิดเรื่องขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่คุ้นชินกับกลิ่นของรังใหม่ แต่มันก็มีเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอยอมย้ายมา
มาเดลิน: ――คาริยอน
หลังออกจากรังและเดินตามทางเดินมาถึงระเบียงซึ่งมีมกรบิน “คาริยอน” นอนพักอยู่ท่ามกลางสายลมอุ่นๆ ทั่วร่างของมันเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว
ดวงตาของคาริยอนเองก็กลายเป็นสีดำโดยมีรูม่านตาเป็นสีทองซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสถานะการเป็นภาชนะของร่างที่ไร้ชีวิต
ที่ผ่านมามีผีดิบมกรบินหลายตัวเข้ามาจู่โจมมาเดลินซึ่งนับเป็นสิ่งมีชีวิต เธอจึงสังหารพวกมันทิ้งอย่างไร้ปรานี
แต่พอคาริยอนได้ยินเสียงเรียกจากมาเดลิน มันกลับโน้มหัวให้เธออย่างเป็นมิตร มาเดลินจึงลูบคางของเจ้ามกรบินกลับ
เดิมทีมกรบินก็เป็นสัตว์เลือดเย็นซึ่งร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้ไขมันอยู่แล้ว ทว่าสัมผัสที่มาเดลินได้รับผ่านนิ้วมือกลับเย็นชืดเหมือนอัญมณีที่ไร้ความเปล่งประกาย
แต่ถึงกระนั้น การได้เห็นคาริยอนขยับเขยื้อนได้อีกครั้งก็ล้ำค่าเหนือสิ่งใด เพราะว่าคาริยอนคือมกรบินตัวแรกที่มาเดลินเคยเห็นมนุษย์ทำให้เชื่องได้สำเร็จ
. มาเดลินผู้เป็นเผ่ามนุษย์มกรคนสุดท้ายอาศัยอยู่ในทะเลหมอกเป็นเวลานานตั้งแต่เกิดโดยไม่ได้รู้จักโลกภายนอก เนื่องด้วยเมโซเรย์อาที่เป็น “เปลือกมกร”
วันหนึ่ง ช่วงเวลาเก็บตัวจากโลกภายนอกของมาเดลินก็จบลงด้วยฝีมือของคาริยอนและคู่หูนักขี่ที่กระโจนเข้ามาในทะเลหมอกโดยไม่เกรงกลัวต่อ “มังกรเมฆา”
มาเดลิน: คู่ครองของมกรผู้นี้ บัลรอยอยู่ที่ไหนกัน?
การเอ่ยชื่อของเขาทำให้ดวงวิญญาณของมาเดลินเจ็บปวดราวกับมีพิษร้ายซึมเข้าไปในหน้าอก
แต่แล้วคาริยอนก็เอี้ยวคอของมันเป็นสัญญาณให้มาเดลินหันหลังมองกลับไปยังทางเดินที่เชื่อมกับระเบียงและเห็นเข้ากับชายคนหนึ่งกำลังโบกมือให้อย่างเป็นมิตร
มาเดลิน: …หยาบคายเหลือเกิน หากมิใช่เจ้าล่ะก็ คงจะใช้เขี้ยวของมกรผู้นี้ขย้ำทิ้งไปแล้ว
บัลรอย: นอกจากผมแล้ว ก็คงไม่มีใครทำตัวแบบนี้ต่อหน้ามนุษย์มกรผู้สูงศักดิ์แล้วแหละเนอะ ถึงจะอยากพูดแบบนั้น แต่ที่จริงก็มีพวก “แม่ทัพ” ผู้หยาบคายอยู่เยอะเหลือเชื่ออ่ะเนอะ
มาเดลิน: ใช่แล้ว ให้ตายสิ เบื่อเจ้ามนุษย์พวกนี้จะแย่อยู่แล้ว
บัลรอย: อะฮ่าฮ่า ไม่รู้จะตอบยังไงเลยแฮะ
ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้มาเดลินเผลอยิ้มออกมา ถึงเธอจะอยากบ่ายเบี่ยงด้วยการคุยนอกเรื่อง แต่ลมหายใจที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์มันก็เริ่มแรงขึ้นทุกที
. ถึงแม้ว่าสีหน้าและดวงตาของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปเป็นของพวกผีดิบเช่นเดียวกับคาริยอน แต่อารมณ์รักที่มาเดลินมีต่อบุคคลตรงหน้ามันก็ยากที่จะเก็บซ่อน
มาเดลิน: บัลรอย เจ้าหายไปไหนมา?
ที่จริงเธออยากให้เขาคอยเฝ้าอยู่เคียงข้างจนถึงตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา มาเดลินจึงค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปหาบัลรอย
บัลรอย: โทษทีนะ พอดีว่ามีหนูวิ่งป่วนอยู่ในนครหลวงจักรวรรดิ ฝ่าบาทพาลาดิโอ้ที่เห็นพวกมันเข้าหัวเสียใหญ่ ก็เลยแวะออกไปสอดแนมกับรายงานนิดหน่อย
มาเดลิน: หนูที่ว่า… ฆ่าเรียบร้อยแล้วหรือยัง?
บัลรอย: ยังเลย~ เป็นหนูที่ดื้อด้านพอสมควร พอบอกไปว่าทำพลาด ฝ่าบาทพาลาดิโอ้หัวร้อนจนพาลใส่กันเลยแหละน้า~
มาเดลิน: ถ้าหากมีปัญหากับคู่ครองของมกรผู้นี้ล่ะก็ มกรผู้นี้จะจับฉีกเป็นชิ้นๆ คามือให้เอง
บัลรอยพยายามห้ามปรามไม่ให้มาเดลินสร้างศัตรูกับผีดิบเชื้อพระวงศ์ซึ่งมีผีดิบผู้ติดตามอยู่เยอะ ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
แต่มาเดลินไม่กลัวพวกผีดิบ เธอเชื่อมั่นว่าตัวเธอกับบัลรอยสามารถขยี้พวกศัตรูที่มาขวางทางได้ทุกคน พอเห็นดังนั้น บัลรอยจึงค่อยๆ โอบไหล่ของเธอเอาไว้
บัลรอย: พอเข้าใจใช่ไหม ว่าอิสรภาพของซากศพอย่างพวกผมในตอนนี้ มันตกอยู่ในมือของ “แม่มด” คนนั้นไปแล้วน่ะครับ
มาเดลิน: ――อึก
. “แม่มด” คนที่ว่าคือตัวการใหญ่เบื้องหลังการเปลี่ยนนครหลวงให้เป็นนครซากศพ และยังเป็นผู้ที่คืนชีพให้แก่บัลรอยและคาริยอน
แม่มดคนนี้เป็นตัวตนผิดธรรมชาติซึ่งมีโครงสร้างร่างกายคล้าย “เปลือกมกร” ของเมโซเรย์อา
แถมนังแม่มดยังสามารถเข้าถึง “โอโด ลากูน่า” แสนพิศวงเพื่อทำการดึงดวงวิญญาณของผู้ตายกลับมาใช้ได้ มันคือศาสตร์ที่กระทั่งมาเดลินยังเข้าไม่ถึง
บัลรอยเองก็จินตนาการความปรารถนาสูงสุดของนังแม่มดไม่ออก เขาจึงไม่อยากให้มาเดลินเสี่ยงก่อศัตรูให้พวกตนทั้งสามถูกเขี่ยทิ้งในตอนนี้
แม่มดคนเดียวกันนี้อนุญาตให้มาเดลินอาศัยอยู่ที่พระราชวังแก้วผลึกต่อเพื่อคาดหวังให้เธอให้ความร่วมมือกับฝั่งผีดิบ
ซึ่งมาเดลินก็จำใจต้องกล้ำกลืนความภาคภูมิใจของเผ่าพันธุ์และยอมทำตามที่สั่งเหมือนคราวเบลสเต็ตซ์ เพราะว่าจิตใจของนังแม่มดมันยากที่จะหยั่งถึงอย่างที่บัลรอยกล่าวไว้จริงๆ
. สถานการณ์ปัจจุบันทำให้มาเดลินปวดร้าวราวกับว่าเกล็ดย้อนของเธอถูกของมีคมทิ่มแทง
หากไม่ใช่เพราะข้อผูกมัดของนังแม่มด บัลรอยกับมาเดลินคงจะหนีตามกันไปยังอีกฝากของทะเลเมฆหมอก แล้วแต่งงานกันดังที่เขาเคยให้สัญญากันไว้
มาเดลิน: ในที่สุด เราก็ได้พบกันอีกครั้งเช่นนี้
บัลรอย: …มาเดลิน
มาเดลินโผเข้าโอบกอดบัลรอยในทันที ด้วยส่วนสูงที่แตกต่างกันทำให้เขาสีดำของมาเดลินเกือบแทงโดนคอของบัลรอย
กระนั้นบัลรอยก็เอียงคอหลบได้อย่างช่ำช่องและลูบหลังเธอกลับเบาๆ มาเดลินน้ำตาไหลออกมาพลางนึกย้อนถึงอุบัติเหตุในอดีตตอนที่เขาของเธอเคยแทงโดนบัลรอยจนเสียเลือดไปมาก
ร่างกายของบัลรอยเย็นชืดและไร้ความอ่อนนุ่ม ดวงตาสีฟ้าของเขาเองก็เปลี่ยนสีไปจนอ่านอารมณ์ไม่ได้
กระนั้นทั้งสองก็ยังมีความทรงจำและความปรารถนาร่วมกัน ต่อให้ร่างกายของเขาไร้ซึ่งความอบอุ่นแล้วมันจะทำไม
มาเดลิน: เพียงแค่มีบัลรอยอยู่ด้วย …มกรผู้นี้ก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ในเมื่อปาฏิหาริย์ที่ทำให้คนตายกลับสู่ผืนดินได้เกิดขึ้นมาแล้ว ใครกันที่มีสิทธิ์ประณามเหตุการณ์นี้เป็นความผิดพลาด ใครกันที่จะกล้าช่วงชิงสิ่งนี้ไปจากมาเดลิน เอสชาร์ต
. มาเดลิน: ――มาแล้ว
ระหว่างที่กำลังเอาใบหน้าซุกหน้าอกของคนรัก มาเดลินก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางผ่านเปลือกมกรของเมโซเรย์อา บัลรอยเองก็หันไปมองทางทิศใต้ของเมืองตาม
มาเดลินถูกสั่งให้ปกป้องพื้นที่ตรงนั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะมีใครเข้ามาใกล้
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นงานที่ยากลำบากเพียงใด มาเดลินก็จะไม่ลังเล เพราะว่าเธอมีสิ่งที่ต้องการอยู่เคียงข้างแล้ว
มาเดลิน: ไปก่อนนะ บัลรอย ครั้งนี้อยากให้――
บัลรอย: เข้าใจแล้วครับ ตราบใดที่ไม่เรียกให้ช่วย จะคอยอยู่เคียงข้างเองครับ
มาเดลิน: ――สมกับที่เป็นคู่ครองของมกรผู้นี้
ร่างกายของมาเดลินสลบไสลลงทันที บัลรอยจึงรีบประคองร่างที่น้ำหนักมากอย่างเหลือเชื่อของเธอเอาไว้
ระหว่างที่จิตของมาเดลินได้สติขึ้นมาในอีกร่างหนึ่ง บัลรอยอุ้มร่างที่ไร้สติของเธอขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
บัลรอย: ต่อให้เธอตาย เราก็จะได้พบกันอีก ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว ผมเองก็คิดแบบเดียวกันนะ มาเดลิน ――ขอเพียงแค่เรายังได้พบกันอีก
. ตัดกลับไปยังหอรบที่ 4 ได้เกิด “การต่อสู้” ที่เรียกว่าการต่อสู้ได้ไม่เต็มปากขึ้นมา เนื่องจากว่ามันเป็นการถล่มยับอยู่ฝ่ายเดียว แถมยังจบในพริบตา
ศัตรูที่โผล่มาท้าทายมังกรเมฆาคือ “ภัยคุกคามระดับขี้ผง” ที่เพียงแค่ใช้หางฟาดก็กระเด็นทะลุอาคารบ้านเรือนจนปลิวหายไป
ถึงแม้ว่าจะแอบผิดหวัง แต่ความแตกต่างระหว่างระดับพลังของ “มังกร” กับ “มนุษย์” มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ต่อหน้า “มังกร” เผ่าพันธุ์อันสูงศักดิ์ที่อยู่เหนือสามัญสำนึก มนุษย์ก็เป็นได้เพียงแค่สัตว์ชั้นต่ำที่พร้อมกลายเป็นฝุ่นภายในหนึ่งการโจมตี
มาเดลินยอมรับว่าในบรรดามนุษย์ก็มีพวกผ่าเหล่าปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เธอก็ไม่อยากจะนับเจ้าสิ่งนั้นรวมกับพวกมนุษย์ธรรมดานัก
การได้เจอกับมนุษย์ที่อ่อนแออย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี เพราะงั้นเจ้า “ภัยคุกคามระดับขี้ผง” คนนี้ก็พอมีคุณค่าอยู่บ้าง
ในเมื่อนังแม่มดอุตส่าห์มอบโอกาสให้พิสูจน์ตัวเอง มาเดลินก็อยากที่จะใช้ร่างของ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อาแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์
. ไฮน์เคล: …เวร…เอ๊ย
พอมังกรเมฆาตั้งใจจะหันกลับไปประจำการที่หอรบ เธอก็ได้ยินเสียงก่นด่าที่ไม่ควรจะได้ยิน
ยามหันกลับมามองยังถนนที่พังทลายจากการฟาดหางก่อนหน้านี้ มังกรเมฆาก็ได้เห็นมนุษย์ผมแดงตาสีน้ำเงินผู้หนึ่งคลานออกมาจากซากอาคารที่แตกหัก
เจ้ามนุษย์ที่เป็น “ภัยคุกคามระดับขี้ผง” ชักดาบที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาชี้ใส่หน้ามังกร แต่กลับสัมผัสถึงจิตต่อสู้จากร่างของชายคนนี้ไม่ได้เลย
ไฮน์เคล: เป็นอย่างนี้ ทุกที…
เจ้ามนุษย์สาปแช่งทุกอย่างในโลกใบนี้ ทั้งพื้นที่ยืนอยู่ ทั้งอากาศเปื้อนฝุ่นรอบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว รวมถึงตัวเขาเอง
ไฮน์เคล: ――กระทั่งในเวลาสำคัญที่สุด โชคก็ยังไม่ยอมเข้าข้างชั้นเลย
คราวก่อนหางแส้ของมังกรเมฆาฟาดกวาดไปโดนอาคารรอบๆ ด้วย ในคราวนี้เธอจึงตวัดหางใส่ชายที่ยังคงยืนขากะเผลก โดยเล็งแบบเข้าเป้าเดี่ยวเต็มๆ
ร่างของมนุษย์ผมแดงถูกหวดทะลุกำแพงของอาคารไป 3-4 หลัง หาบวับไปยังอีกฟากหนึ่งของถนน ทำเอาบ้านเรือนที่จัดเรียงอย่างเรียบร้อยเสียความสมมาตรไปหมด
แต่แล้ว มาเดลินกลับยังได้ยินเสียงร้องโอดครวญของมนุษย์คนเดิมดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้
ทำไมถึงได้มีมนุษย์ที่ร่างไม่ระเบิดจนเละหลังถูกหางมังกรฟาดใส่อยู่กัน?
ไฮน์เคล: …ชั้น…น่ะ
[มาเดลิน/เมโซเรย์อา: พวกแกทุกคน จงหายไปซะให้หมดดดดดด!!]
ลมหายใจที่สีขาวแห่งการทำลายล้างถูกปลดปล่อยออกมาจากปากของมาเดลิน เอสชาร์ตที่สวมเปลือกมกรของ “มังกรเมฆา” เพื่อถาโถมลงยังมนุษย์ที่ควรจะเป็น “ภัยคุกคามระดับขี้ผง”
นี่มิใช่ “การต่อสู้” หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเข่นฆ่าที่ควรจะเป็นการถล่มยับอยู่ฝ่ายเดียว
. จบตอน