“กรูวี่ กัมเล็ต” นั้น ไม่รู้สึกสนใจพวก “นักอ่านดารา” เลยสักนิด เดิมทีเขาก็คุยเฉพาะกับคนที่มีธุระด้วยเท่านั้นอยู่แล้ว กรูวี่เลยแทบมิได้เสวนากับอูบิรูคเช่นกัน
เท่าที่กรูวี่ทราบ จักรวรรดิวินเซนต์กับที่ปรึกษาจิชานั้นคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกนักอ่านดาราเอาไว้อยู่ ดังนั้นตัวเขาเองจึงไม่ได้สนใจการจับดูพวกนั้นนัก
แต่ถ้าหากกรูวี่ได้รู้ก่อนว่าพวกนักอ่านดาราล่วงรู้การมาถึงของ “มหาภัยพิบัติ” อยู่แล้ว เขาคงจะก่นด่าสาปแช่งเจ้าพวกนั้นแบบไม่มีเบรกเป็นแน่
กรูวี่: ――เชี่ยเอ๊ย!
ณ ปัจจุบัน สิ่งที่กรูวี่กำลังสบถด่ามิใช่นักอ่านดารา หากแต่เป็นหนามแหลมสีเทาที่กำลังแทงทะลุเข้าไปในหน้าอกฝั่งซ้ายของเขา
มันสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสที่กระทั่งนักรบผู้เจนสนามยังต้องสีหน้าบิดเบี้ยว มิหนำซ้ำหนามพวกนี้ยังแตะต้องไม่ได้ การต่อต้านจึงไร้ความหมาย
เพราะงั้นกรูวี่จึงต่อยท้องอัลให้เขาล้มหงายหลัง จากนั้นก็รีบลากร่างของอัลเข้าไปหลบภายในเงามืดของอาคารข้างทางก่อนที่พวกผีดิบจะกรูกันมาตามเสียงเอะอะ
เซซิลุสเองที่เกาะหลังอัลอยู่จำยอมต้องมาหลบที่เดียวกับทั้งสอง แต่เจ้าหนุ่มน้อยดูกระฉับกระเฉงเหมือนเคยทั้งที่ควรจะได้รับความเจ็บปวดแบบเดียวกับกรูวี่และอัล
โดยเซซิลุสให้เหตุผลว่าดารานำแสดงเด่นแสดงสีหน้าเจ็บปวดได้เฉพาะตอนเสียบุคคลที่รักหรือเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่ความรู้สึกเจ็บปวดทางกายไม่ควรมีผลกระทบ
. ระหว่างนั้นเอง อัลก็สัมผัสได้ว่าความเจ็บปวดของหนามสีเทามันเบาลง กรูวี่จึงเดาว่าระยะห่างระหว่างพวกตนกับผู้ใช้หนามน่าจะส่งผลต่อความรุนแรงด้วย
กระนั้นกรูวี่ก็ยังคงกังวลว่าคำสาปหนามสีเทาอาจจะสามารถระบุตำแหน่งของเหยื่อได้ด้วย เนื่องจากว่าหนามมันยังไม่หายไป
เซซิลุสยังคงเชื่อมั่นลางสังหรณ์ตนเองว่าไม่ควรฆ่าพวกผีดิบมากเกินไป ซึ่งกรูวี่ไม่คิดจะขัดคอ เพราะว่าเซซิลุสและอาราเคียนั้นมีสัญชาตญาณดีที่สุดในบรรดาพวกแม่ทัพ
อีกอย่างกรูวี่มองว่าผู้บงการใหญ่ฝั่งศัตรูไม่ใช่ประเภทใช้จำนวนเข้าว่าอย่างเดียว มิเช่นนั้นอีกฝ่ายคงมิใช่คู่ต่อสู้ที่ครณามือวินเซนต์และจิชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรู้ดีว่าฝั่งจักรวรรดิมีทั้งเซซิลุสและอาราเคียเป็นกำลังรบ คงไม่มีใครโง่ขนาดตั้งตัวเป็นศัตรูกับวอลลาเคียแล้วหวังว่าจะชนะด้วยจำนวนคนแน่นอน
จมูกของกรูวี่สามารถดมกลิ่นมานาตกค้างของจิชาได้จากเซซิลุส ดังนั้นเขาจึงตัดทฤษฎีที่ว่าศัตรูเป็นคนหดร่างเซซิลุสทิ้งไปเลย
ถึงแม้ว่าสุดท้ายกรูวี่จะยังไม่อาจเข้าใจจุดประสงค์ของจิชา แต่เขารู้ดีว่าจิชาไม่ได้หดร่างของเซซิลุสเพื่อทรยศต่อจักรวรรดิแน่นอน
. อัลเสนอว่าในเมื่อศัตรูรู้ตำแหน่งของพวกตน ก็บุกไปหาตัวการเลยดีกว่าไหม แต่เซซิลุสขัดก่อนว่ายิ่งเข้าใกล้ศัตรู คำสาปอาจจะยิ่งรุนแรงขึ้น
กรูวี่เห็นพ้องกับเซซิลุส เขามองว่าคนทั่วไปจะเจ็บปวดทรมานจนตายก่อนถึงตัวผู้ใช้คำสาปด้วยซ้ำ กระทั่งเซซิลุสก็คงขยับตัวไม่ได้
เซซิลุส: ต่อให้เป็นผมก็ไม่บุ่มบ่ามบุกเข้าไปแบบไม่มีแผนหรอกครับ ถ้าปัญหามันแก้ได้ด้วยการฝืนทนต่อความเจ็บปวดเพื่อเข้าไปเชือดอีกฝ่ายทิ้งก็ว่าไปอย่าง ――แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น ใช่ไหมล่ะ? ถ้าแค่ต้องกุดหัวศัตรูทิ้ง คุณกรูวี่คงจะส่งผมไปตั้งนานแล้วล่ะครับ
กรูวี่: …นั่นแหละคือเรื่องที่ยุ่งยากชิบหายของคำสาปแหละนะ
เวทมนตร์คือผลลัพธ์จากการที่นักเวทใช้มานาแทรกแซงปรากฏการณ์ของโลก ดังนั้นการสังหารนักเวทย่อมทำให้เวทมนตร์หมดฤทธิ์ลง
ทว่า คำสาปคือเวทมนตร์แขนงที่เน้นการสังหารเป้าหมาย คำสาปส่วนใหญ่จึงเชื่อมต่อกับโอโดของเหยื่อโดยตรง ดังนั้นต่อให้ผู้ใช้คำสาปจะตายไป คำสาปก็จะยังคงติดตัวเหยื่ออยู่ไปจนวันตาย
วิธีเดียวที่จะล้างคำสาปได้คือการให้ผู้ใช้คำสาปปลดวิชาเองหรือใช้วิธีโกงรูปแบบหนึ่งที่กรูวี่รู้จักดี ซึ่งก็คือ…
กรูวี่: มันมีคาตานะเฮงซวยที่ชื่อ “มุราซาเมะ” อยู่ ต้องไปเอามันมาให้ได้
พอกรูวี่พูดถึงชื่อดาบเล่มนั้นขึ้นมา อัลกับเซซิลุสก็ทำหน้าฉงนทั้งคู่ อัลว่าไปอย่าง แต่เซซิลุสที่ควรรู้ดันลืมไปแล้ว กรูวี่จึงกระชากคอเสื้อเจ้าหนุ่มน้อยมาตะคอกใส่
กรูวี่: “ดาบอสูร” มุราซาเมะไงเล่า! ไม่ว่าจะเป็นคำสาปหรือสัญญา ไอ้คาตานะเวรนั่นคือวิธีลัดที่ใช้ตัดสิ่งไร้รูปลักษณ์จำพวกนั้นได้เร็วที่สุดแล้วว้อย! ไปหามันให้เจอ!
เซซิลุส: เอ๊ะ!? ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ดาบอะไรนั่นไม่รู้จักเลยนะครับ!? ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จะให้ตามหายังไง… ว่าแต่ทางคุณกรูวี่ล่ะ พอจะดมกลิ่นหาตำแหน่งของมันได้รึเปล่าครับ?
กรูวี่: เปล่าประโยชน์ ชั้นใช้จมูกตามหาไอ้คาตานะเวรนั่นไม่ได้ เพราะมันตัดกลิ่นทิ้งไป มันโชกเลือดทั้งปีทั้งชาติแท้ๆ แต่กลับตามกลิ่นไม่ได้เลย แม่งเอ๊ย
นอกจากนี้เจ้ามุราซาเมะมันยังเกลียดขี้หน้ากรูวี่ซึ่งเป็นคนหลอมดาบเล่มดั้งเดิมแล้วตีขึ้นใหม่เป็นคาตานะ ถึงขนาดที่มันไม่ยอมให้เขาหยิบมาใช้เลยด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่ามุราซาเมะเป็นดาบที่นิสัยยุ่งยากเอาแต่ใจพอๆ กับเจ้าของอย่างเซซิลุสเลยก็ว่าได้
. ประเด็นก็คือ ไม่ว่ามุราซาเมะจะเป็นดาบที่ยุ่งยากขนาดไหน มันก็คือคำตอบเดียวในการแก้ทางคำสาปหนามสีเทาบนหน้าอกของทั้งสาม
กรูวี่เดาว่าเซซิลุสน่าจะเก็บมุราซาเมะไว้ที่บ้านเขานั่นแหละ เนื่องจากหมอนี่เป็นเจ้างั่งที่ไม่น่าสร้างโกดังลับสำหรับเก็บของมีค่าเอาไว้
เซซิลุสอาศัยอยู่ที่กระท่อมในสวนของพระราชวังแก้วผลึกร่วมกับอาราเคีย ซึ่งตัวกรูวี่เองไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้นัก
เซซิลุสกับอาราเคียรู้จักกันมาเกือบ 10 ปี อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน กินข้าวด้วยกัน แต่อาราเคียท่าทางเกลียดเซซิลุสชัดเจน ฝั่งเซซิลุสก็เดายากว่าคิดยังไง
ที่แน่ๆ คือปัจจุบันกรูวี่สัมผัสถึงกลิ่นของอาราเคียที่กระท่อมในสวนไม่ได้เลย
แถมมันยังมีความเป็นไปได้ที่ศัตรูจะย้าย “ดาบมายา” กับ “ดาบอสูร” ไปซ่อนในพระราชวังหลังจากที่เซซิลุสตัวหดลง
แต่เซซิลุสเห็นต่างออกไป เขามองว่าหากเป็นอาวุธล้ำค่าอย่างดาบสองเล่มนั้น ฝั่งศัตรูคงให้ใครสักคนเอาไปใช้เพื่อคุ้มกันสถานที่สำคัญมากกว่า
สถานที่สำคัญอย่างเช่นหนึ่งใน “หอรบ” ทั้งห้า ซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเขาทั้งสามคนตั้งแต่แรก
. กรูวี่ยอมรับว่าความเห็นของเซซิลุสมาถูกทางแล้ว พวกเขาจึงเริ่มคาดเดาหอรบที่ศัตรูน่าจะเอาดาบอสูรไปใช้ ที่แน่ๆ คงไม่ใช่บัลรอบซึ่งถนัดการใช้หอกมากกว่า
เซซิลุส: อืมมม… หรือจะเป็นหมายเลข 5 กันนะครับ?
อัล: ยังไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ถ้างั้น เราสามคนมาใช้ผ้าคลุมหนังอีกครั้ง…
กรูวี่: ไม่ล่ะ จากนี้ไปเราแยกทางกัน ต้องมีคนคอยตรึงไม่ให้ไอ้ศัตรูเวรคนนั้นเคลื่อนไหว ――เป็นบทบาทที่เฮงซวยชิบหาย แต่คนที่ทำได้ก็มีแค่ชั้นล่ะวะ
อัล: ――อึก ก็เข้าใจที่บอกอยู่หรอก ว่าแต่เรื่องหนามล่ะ! ทั้งชั้นกับนายต่างก็ตกอยู่ในเงื่อนไขแบบเดียวกันไม่ใช่เรอะ!?
กรูวี่ยื่นผ้าคลุมหนังหมาป่าสมิงให้แก่อัล จากนั้นก็เดินกลับออกไปยังตรอกด้านหน้า อัลพยายามห้ามปราม เขา แต่เซซิลุสกลับยื่นมือมาขวางเอาไว้ก่อน
เซซิลุส: มีโอกาสชนะอยู่ใช่ไหมครับ?
กรูวี่: อย่างน้อยก็ช่วยซื้อเวลาให้ไอ้งั่งอย่างเอ็งไปจัดการที่เหลือได้แล้วกัน นี่คิดว่าชั้นเป็นใครกัน “ลำดับหก” แห่งเก้าแม่ทัพเทวะ ท่านกรูวี่ กัมเล็ตเชียวนะ
เซซิลุส: เช่นนั้นก็เชิญดื่มด่ำให้เต็มที่เลย ครั้งหน้าไว้เจอกันตอนที่เราได้ “ดาบอสูร” มาแล้วนะครับ!
เซซิลุสกล่าวอำลาทิ้งท้ายต่อกรูวี่ที่ถีบตัวจากหินปูถนนเพื่อกระโจนกลับเข้าสู่สนามรบ
. คราวนี้กรูวี่กระโจนตัวไปตามท้องถนนและหลังคาของนครหลวงจักรวรรดิเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกศัตรู
โทสะที่เขาสั่งสมมานับตั้งแต่ที่ต้องคอยหนีและหลบซ่อนเพื่อถอยทัพจากชายแดนฝั่งตะวันตกจนมาถึงนครหลวงกำลังเริ่มปะทุออกมา
ในเมื่อมีโอกาสได้ปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้นเหล่านั้นออกมา กรูวี่ก็จะขอใช้มันให้เต็มที่
กรูวี่: ――มาแล้วสินะ ไอ้เวรนี่
เถาวัลย์หนามที่หน้าอกของกรูวี่เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่ส่งผลต่อหัวใจโดยตรงเป็นสิ่งที่กระทั่งยอดนักรบยังต้องยอมจำนน ทว่า…
กรูวี่: ถ้าเป็นคำสาปเฮงซวยที่มีไว้ทรมานผู้อื่นล่ะก็ มันพอมีช่องโหว่อยู่เฟ้ย
ว่าแล้วกรูวี่จึงหยิบมีดสั้นที่มีเส้นลายสีม่วงบนคมมีดขึ้นมาจากสายเข็มขัดที่มีมีดสั้นจำนวนมากร้อยเรียงอยู่ จากนั้นก็แทงมีดสั้นมันใส่คอของตัวเขาเอง
พิษที่อาบอยู่ในมีดสั้นไหลเข้าสู่ร่างของมนุษย์หมาในโดยทันที มันแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่พิษจะปลิดชีพเขาอย่างสมบูรณ์ กรูวี่ก็ดึงมีดออก
สถานะเกือบตายจากพิษทำให้กรูวี่ตาแดงก่ำ เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกจนเลือดท่วม อาหารในกระเพาะเองก็กระเพื่อมคล้ายจะไหลย้อนกลับ
ทว่า พิษจากมีดสั้นมันส่งผลให้สัมผัสรับรู้ความเจ็บปวดในร่างกายของกรูวี่ถูกปิดลงด้วยเช่นกัน สถานะฟื้นคืนจากวิกฤติทำให้ความเจ็บปวดจากหนามสีเทาหายไปหมดสิ้น
ปกติพิษชนิดนี้มีไว้ใช้ทรมานเชลยศึกโดยการทำลายอวัยวะของเจ้าตัวให้เห็นต่อหน้าทั้งที่ยังมีสติอยู่และไร้ความเจ็บปวด
กรูวี่เคยอยากลองปรับแต่งปริมาณยาพิษเพื่อให้มันระงับเพียงประสาทรับรู้ความเจ็บปวด แต่ร่างกายยังคงขยับได้มาโดยตลอด ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสด้นสดดูเสียที
กรูวี่สามารถใช้วิธีการนี้ได้กับตัวเขาเองเท่านั้น เนื่องจากเขารู้จักร่างกายของตนเองตั้งแต่ปลายเล็บจนถึงขนทุกเส้น
ในขณะที่การกะปริมาณพิษให้พอดีกับร่างกายของเซซิลุสและอัลเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป
. กรูวี่เก็บความสงสัยว่าพิษสามารถใช้ฆ่าเซซิลุสได้ไหมไว้ในใจ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหอรบที่ 3
ที่จริงเขาอยากใช้วิกฤติการณ์ผีดิบคืนชีพนี้ในการเก็บข้อมูลของเผ่าที่สูญพันธุ์ไปแล้วหรือใกล้สูญพันธุ์ด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในปัจจุบันกรูวี่ก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการกอบกู้จักรวรรดิจากการล่มสลายเป็นลำดับสูงสุด
ตั้งแต่ที่เขากลับมาเห็นนครหลวงลูปุกาน่าถูกผีดิบยึด กรูวี่ก็มั่นใจว่าใครสักคนระหว่างวินเซนต์ไม่ก็จิชาน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
ซึ่งกรูวี่เดาว่าคนที่ตายน่าจะเป็นจิชามากกว่า เนื่องจากอยู่มาวันหนึ่งกลิ่นของความตายอันเบาบางที่เคยติดตามทุกย่างก้าวของวินเซนต์มันได้หายไป
กรูวี่: ไอ้งั่งหน้ากากขาวเฮงซวยนั่น
จิชาเป็นบุคคลที่เยือกเย็นและไร้อารมณ์อยู่เสมอ เขาเก็บซ่อนได้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองที่มีอยู่ในกลิ่น
กรูวี่มั่นใจว่าวินเซนต์คนที่สั่งให้เขาไปประจำการอยู่ที่ชายแดนฝั่งตะวันตกจะต้องเป็นจิชาที่ปลอมตัวมาแน่นอน
ระหว่างที่กรูวี่ไม่อยู่ จิชาก็เดินหมากสำเร็จจนได้รับชัยชนะมา แต่การที่ชัยชนะนั้นจะไม่ยั่งยืนถ้าหากจักรวรรดิวอลลาเคียล่มสลายไปเสียก่อน
. กรูวี่รู้ตัวดีว่าเขาเกิดมาเพื่อทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในประวัติศาสตร์ รวมทั้งผลงานของกรูวี่จะส่งผลต่อสถานะของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาในโดยตรง
หลังจากที่องค์จักรพรรดิพบตัวเขาเข้า กรูวี่ก็ใช้เวลาไม่นานในการไต่เต้าไปสู่ยศแม่ทัพเอก มีเพียงเหล่า “เก้าแม่ทัพเทวะ” ที่กรูวี่ยอมรับว่าเท่าเทียมหรือเหนือกว่า
ในฐานะนักรบแห่งจักรวรรดิ กรูวี่น้อมรับคติที่ว่า “ชาวจักรวรรดิต้องแข็งแกร่ง” ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้สิ่งที่จิชาอุตส่าห์เสียสละเพื่อเตรียมการต้องสูญเปล่า
ในจักรวรรดิแห่งนี้ ผู้ชนะสมควรได้รับการอวยชัย ถ้าหากระทั่งกฎข้อนั้นยังถูกแหก โลกใบนี้ก็คงกลายเป็นนรก
กรูวี่: แม่งเอ๊ย แม่งเอ๊ย แม่งเอ๊ย แม่งเอ๊ย แม่งเอ๊ย แม่งเอ๊ย…
แต่กรูวี่จะไม่ยอมให้วอลลาเคียถูกเปลี่ยนเป็นนรก เนื่องจากมีเพียงพวกศัตรูเท่านั้นที่จะได้รู้ซึ้งถึงพิกัดของนรก
. กรูวี่: ――เจอตัวแล้วโว้ย
ระหว่างที่กระโจนตัวไปมา กรูวี่ก็พบเหยื่อเป็นผีดิบกลุ่มหนึ่งอยู่บนพื้นเบื้องล่าง เขาจึงคว้าเอาเคียวติดโซ่ที่เหน็บไว้ด้านหลังออกมาเตรียม
ปกติเคียวติดโซ่(คุซาริกามะ)คืออาวุธที่ด้านหนึ่งเป็นเคียวด้ามจับยาวและอีกด้านหนึ่งเป็นโซ่ห้อยลูกตุ้ม มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการต่อสู้ระยะประชิดและระยะกลาง
ทว่า เคียวติดโซ่ของกรูวี่สร้างขึ้นวัตถุดิบพิเศษ เพราะงั้นส่วนที่โซ่ห้อยลูกตุ้มของมันจึงเหวี่ยงไปถึงผีดิบที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 30 เมตรได้อย่างง่ายดาย
กรูวี่จับด้ามเคียวเอาไว้ จากนั้นก็เหวี่ยงลูกตุ้มที่ใหญ่ประมาณกำปั้นเข้าไปใส่ แต่กลุ่มศัตรูรีบกระโจนตัวให้ห่างจากจุดปะทะ… ซึ่งเข้าทางเขาพอดี
กรูวี่: ไอ้พวกควายเอ๊ยยย!!
พริบตาหลังจากที่ลูกตุ้มปะทะกับพื้น ร่างของพวกผีดิบที่อยู่ใกล้ก็เริ่มกลายเป็นสีแดงจากภายในและระเบิดออกอย่างรุนแรง เกิดเป็นคลื่นกระแทกไปโดนผีดิบตัวอื่นที่พยายามวิ่งหนีต่อ
. บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครรัฐคารารากิมีสถานที่ที่เรียกว่า “หุบผาแดงกิราล” อยู่ใกล้กับน้ำตกใหญ่
มันคือพื้นที่ทะเลทรายสีแดงซึ่งกล่าวขานกันว่าเป็นดินแดนที่อันตรายที่สุดในโลก เนื่องจากมันอุดมไปด้วยอานุภาคของศิลามนตราธาตุอัคคีที่มีขนาดเท่าเม็ดทราย
ลือกันว่าดินแดนที่เพียงแค่ลมพัดก็ก่อให้เกิดการระเบิดได้แห่งนั้นถือกำเนิดขึ้นจากน้ำตาที่ไหลจนเป็นสายเลือดของมหาวิญญาณตนหนึ่งที่มิสามารถกลายเป็น “สี่มหาวิญญาณ” ได้
ซึ่งภายในลูกตุ้มที่ห้อยอยู่กับเคียวติดโซ่ของกรูวี่นั้นมีผลึกมนตราธาตุอัคคีจากหุบผาแดงกิราลบรรจุอยู่ ผลึกมนตราจะคอยดูดมานาจากบรรยากาศโดยรอบมาใช้ กลายเป็นอาวุธที่มีพลังทำลายมหาศาล
กรูวี่ลงจอดบนพื้นถนนที่ถูกทำลายเละจนกลายเป็นทุ่งราบที่มีไฟลุกท่วม จากนั้นก็กู่ร้องออกมาสุดเสียงพลางจัดเตรียมเคียวติดโซ่ในมืออีกครั้ง
กรูวี่: โอ้ววววว!! ในเมื่อใช้ไอ้คำสาปเฮงซวยนี่ การลอบโจมตีมันเป็นไม่ได้อยู่แล้วโว้ยยย!!
กรูวี่เหวี่ยงลูกตุ้มขึ้นฟ้าไปหาศัตรูสวมผ้าคลุมสีแดงที่ร่วงลงมาจากเบื้องบน อีกฝ่ายใช้ดาบฟันปัดลูกตุ้มซึ่งส่งผลให้มันระเบิดออกโดยทันที
. กรูวี่: ชิ!
กรูวี่เดาะลิ้นและกระโจนตัวถอยมาตั้งหลักทันทีที่เห็นเปลวเพลิงที่ห่อหุ้มท้องฟ้าถูกผ่าจนขาดครึ่ง
ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ว่าหนามในหน้าอกกำลังร้องสรรเสริญต่อการมาถึงของผู้เป็นนาย กรูวี่จึงรู้ตัวว่าตัวการที่ฝังคำสาปหนามใส่พวกเขากำลังมาหา
ถ้าหากไม่ได้พิษช่วยปิดสัมผัสรับรู้ความเจ็บปวด ป่านนี้กรูวี่คงนอนดิ้นพล่านและอาเจียนเป็นเลือดด้วยความทุกข์ทรมานไปแล้ว
แน่นอนว่าถ้าหากศัตรูใช้ได้เพียงคำสาปหนามแหลม นี่คงเป็นศัตรูที่กรูวี่ได้เปรียบ แต่เกรงว่านี่คงมิใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายดายเช่นนั้น
ยูการ์ด: ลอบโจมตีอะไรกันเล่า คิดว่าเราผู้นี้จะใช้วิธีการสกปรกพรรค์นั้นไปเพื่ออะไร
ศัตรูลงจอดบนพื้นราบที่ลุกเป็นไฟได้สำเร็จ มันมีผิวซีดที่มีรอยแตกร้าวพร้อมนัยน์ตาสีดำและรูม่านตาสีทองเหมือนผีดิบตัวอื่น
แต่สิ่งที่ทำให้ผีดิบตัวหนึ่งแตกต่างออกไปคือเครื่องแบบที่มีไว้เฉพาะราชวงศ์วอลลาเคียสวม รวมถึงใบหน้าที่คล้ายคลึงกับวินเซนต์ วอลลาเคีย
ในมือข้างขวาของผีดิบมี “ดาบแสงตะวัน” ซึ่งมีเพียงจักรพรรดิแห่งวอลลาเคียสามารถครอบครองได้อยู่
ทว่า สิ่งที่ทำให้กรูวี่ประหลาดใจไม่ใช่เรื่องนั้น หากแต่เป็นอาวุธอีกเล่มที่ผีดิบอดีตจักรพรรดิกุมเอาไว้ในมือข้างซ้าย อาวุธที่ไม่ควรจะมาตกอยู่ในมือเขา
กรูวี่: ――ไอ้คาตานะเฮงซวยนี่ แม่งคิดจะต่อต้านชั้นไปถึงไหนวะเนี่ย!!
ที่เบื้องหน้าของ “เจ้าแห่งเครื่องมือไสยเวท” กรูวี่ กัมเล็ต คือผีดิบของจักรพรรดิที่มีดาบมนตราสองเล่มอยู่ในมือ
ซึ่งประกอบด้วย “ดาบแสงตะวัน” วอลลาเคีย และ “ดาบอสูร” มุราซาเมะ
. จบตอน