อัลเดบารันรู้ว่า “นักอ่านดารา” คืออะไร เนื่องจากบุคคลผู้ล่วงรู้เกี่ยวกับทุกสรรพสิ่งในโลกแต่ก็ยังละโมภอยากจะกลืนกินสิ่งที่ตนไม่รู้จักอยู่อีกนั้นได้เคยบอกเขาเอาไว้
อัลกับบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งไม่สามารถจำกัดความว่า “ชอบ” หรือ “เกลียด” ได้ จริงอยู่ว่าอัลรู้สึกขอบคุณบุคคลนั้น แต่ก็รู้สึกว่าทั้งสองเข้ากันไม่ค่อยได้นัก
ทว่า สิ่งสำคัญมิใช่เรื่องที่บุคคลนั้นรู้จักและสนใจในนักอ่านดารา แต่เป็นเรื่องที่บุคคลนั้นเกี่ยวข้องกับ “เจ้านั่น” ได้อย่างไร
ตอนที่พริสซิลล่าประกาศว่าเธอต้องการไปวอลลาเคีย อัลพยายามลองหลายทางเพื่อหักห้าม แต่ก็มิอาจเปลี่ยนใจเธอได้ อัลจึงยอมติดตามพริสซิลล่าไปเป็นหลักประกันเพื่อช่วยคุ้มครอง
กระนั้นโชคชะตากลับเล่นตลกให้อัลไปเจอเข้ากับ “เจ้านั่น” ในจักรวรรดิ
ปกติแล้วอัลเกลียดโชคชะตา เนื่องจากว่ามันคอยแทรกแซงชีวิตของเขาอย่างน่าชิงชังอยู่ตลอด แต่ว่ามีเพียงคราวนี้เท่านั้นที่อัลรู้สึกขอบคุณต่อโชคชะตา
การที่โชคชะตาส่ง “เจ้านั่น” มายังที่นี่ด้วยทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปมากโข ถ้าหากว่า “เจ้านั่น” ถูกบีบให้ขยายขอบเขตของสิ่งที่ไม่อยากทอดทิ้งให้กว้างขึ้น จนกระทั่งล้นมือ…
…เมื่อนั้นความปรารถนาอันแรงกล้าของอัลเดบารันก็จะกลายเป็นจริง
ครั้งหนึ่งอัลเดบารันเคยทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป เขาเลยต้องก้าวเดินในความมืดมิด ต้องอาศัยเพียงแสงดาวอันริบหรี่ช่วยนำทาง จนล้มเลิกความพยายามไปหมดสิ้น
เพราะงั้นเธอผู้เป็นดั่งดวงตะวันถึงได้เจิดจ้าเหลือเกิน ความมืดมิดและความรู้สึกท้อถอยของเขาถูกเธอขจัดออกไปจนหมดสิ้น
เพื่อที่จะปกป้องแสงตะวันอันเจิดจ้านั้น ต่อให้ต้องคอยประจบโชคชะตา หรือต่อให้ต้องทนต่อความทุกข์ทรมานราวกับร่างถูกฉีกออก หรือต่อให้ต้องประจันหน้ากับ “เจ้านั่น” …อัลก็จะไม่ลังเล
ต่อให้ผู้ที่มาขวางทางเขาจะเป็น “แม่มด” หรือ “นักอ่านดารา” หรือ “มหาภัยพิบัติ” อัลก็ไม่สนใจเลยสักนิด
“――ขอเถอะ ได้โปรดล่ะครับ ขอร้องอย่าได้มาขวางทางชั้นเลย”
. “22 ครั้ง”
นั่นคือจำนวนครั้งที่อัลต้องรีเซ็ตกว่าที่เขาจะเข้าใจสาเหตุที่ร่างของตัวเองระเหิดหายไปในพริบตา
อัล: อือ สาเหตุไม่ใช่เมฆหรือหิมะแต่เป็นไฟ แสดงว่าเป็น “เรดเอาท์” สินะ หรือไม่ก็เรียกว่า “คริมสันเอาท์” เพราะมันเท่กว่า ――แต่ไอ้การต่อสู้เลเวลนี้ ชั้นจะเข้าไปแจมยังไงวะเนี่ย!
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของอัลตอนนี้คือหอรบแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นเป้าหมายภารกิจของเขาถูกทำลายจนสิ้นซาก กระนั้นกลับมีอุปสรรคที่เลวร้ายกว่าปรากฏออกมาแทนที่
ซึ่งก็คือเด็กสาวผู้มีเส้นผมสีเงิน ตาสีแดง และผิวสีน้ำตาล ผู้ที่รวมเป็นหนึ่งกับท้องนภาและเปลี่ยนให้หมู่เมฆกลายเป็นสีแดงฉาน
. หลังจากที่มอบหมายให้กรูวี่รับมือกับราชาแห่งหนาม อัลกับเซซิลุสก็ใช้ผ้าคลุมหนังหมาป่าสมิงย่องมายังหอรบแห่งที่ 2
ทว่า ศัตรูเปิดฉากจู่โจมทันที แถมยังเป่าอัลให้หายไปพร้อมกับหอรบหลายครั้งหลายครา จนเขาต้องเสียเวลาไปมากมายกว่าจะหาวิธีรอดจากการโจมตีแรกได้
อัล: ――เริ่มต้นการทดลองทางความคิดใหม่ ตั้งค่าอาณาเขตใหม่
เนื่องจากว่าไม่สามารถแทรกแซงการต่อสู้ได้ อัลจึงพยายามตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่ทุกสิบวินาทีหรือสั้นกว่านั้นเพื่อค้นหาช่องทางหลบหนีโดยเร็วที่สุด
กระนั้นถ้าหากอัลต้องกลับจุดเซฟใหม่เรื่อยๆ โลกก็จะไม่เดินหน้าต่อเสียที แถมเซซิลุสยังติดพันกับการต่อสู้จนไม่ว่างมาลากอัลออกจากโซนอันตรายอีก
คู่ต่อสู้ของเซซิลุสก็คือเด็กสาวแห่งท้องนภา “อาราเคีย” ซึ่งอัลเคยรู้จักตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเด็ก แต่ยิ่งกลับมาเจอกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยิ่งแย่ลงทุกที
. สถานะปัจจุบันของอาราเคียนั้นผิดปกติอย่างชัดเจน ร่างของเธอกำลังดีดดิ้นทรมานอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ากำลังถูกแสงสีขาวค่อยๆ กลืนกินจากภายใน
แถมยังมีหินผลึกมนตราสีเหลืองโปร่งใสงอกออกมาตามผิวสีน้ำตาลของอาราเคียไปทั่วทั้งร่าง ซึ่งมองผิวเผินแล้วอาจจะคิดว่าเป็นพลังอย่างหนึ่งของ “ผู้เสพวิญญาณ” ได้
ทว่า น้ำตากำลังไหลรินออกมาจากดวงตาสีแดงของอาราเคียซึ่งมัวหมองจนไม่เห็นสิ่งใด ริมฝีปากเองก็ส่งเสียงร้องทรมานราวกับขอความช่วยเหลืออยู่
อาราเคียในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยที่ร้องห่มร้องไห้ระหว่างที่แกว่งแขนตบตีคนที่เข้ามาปลอบ ซึ่งอัลไม่สามารถทำใจทอดทิ้งได้ลง
เซซิลุส: แต่ว่า ――น้ำตาเหล่านั้นก็มีความหมายอยู่
พอกล่าวจบ เซซิลุสก็ถีบตัวจากซากปรักหักพังที่เริ่มหลอมละลายเนื่องจากมีแมกม่าไหลท่วมอาณาบริเวณหอรบที่ 2
ถ้าหากคนเราเผลอย่ำเท้าเหยียบแมกม่า มันไม่จบแค่ที่ดาเมจจากการล้มกระแทก อวัยวะส่วนนั้นก็จะกลายเป็นถ่านในทันที ไม่มีกระทั่งแผลเป็นเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า อ้างอิงจากประสบการณ์ตรงของอัลเอง
กระนั้นเซซิลุสกลับกระโจนเข้าไปยังสวนแห่งแมกม่าซึ่งมีพื้นที่ยืนจำกัด เพื่อย่นระยะประชิดเข้าหาอาราเคียที่ลอยอยู่กลางเวหา
. อาราเคียตอบโต้ด้วยการยิงหอกลำแสงหลายเล่มปักใส่พื้นแมกม่า หลังผ่านไปชั่วอึดใจ พื้นที่โดยรอบแสงก็ถูกบีบเข้าหากัน แล้วเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงตามมา
อัลตกตะลึงกับภูมิประเทศโดยรอบซึ่งถูกเปลี่ยนจากการโจมตีดังกล่าว แถมพื้นที่ยืนของเซซิลุสก็ถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น
ทว่า เซซิลุสกลับสามารถวิ่งอยู่บนผิวแมกม่าต่อได้คล้ายกับวิชาวิ่งบนผิวน้ำของชิโนบิซึ่งอัลเคยเห็นมาก่อน
อัล: ทำงั้นได้ด้วยเหรอวะ!?
เซซิลุส: ตราบเท่าที่ยังคงเชื่อมั่นยังไงล่ะ!
เซซิลุสวิ่งแหกกฎฟิสิกส์เข้าไปในบ้านที่ยังสภาพดีอยู่ แล้วในพริบตาต่อมา เสาบ้านก็บินทะยานไปยังท้องนภาราวกับเป็นลูกศร
แต่เสาต้นดังกล่าวก็ลุกไหม้เป็นตอกะโตก่อนไปถึงตัวอาราเคีย ดูเหมือนว่ากระทั่งท้องฟ้ารอบตัวเธอยังบิดเบี้ยวด้วยความร้อนอุณหภูมิมหาศาล
เซซิลุส: ย่าห์! ย่าห์ย่าห์! ย่าห์ย่าห์ย่าห์!
เซซิลุสกระหน่ำโจมตีอาราเคียต่อด้วยการเตะเสา หลังคา สิ่งของในบ้าน และเศษซากอาคารขึ้นไปหา แน่นอนว่ากระสุนเหล่านั้นละลายก่อนถึงตัวอีกฝ่าย
. ดูผิวเผินแล้วการโจมตีที่ไร้ความหมายของเซซิลุสทำได้เพียงแค่เปิดเผยตำแหน่งของเขาให้อาราเคียยิงลูกศรแสงพลังทำลายล้างสูงสวนกลับมา
แต่แท้จริงแล้วเซซิลุสกำลังพยายามหลอกล่อให้อาราเคียโจมตีแต่ภายในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้นครหลวงจักรวรรดิโดนลูกหลงไปด้วย
ปัจจุบันอาราเคียไม่หลงเหลือสติอยู่แล้ว เธอเพียงแค่จู่โจมตามสัญชาตญาณเพื่อต่อต้านไม่ให้ร่างกายที่รับเอาบางสิ่งที่เหนือกว่าจินตนาการของอัลเข้าไปมันระเบิดออก
ดังนั้นเซซิลุสจึงมิอาจปล่อยให้อาราเคียออกจากพื้นที่นี้ได้ มิเช่นนั้นคงมีผู้คนต้องตายมากมาย แถมนครหลวงลูปุกาน่าคงกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ซึ่งไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ไปอีกกว่าร้อยปี
เป้าหมายของเซซิลุสกับสถานะของอาราเคียทำให้อัลชั่งใจว่าเขาควรจะหนีไปดีไหม แต่อัลก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ากระทั่งเซซิลุสยังพลาดท่าจนขาขาดได้
อัลลังเลว่าเขาจะช่วยอะไรไหวไหม แค่ตอนเปิดฉากโจมตีเขาก็ตายไป 22 ครั้งแล้ว ถ้าหากอยู่ช่วยจนจบมีหวังได้ตายเยอะจนเป็นบ้าแน่
แต่ต่อให้เขาจะเสียสติไป ก็ยังสามารถมองเห็นแสงตะวันที่สาดส่องได้อยู่ดี
อัล: ถ้างั้น ตัวชั้นน่ะ จะเป็นยังไงก็ช่าง
อัลใช้นิ้วเคาะหมวกเกราะแล้วย่างก้าวออกไป ภายในวินาทีต่อมา ลำแสงสีขาวที่เล็งใส่เซซิลุสก็ระเบิดห่างออกไปไม่กี่เมตร แล้วส่งกระสุนแมกม่าตรงมาหาเขา
อัล: ――รอบต่อไป
ภายในอาณาเขตที่ตั้งค่าขึ้นใหม่นี้ อัลที่เป็นเพียงคนธรรมดามุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่เวทีใหญ่ของการต่อสู้ที่เกินตัวเขา
. ก่อนหน้านี้การฆ่าฟันระหว่างเซซิลุส เซ็กมุนต์และอาราเคียซึ่งเป็นแม่ทัพเทวะ “ลำดับหนึ่ง” กับ “ลำดับสอง” ถือเป็นเรื่องปกติสามัญภายในนครหลวงจักรวรรดิ
ครั้งหนึ่งเซซิลุสเคยงัดเอาวิชาดาบที่สามารถฟันแหวกหมู่เมฆออกมาใช้ เจ้าตัวเรียกมันว่าเป็นการแสดงปาหี่ที่มีดีแค่สร้างความหวือหวา อาราเคียเองก็มองว่ามันเป็นวิชาดาบที่ไร้ประโยชน์
สำหรับอสุรกายที่เกินสามัญสำนึกทั้งสอง มันอาจเป็นได้แค่ของปาหี่ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งนั้นคือผลงานเทพที่ “โลอัน เซ็กมุนต์” ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อคิดค้นมันขึ้นมา
ตัดกลับมาปัจจุบัน โลอันโน้มตัวหลบลูกเตะจากหญิงสาวจิ้งจอก จากนั้นก็อาศัยช่องโหว่เล็งฟันใส่เอวของศัตรูเพื่อผ่าร่างของเธอออกเป็นสองซีก
แต่แล้วหางจิ้งจอกของหญิงสาวก็ปะทะเข้ากับหน้าอกของเขา แรงกระแทกบีบอากาศออกจากปอด กระดูกสันอกของโลอันสั่นไหวในขณะที่ร่างของเขากระดอนกับพื้น
. หลังหมุนควงไปสามรอบถ้วน โลอันก็ปักคาตานะลงกับพื้น พร้อมใช้ขาย่ำเป็นเบรก จากนั้นก็เสียบดาบกลับเข้าฝักเพื่อตั้งท่าเตรียมชักดาบตามวิชาบัตโตจุตสึ
ไอริส: พอจะเข้าใจแล้วหรือยังเจ้าคะ?
โลอัน: ――!?
ก่อนที่เขาจะทันได้ชักดาบออกมา หญิงสาวจิ้งจอกก็เอามือขวางด้ามจับเอาไว้ พร้อมจดจ้องโลอันด้วยสายตาเวทนา
ไอริส: ท่านน่ะ มิใช่คู่มือของข้าน้อยหรอกเจ้าค่ะ
โลอัน: โอ้ววววว!!
แทนที่จะแข่งพละกำลังกับไอริสเพื่อฝืนชักดาบ โลอันกลับเลือกดึงปลอกดาบออกมาแทน จากนั้นก็หมุนตัวเหวี่ยงปลอกดาบซึ่งทำจากกระดูกของสัตว์มารเล็งซัดเข้าใส่ศัตรูเพื่อบดขยี้กะโหลก
แต่แล้วปลอกดาบของโลอันกลับกลายเป็นสิ่งที่แหลกสลายเสียเอง หลังจากที่มันปะทะเข้ากับศีรษะของไอริส
ไอริส: มิได้อยากจะฆ่าเลยเจ้าค่ะ แต่รับรองว่าเจ็บเจียนตายแน่เจ้าค่ะ
ว่าแล้วไอริสจึงใช้ฝ่ามือกระแทกใส่หน้าผากของโลอัน สมองที่สั่นสะเทือนทำให้เขาสูญเสียสมาธิที่จะตั้งตัว ส่งผลให้ร่างกระเด็นไปไกลกว่า 10 เมตรบนถนนหน้าพระราชวังแก้วผลึก
. ทั้งที่การต่อสู้พึ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน โลอัน เซ็กมุนต์กลับตกอยู่ในสภาพปางตายเรียบร้อยแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งเกินไป
โลอันรู้อยู่ก่อนแล้วว่าศัตรูของเขาแข็งแกร่ง แต่ก็ยังหลงละเมอว่าตนเองจะเป็นฝ่ายที่ชนะได้ในท้ายที่สุด สุดท้ายครั้งนี้เองก็จะจบแบบเดิมง
ความปรารถนาอันแรงกล้าของโลอัน เซ็กมุนต์คือการเข้าถึง “ดาบสุราลัย” เพื่อการนั้นแล้ว ต่อให้ต้องก้าวเดินบนเส้นทางอันยากลำบากที่ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจหรืออสุรกาย เขาก็ยอมรับได้
เขาพร่ำเพียรฝึกฝน มุ่งมั่นไม่เคยย่อท้อ แต่สุดท้ายมันก็ยังคงไม่พอ
ช่วงชีวิตวัยหนุ่ม โลอันเคยฆ่าฟันแต่คู่ต่อสู้ที่ฝีมือดาบสูสีกัน ไม่เคยได้ปะทะกับตัวตนเหนือสามัญสำนึก แล้วพอสิ้นหวังจนอยากตาย เขาก็ดันถูกเลือกให้เป็น “นักอ่านดารา”
โลอัน เซ็กมุนต์ไม่เคยได้เจอคู่แข่งที่อยากพัฒนาร่วมกัน ไม่เคยเจอศัตรูที่อยากแกร่งขึ้นเพื่อก้าวข้าม ไม่เคยเจอคนรักที่ช่วยผลักดันให้เขาไปได้ไกลกว่าที่เคย
ทั้งชีวิตของโลอันมีเพียงความโดดเดี่ยวเดียวดาย เขาไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์กับคนรักหรือมิตรสหาย ไม่เคยมีใครที่ช่วยบอกจุดยืนให้แก่เขาหรือช่วยผลักดันเขาได้เลย
. สาเหตุที่โลอันรอดจากการโจมตีแรกของไอริส ก็เนื่องจากว่าอีกฝ่ายไม่ได้มุ่งหวังจะสังหารตั้งแต่แรก
สาเหตุที่ผีดิบบัลรอย เทเมกริฟถอยทัพหลังโลอันใช้วิชาดาบ “สะบั้นเมฆา” ก็เนื่องจากกว่าเขากลัวว่าเซซิลุส เซ็กมุนต์จะโจมตีสวนกลับ
สาเหตุที่โลอันอยู่รอดปลอดภัยตั้งแต่ “มหาภัยพิบัติ” เริ่มต้นขึ้น ก็เนื่องจากว่าที่ผ่านมาเขายังไม่เคยปะทะกับศัตรูที่เก่งกว่าตัวเองเลย
สาเหตุที่เซซิลุสไว้ชีวิตเขาหลังความแตกเรื่องแผนลอบสังหารจักรพรรดิ ก็เนื่องจากว่าลูกชายคิดว่าคงน่าสนุกดี หากบิดาของเขากลับมาสู้กับตนเองหลังจากที่แข็งแกร่งขึ้น
ที่โลอัน เซ็กมุนต์มีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ล้วนแต่เป็นเพราะโชคชะตาเข้าข้างเขาตลอด
กระทั่งศัตรูที่โลอันกำลังต่อสู้อยู่ด้วยในปัจจุบัน ยังไม่คิดที่จะช่วงชิงชีวิตไปจากเขาเลย
ราวกับว่าโลกใบนี้ไม่คิดจะทำให้ความปรารถนาของโลอันสมหวัง มีเพียงแค่เส้นทางแห่งการรอดชีวิตไปวันๆ เท่านั้นที่ถูกปูพรมเอาไว้ให้
. ไอริส: ――ยังจะต่ออยู่อีกเหรอเจ้าคะ?
ไอริสทักขึ้นหลังจากที่เห็นโลอันฝืนสังขารแบกร่างตัวเองให้ลุกขึ้นมา เธอเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจนโลอันละสายตาไม่ได้เลยสักนิด
เมื่อได้เห็นมานาปริมาณมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่รอบกายเธออีกครั้ง โลอันก็เริ่มคิด ว่าหรือนี่จะเป็นสถานการณ์ที่จะทำให้เขาหลุดออกจากกรอบเดิมๆ เสียที
ภายในนครซากศพลูปุกาน่า ไอริสซึ่งยังมีชีวิตอยู่กลับเป็นผู้พิทักษ์ที่ปกป้องพระราชวังแก้วผลึกที่ผู้บงการเบื้องหลังน่าจะหลบซ่อนอยู่ภายใน
“หรือว่าหญิงสาวคนนี้จะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิวอลลาเคียกันนะ?”
พอคิดว่าเธออาจจะเป็นตัวตนที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเซซิลุสซึ่งเป็นเก้าแม่ทัพเทวะ “ลำดับหนึ่ง” โลอันก็หัวเราะออกมาด้วยความยินดีปรีดา
ในชั่ววินาทีนี้ ในที่สุดโลอัน เซ็กมุนต์ก็ไต่เต้ามาถึงยอดเกือบสูงสุด เพียงแค่เอาชนะศัตรูคนนี้ เขาก็จะเข้าถึง “ดาบสุราลัย” ได้ โดยที่ไม่ต้องกำราบลูกชาย
โลอัน: ――นักดาบ โลอัน เซ็กมุนต์
โลอันกล่าวแนะนำตัวเป็นพิธีจากนั้นก็เสียบดาบกลับเข้าฝักเพื่อตั้งท่าเตรียมชักดาบอีกครั้ง คราวนี้เขามั่นใจว่าได้เปรียบไอริสเรื่องระยะห่าง
โลอัน: ――“สะบั้นเมฆา”
วินาทีที่ดาบถูกชักออกจากฝัก คมดาบก็ผ่าแหวกห้วงอากาศและใบไม้ที่ปลิวว่อนเข้าไปหาไอริสด้วยความเร็วเหนือเสียงและสายลม
มันคือวิชาดาบที่โลอันขัดเกลาออกมาได้ดีที่สุดทั่วทั้งชีวิตของเขา ซึ่งพร้อมที่จะกุดศีรษะของไอริสให้ขาดกระเด็น…
ไอริส: ――มาได้เท่านี้แหละเจ้าค่ะ
ทว่า เพียงแค่เอียงคอเล็กน้อย ไอริสก็หลบวิชาดาบที่ดีที่สุดในชีวิตของโลอันได้อย่างง่ายดาย และเธอก็ไม่คอยท่าให้โอกาสโลอันได้ฟันรอบที่ 2 เลยด้วยซ้ำ
. หลังจากที่ใช้ชายกระโปรงของชุดเดรสอัดกระแทกโลอันให้จมพื้นถนน ไอริสก็หันหลังกลับเตรียมที่จะเดินจากไป
คู่ต่อสู้ของเธอหมดท่าไปแล้ว และต่อให้เขาลอบฟันเธอจากข้างหลัง การโจมตีก็ไม่มีวันมาถึงตัวไอริสอยู่ดี
จากการประเมินของไอริส โลอันไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นกัน เขาเป็นเหมือนเพียงจุดสูงสุดที่คนธรรมดาสามารถไต่เต้ามาได้
ซึ่งคนที่แข็งแกร่งระดับเพียงแค่นั้นถือว่ามาอยู่ผิดที่ผิดทางในนครซากศพแห่งนี้ ไอริสจึงเตือนทิ้งท้ายให้โลอันรีบออกไปตอนที่ยังคงมีชีวิตอยู่
ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนที่บุกเข้ามา ไอริสก็จะขับไล่กลับไปให้หมด เพื่อที่เรื่องราวระหว่างไอริสกับยูการ์ดจะได้…
ไอริส: ――ทำไมถึงยังลุกขึ้นมาอีกเจ้าคะ?
ไอริสสัมผัสได้โดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมองว่าโลอันกำลังลุกขึ้นยืน ทั้งที่เธอนึกว่าซัดเขาจนสลบไปแล้ว แต่ครั้นจะใส่แรงมากกว่านี้ กะเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะตายได้
. เธอไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งใดกันที่ผลักดันอีกฝ่ายให้ฝืนขนาดนี้ เกียรติศักดิ์ศรีแห่งนักรบและลูกผู้ชายหรือไงกัน
ไอริส: ในเมื่อยังไม่คิดจะยอมแพ้อีกล่ะก็… เอ๊ะ?
พอหันหลังกลับมา ไอริสก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เธอต้องตกตะลึง ไม่ใช่ว่าโลอันย่นระยะเข้าประชิดเธอในพริบตา หรือว่ามีกำลังเสริมตามมาสมทบ
แต่ว่า โลอัน เซ็กมุนต์ กำลังใช้ดาบคาตานะเฉือนคอตัวเอง เลือดปริมาณมหาศาลพุ่งกระฉูดออกมาจากปากแผล ชีวิตของโลอันกำลังจะจบสิ้นลงอย่างรวดเร็ว
ไอริส: …ทำไมกัน?
ในขณะที่ไอริสกำลังพยายามประมวลสถานการณ์ โลอันที่กำลังจะสิ้นใจก็ฉีกยิ้มที่อาบไปด้วยเลือดออกมา
โลอัน: ต่อให้ต้องตายไป ตัวเราก็ยัง――
พูดยังไม่ทันจบประโยค ชีวิตของโลอันก็ดับสิ้นลงเสียก่อน ไอริสพยายามวิ่งเข้าไปหาร่างที่ไร้ชีวิตของเขา แต่มือของเธอไปไม่ถึงศพของโลอัน เนื่องจากว่า…
ผีดิบโลอัน: ――ตัวเราก็ยังเข้าถึง “ดาบสุราลัย” ได้!!
ทันใดนั้นเอง ผีดิบของโลอัน เซ็กมุนต์ที่พึ่งตายไปสดๆ ร้อนๆ จำนวนหลายร่างก็เข้าจู่โจมไอริสจากรอบทิศทาง
. ตัดไปทางไฮน์เคลซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับ “มังกร” ที่พ่นลมหายใจอัดใส่เขา
ไฮน์เคลอาศัยสัญชาตญาณรีบฟันแหวกพื้นเป็นรูเพื่อกระโจนตัวเข้าไปหลบ แต่แน่นอนว่าลมหายใจของเมโซเรย์อาย่อมสามารถตามเข้าไปหาเขาได้อยู่ดี
มันคงย้อนแย้งน่าดูหากไฮน์เคล แอสเทรอา ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลที่ปกปักรักษาราชอาณาจักรมิตรมังกรมาหลายยุคสมัยจะต้องมาจบชีวิตลงเพราะลมหายใจของมังกร
??: ――เฮ้ยๆ อย่ามาตายง่ายๆ แบบนั้นสิวะ ลุง
ไฮน์เคล: อึก เหวอออออ!?
ทันใดนั้นเองร่างของไฮน์เคลก็ถูกกระชากออกมาจากหลุมที่เขาขุด จนพ้นทางลมหายใจสีขาวมังกรอย่างพอดิบพอดี
ทัศนวิสัยของไฮน์เคลหมุนวนจนคลื่นไส้ เดิมทีหน้าผากก็แตกจนสติเลือนลางอยู่แล้วด้วย แต่ถ้าหากเขายังอยู่ที่เดิม ป่านนี้คงถูกหมอกสีขาวกลืนหายไปแล้ว
??: เพื่อที่พวกขุนศึกจะได้บุกเข้ามาง่ายๆ หน้าที่ของชั้นคนนี้คือการอาละวาดทางทิศใต้เพื่อดึงความสนใจแท้ๆ… เหอะ! ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยเฟ้ย
ไฮน์เคล: …หา?
??: นึกว่าจะเผ่นไปแล้วซะอีก ใจกล้าดีเหมือนกันนี่หว่า ลุง
สายที่ยังเลือนลางหลังถูกหางมังกรฟาดกับแก้วหูที่ยังสั่นไม่หยุดทำให้ไฮน์เคลไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เขาคนนั้นซัดกำปั้นเข้าหากันต่อหน้า “มังกรเมฆา” อย่างไม่เกรงกลัว
การ์ฟีล: ――ชั้นคนนี้จะให้ยืมพลังเองเฟ้ย ลุง! อย่างที่เขาว่า “ไม่มีใครยกหินคูเวนคนเดียวไหว” ยังไงเล่า!!
“การ์ฟีล ทินเซน” สมาชิกแนวหน้าของ “หน่วยกอบกู้จักรวรรดิวอลลาเคีย” ที่มาถึงเป็นคนแรกประกาศสงครามต่อหน้า “มังกรเมฆา” ด้วยเสียงคำราม
. จบตอน