“พริสซิลล่า บาริเอล” นั้น มิได้เกลียดชัง “นักอ่านดารา” ซึ่งเป็นที่รู้จักในโดยทั่วไปในฐานะเหล่าผู้เสียสติน่าสังเวช ซึ่งมีอยู่ภายในจักรวรรดิวอลลาเคียเพียงเท่านั้น
ถ้าหากเกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ในจักรวรรดิวอลลาเคีย หรือเป็นบุคคลที่มีหน้าที่ดูแลเชื้อพระวงศ์ ก็จะมีโอกาสพบเจอ “นักอ่านดารา” ได้มากขึ้น
ในยามที่จะมีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์วอลลาเคียเกิดขึ้น “นักอ่านดารา” ก็จะเข้ามาพัวพันและประกาศถึงป่าวประกาศถึงมันอยู่เสมอ
แต่ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจคำพูดของคนบ้านัก ไม่มีการบันทึกคุณประโยชน์จากคำทำนายของนักอ่านดาราที่เผยแพร่ต่อสาธารณะเช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิกับนักอ่านดาราเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งวินเซนต์ วอลลาเคียแต่งตั้งตำแหน่งให้อูบิรูคเข้ามารับใช้ภายในพระราชวัง
เพราะงั้นชาวจักรวรรดิที่รู้จักนักอ่านดาราจึงมองพวกนั้นเป็นตัวเสนียดจัญไรมาโดยตลอด กระนั้นพริสซิลล่ากลับไม่เกลียดชังและไม่เวทนาพวกเขา
สำหรับเธอ ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนแต่เป็นทาสของบางสิ่งที่เหนือกว่าตนเอง ไม่ว่าจะเป็นราชา ตระกูล คู่ครอง ความรัก ความเกลีดชัง หรือโชคชะตา
พริสซิลล่า: ――กระทั่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ต่างกัน
พริสซิลล่าที่ถูกล่ามโซ่พันธนาการไว้กล่าวออกไปเช่นนั้นต่อห้องใต้ดินมืดๆ เนื่องจากเธอรู้ดีว่ามีใครบางคนที่เก็บซ่อนตัวตนไว้ได้ไม่มิดอยู่
. พอพริสซิลล่าประกาศว่าเธอไม่คิดจะเสวนากับคนที่ไม่เห็นหน้า เธอก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายย่างก้าวเข้ามาใกล้ แถมพริสซิลล่ายังไม่คิดจะหลับตาให้ชินกับความมืดอีก
พริสซิลล่า: ไม่คิดจะหลงระเริงอยู่กับความมืดที่ไร้แสงหรอกนะ ยามที่ออกไปสู่แสงสว่าง จะขอออกไปอย่างภาคภูมิ
สฟิงซ์: เย่อหยิ่งสมกับเป็นคุณเสียจริงนะ ‘ตักเตือน’ จำเป็นค่ะ
พริบตาที่ได้ยินเสียงพูดไร้อารมณ์ ก็มีเสียงแหลมสูงดังขึ้นมาพร้อมกับที่มีแสงสีอ่อนๆ ปรากฏขึ้นมาปัดเป่าความมืดมิดของห้องใต้ดิน
ผู้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพริสซิลล่า บาริเอลคือผีดิบของเด็กสาวผมสีชมพูที่ถือคทาเรืองแสงไว้ในมือ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พริสซิลล่าได้เห็นผีดิบในร่างเด็กเลยก็ว่าได้
พริสซิลล่ารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือผู้อยู่เบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ” ครั้งนี้ ตามที่บัลรอยกล่าวถึงไว้ก่อนหน้า ผีดิบเด็กสาวจึงพึมพำว่าต้องตำหนิบัลรอยเสียหน่อย
เด็กสาวย่นระยะเข้ามาใกล้พริสซิลล่าอีก แต่เธอยังคงรักษาระยะห่างไม่ให้พริสซิลล่ายืดขาเตะเสยหน้าผากได้ แถมพริสซิลล่ายังมองว่าเด็กสาว
สฟิงซ์: ผ่านพ้นมันมาได้หรือเปล่า? ความเบื่อหน่ายน่ะ
พริสซิลล่า: …พูดจาราวกับว่ารู้จักข้าพเจ้ามาเนิ่นนานเชียวนะ
สฟิงซ์: นั่นสินะ คุณจำฉันได้ไหมคะ? พอทราบไหมว่าเป็นใคร?
พริสซิลล่า: น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามิได้บ้าพอที่จะลดตัวไปจดจำเรื่องน่าเบื่อทุกอย่างหรอกนะ แสดงว่าเจ้าไม่ควรค่าต่อการจำ หรือไม่ก็นี่เป็นครั้งแรกที่มาปรากฏต่อหน้าข้าพเจ้าสินะ
สฟิงซ์: ถูกต้องค่ะ นี่คือครั้งแรกเลยที่คุณได้เห็นหน้าฉันค่ะ
. พริสซิลล่าเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทดสอบเธอ ราวกับเฝ้าสังเกตว่าเดรัจฉานที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้จะยอมกินเหยื่อที่วางล่อเอาไว้ไหม
พริสซิลล่า: ช่างโอหังไร้ความเกรงกลัวต่อข้าพเจ้าผู้นี้เหลือเกินนะ
สฟิงซ์: จริงอยู่ว่าความรู้สึกกลัวคือสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ที่ไม่รู้จักไม่ได้มีแค่ความกลัวนะ เพราะว่าเป็นตัวแทนของแม่ผู้ซึ่งตกเป็นทาสของความกระหายต่อความรู้ยังไงล่ะ
พริสซิลล่า: แสดงว่ารู้จักข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ ――เจ้าคือวิญญาณสิงสถิตของหมู่บ้านคัฟฟูลตันแห่งนั้นสินะ
สฟิงซ์: ――‘อธิบาย’ จำเป็นค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านกลายเป็นผีดิบคล้ายกันนี้ขึ้นที่หมู่บ้านคัฟฟลูตันภายในอาณาเขตตระกูลบาริเอล ณ ราชอาณาจักรลูกุนิก้า
หลังจากที่ราชินีของพวกผีดิบถูกกำจัดลง พริสซิลล่าก็ไม่เคยได้ยินรายงานว่ามีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นในเขตปกครองของเธออีกเลย
สรุปคือเด็กสาวคนนี้เคย “เทสต์” การสร้างผีดิบที่คัฟฟลูตัน ก่อนที่จะพัฒนาวิธีการใส่แมลงเข้าไปในเปลือกมาจนถึงระดับปัจจุบัน
. เด็กสาวไม่ปฏิเสธเรื่องที่เธอมีเอี่ยวกับเหตุการณ์ในคัฟฟลูตัน แถมยังไร้ยางอาย เธอข้ามไปสนใจเรื่องอื่นต่อทันที
ความไร้อารมณ์สมกับเป็นการเสวนากับคนตายทำให้พริสซิลล่ามองว่าเด็กสาวช่าง “น่าเบื่อ” ยิ่งกว่าการคุยกับหลุมฝังศพเสียอีก
พริสซิลล่าแอบประหลาดใจที่ตัวบงการเรื่องนี้กลายเป็นผีดิบเสียเอง เนื่องจากว่ามันเป็นการเดิมพันที่เสี่ยง เพราะมีโอกาสที่พิธีกรรมเวทจะหยุดลงหลังเธอตาย จนแผนการทั้งหมดล้มเหลวไปเลย
จากการเสวนาสั้นๆ พริสซิลล่าเข้าใจว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ประเภทชอบเดิมพันกับแผนที่โอกาสสำเร็จไม่แน่นอน แต่เธอกลับใช้ชีวิตของตัวเองเป็นหนึ่งในหมากสำหรับ “มหาภัยพิบัติ”
พริสซิลล่า: เผชิญหน้ากับ “ความตาย” ที่ยากจะหลีกเลี่ยง เลยจำยอมต้องฝากฝังความหวังต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตายงั้นหรือ เป็นผีดิบอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่อุบัติการณ์นี้จะเกิดขึ้นงั้นหรือ มิเช่นนั้นก็…
สฟิงซ์: มิเช่นนั้นก็อะไร?
พริสซิลล่า: ――ถ้าหากชีวิตไม่ดำเนินต่อหลังมันจบสิ้นลงแล้วล่ะก็ ตั้งใจจะยอมรับจุดจบเพียงเท่านั้นสินะ
พริสซิลล่าไล่เรียงทฤษฎีสามอย่างจากการคาดเดาจุดมุ่งหมายของผีดิบเด็กน้อย โดยเธอลังเลที่จะกล่าวทฤษฎีที่ 3 ซึ่งแลดูมีความเป็นไปได้น้อยที่สุด ทว่า…
สฟิงซ์: ‘ชมเชย’ จำเป็นค่ะ
นั่นแปลว่าเด็กสาวตั้งใจจะล้มเลิกแผนการที่วางเอาไว้ยาวนานตั้งแต่เหตุการณ์ที่คัฟฟลูตัน ถ้าหากชีวิตของเธอจบสิ้นลง
. พอได้เห็นพริสซิลล่าขมวดคิ้วเคลือบแคลงใจ ผีดิบเด็กสาวก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยใบหน้าซีดเซียวที่ไร้อารมณ์ราวกับว่าภูมิใจในชัยชนะ
นั่นเป็นครั้งแรกที่พริสซิลล่ามองว่าเด็กสาวมีค่าพอที่จะเสวนาด้วยเสียที ราวกับว่าเธอมีชีวิตชีวามากขึ้นหลังจากความตาย
พริสซิลล่า: จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงสินะ มิใช่ว่าพึ่งมีมาชีวิตชีวาหลังความตาย เจ้าน่ะ เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อให้มันตื่นขึ้นมางั้นสินะ
สฟิงซ์: ไม่ได้ฆ่าตัวตายค่ะ โอกาสมันแค่บังเอิญมาถึงเอง เพราะงั้น ที่อนุมานว่าได้เผชิญหน้ากับ “ความตาย” ที่ยากจะหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้ผิด ‘แก้ไข’ จำเป็นค่ะ
ริมฝีปากของเด็กสาวแสดงรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง พริสซิลล่าสัมผัสได้ว่าสิ่งนี้คือจังหวะของชีวิต หรือก็คือ “อารมณ์” ซึ่งเด็กสาวไม่เคยมีมาก่อน
หากไร้ซึ่งอารมณ์ หากไร้ซึ่งเหตุผลให้ยึดติดต่อชีวิตของตนเอง ดวงวิญญาณของเด็กสาวคงมิอาจกลับมาสู่ภาชนะดินเพื่อคืนชีพเป็นผีดิบได้
. ความรู้สึกที่ว่ากำลังคุยอยู่กับตุ๊กตาไร้ชีวิตก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น สิ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับพริสซิลล่าอยู่ในตอนนี้คือตัวตนที่ต่างออกไป
สฟิงซ์: ก่อนหน้านี้ตัวฉันน่ะเพิกเฉยต่อแรงจูงใจในเรื่องนั้นไป แผนการที่ราชอาณาจักรถึงได้ถูกขัดขวาง แต่ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถกลายเป็น “แม่มด” แห่งราชอาณาจักรได้… ดูเหมือนว่าจะถูกเลือกให้เป็น “มหาภัยพิบัติ” แห่งจักรวรรดิแทนค่ะ
พริสซิลล่า: ถูกเลือก อย่างงั้นหรือ นั่นคือเหตุผลที่เจ้าเรียกตัวเองว่าหายนะอย่างงั้นสินะ?
สฟิงซ์: ‘แก้ไข’ จำเป็นค่ะ นั่นไม่ใช่แรงจูงใจ แต่เป็น “รากฐาน” ค่ะ ――นามของฉันคือ “สฟิงซ์” ที่ราชอาณาจักรลูกุนิก้าถูกเรียกว่า “แม่มด” ด้วยเช่นกัน
ยามที่เด็กสาว “สฟิงซ์” เปิดเผยชื่อออกมา พริสซิลล่าก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่ก่อนหน้านี้คาใจอยู่ได้เสียที
เธอบอกว่าตัวเองถูกเรียกว่า “แม่มด” ในราชอาณาจักรลูกุนิก้าเพียงเท่านั้น เพื่อแยกตัวเองออกจากแห่งแม่มดอีกหกคนนอกเหนือจาก “แม่มดแห่งความริษยา” ที่เคยถูกเรียกขานว่า “แม่มด” ไปทั่วโลก
การเจาะจงแยกแยะนี้ทำให้พริสซิลล่ารู้ทันทีว่าสฟิงซ์คือคนเดียวกับผู้ที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “สงครามอมนุษย์”
ทว่า สิ่งที่แม่มดสฟิงซ์ตั้งใจจะบอกกับพริสซิลล่ามิใช่เรื่องเล็กน้อยพรรค์นั้น หากแต่เป็น…
พริสซิลล่า: ――ตัวข้าพเจ้านี่แหละคือเหตุผลที่เจ้าก้าวข้ามความตายอันน่าเบื่อหน่ายและค้นพบความมีชีวิตชีวาในฐานะผีดิบงั้นสินะ
สรุปแล้วนั่นคือคำประกาศสงครามจากสฟิงซ์ ว่าตัวพริสซิลล่านั่นแหละคือเหตุผลที่เธอกลายเป็น “มหาภัยพิบัติ” ตั้งแต่แรก
. ตอนที่สฟิงซ์นำกองทัพผีดิบมาแทรกแซงสงครามกลางเมือง พริสซิลล่ากับยอร์น่ากำลังวุ่นอยู่กับการรับมืออาราเคียจนรู้ตัวถึงสถานการณ์ช้าไป
พริสซิลล่าจึงถูกจับมาล่ามโซ่ไว้ที่คุกใต้ดิน ยอร์น่าเองก็คงจะยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากพริสซิลล่ายังคงได้รับผลของ “วิชาคงคง” จากเธออยู่
ณ ตอนนั้นพริสซิลล่ายอมให้ถูกจับตัวเพื่อแลกกับความปลอดภัยของอาราเคีย
แต่หากลองคิดย้อนดูแล้ว ฝั่งศัตรูจะต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างกับพริสซิลล่าอย่างแน่นอน ถึงได้เลือกไว้ชีวิตและจับมาล่ามไว้ใต้ดิน
พริสซิลล่า: นึกว่าคนที่สนใจความอยู่รอดของข้าพเจ้าจะเป็นลาเมียเสียอีก
สฟิงซ์: องค์หญิงลาเมีย ก็อดวินเองก็เห็นพ้องกับการไว้ชีวิตคุณ เธอยึดติดกับคุณมากจริงๆ กระทั่งในวาระสุดท้ายยัง…
พริสซิลล่า: ――ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าใช้ร่วมกับลาเมียน่ะ ไม่ว่าใครก็ไม่คิดจะแบ่งปันให้ฟังทั้งนั้น
พอเห็นว่าพริสซิลล่าไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนั้น สฟิงซ์ก็ยอมข้ามไปประเด็นอื่นต่อ กระทั่งตัวสฟิงซ์เองก็ยังไม่แน่ใจว่าเธอเลือกไว้ชีวิตพริสซิลล่าเพื่ออะไรกันแน่
การไตร่ตรองเรื่องนั้นเป็นสิ่งใหม่สำหรับเธอเช่นกัน ยิ่งเสวนากับพริสซิลล่ามากขึ้น สฟิงซ์ก็เริ่มมีความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นมา ราวกับเป็นการรดน้ำให้แก่เมล็ดพันธุ์
กระนั้นพริสซิลล่าก็ยังเคลือบแคลงใจไม่หายว่าทำไมสฟิงซ์ถึงอยากยึดติดกับตัวเธอมากขนาดนั้น และเหตุใดความยึดติดนี้ถึงทำให้เธอกลายเป็น “มหาภัยพิบัติ” ได้
. สฟิงซ์: ก่อนหน้านี้พูดเรื่องน่าสนใจออกมาด้วยนี่ ที่ว่าทุกสิ่งมีชีวิตล้วนแต่เป็นทาสของบางสิ่งที่เหนือกว่าตนเอง ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจเลย แต่ตัวฉันในตอนนี้พอจะเข้าใจเรื่องนั้นแล้วล่ะค่ะ
พริสซิลล่า: …
สฟิงซ์: เพราะเหตุนี้ เราถึงสามารถค้นพบความมีเหตุผลใหม่ภายในความไร้เหตุผลได้ ‘สังเกต’ จำเป็นค่ะ
ว่าแล้วสฟิงซ์จึงเคาะไม้คทากับพื้น ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าของอัญมณีบนคทามีภาพสะท้อนของนครหลวงจักรวรรดิปรากฏขึ้นมา
พริสซิลล่า: อยากให้ข้าพเจ้าดูอะไร?
สฟิงซ์: ความถูกต้องของคำพูดของคุณและผลลัพธ์ของสมการใหม่ของฉันค่ะ
พอนึกย้อนถึงคำพูดตัวเองก่อนหน้านี้ ภาพสะท้อนผ่านเวทมนตร์ที่ทำงานคล้ายกระจกสนทนาก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา
สฟิงซ์: อารมณ์และความยึดติด พอเข้าใจมันแล้ว ก็เริ่มเข้าใจวิธีใช้งานมันเสียทีค่ะ หล่อนนี่ช่างกล้าหาญเหลือเกินนะคะ ถ้าหากทำเพื่อคุณแล้วล่ะก็ ต่อให้เสียสละตัวเองก็ยอมได้ ――‘ไตร่ตรอง’ จำเป็นค่ะ
. ในขณะเดียวกัน ณ สถานที่จริงซึ่งปรากฏอยู่ในภาพสะท้อนบนอัญมณีซึ่งพริสซิลล่าได้เห็น เซซิลุสกำลังรำพึงว่าลางสังหรณ์คราวนี้ของเขามันถูกครึ่งหนึ่งและผิดครึ่งหนึ่ง
หลังจากที่ฝากฝังให้กรูวี่รับบทหลอกล่อความสนใจศัตรู เซซิลุสก็รีบรุดหน้ามายังหอรบแห่งที่ 5 ตามลางสังหรณ์ที่ปกติแม่นยำมากๆ ของเขา
แน่นอนว่าที่นี่ไม่ได้มีศัตรูที่ใช้ “ดาบอสูร” อยู่ แต่มันคือสถานที่สำหรับฉากสำคัญของเนื้อเรื่อง ซึ่งเหล่าผู้ชมที่เอาแต่ส่งเสียงดังจะได้ชมการแสดงของเซซิลุส เซ็กมุนต์อย่างแน่นอน
อัล: …ว่าแต่ คิดจะแก้ตัวยังไงเรอะ?
เซซิลุส: นั่นสินะคร้าบ เอาแบบนี้เป็นไงครับ? ลางสังหรณ์ของผมไม่ได้ผิด เพราะว่าที่นี่มีสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ อยู่ยังไงล่ะ! ตามนั้น
อัลบ่นพลางมองดูเศษผ้าคลุมหนังในมือที่ถูกเผาจนใช้การไม่ได้แล้ว เนื่องจากศัตรูเปิดฉากโจมตีทั้งสองจนทั้งอาณาบริเวณกลายเป็นทะเลเพลิง
ที่เบื้องหน้าของอัลและเซซิลุสมีเด็กสาวผิวสีน้ำตาลในชุดวาบหวิวลอยตัวอยู่เหนือฟากฟ้า ก่อนหน้านี้เธอจู่โจมทั้งสองทั้งที่ไร้จิตสังหาร
มีเพียงแต่เสียงสะอื้นไห้จากร่างอันบอบบางที่ซึ่งดูดกลืนเอาบางสิ่งที่เกินตัวเองเข้าไป จนร่างกายของเธอแทบทนรับผลกระทบไม่ไหว
เซซิลุสพยายามชวนคุย แต่เด็กสาวเปิดฉากโจมตีด้วยลำแสงที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าจำนวนมหาศาล หนุ่มน้อยเลียริมฝีปากรอรับมือ ในขณะที่อัลรีบโยนเศษผ้าคลุมหนังทิ้งไป
อัล: อา เวรเอ๊ย! ――กางอาณาเขตใหม่!!
เสียงตะโกนของอัลถือเป็นสัญญาณเริ่มของศึกครั้งใหญ่ที่สุดของนครซากศพ
. จบตอน