webnovel arc8 chapter43-5

บทที่ 8 ตอนคั่นบท (ตอนที่ 43.5) "อูบิรูค"

อูบิรูคนั้นเป็น “นักอ่านดารา” อย่างที่เราทราบกันดี

ปกตินักอ่านดาราคนอื่นจะมีชะตากรรมน่าสงสารเนื่องจากวิถีชีวิตถูกแทรกแซงจนบิดเบี้ยว

ทว่า สำหรับอูบิรูคซึ่งเดิมทีเป็นเพียงโสเภณีชายผู้ไร้ตัวตนนั้น เขารู้สึกซาบซึ้งในลิขิตสวรรค์ที่ตนได้รับมาเป็นอย่างมาก

ความรู้สึกนั้นมิได้แปรเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย กระทั่งในปัจจุบันที่อูบิรูคบรรลุลิขิตสวรรค์ของตัวเขาเรียบร้อยแล้ว

อูบิรูค: นี่ยัง~ ช่วยเหลือวอลลาเคียให้รอดพ้นไม่สำเร็จเลยไม่ใช่เหรอคร้าบ…

อูบิรูคกำลังพร่ำเพ้ออยู่คนเดียวในยามค่ำคืนที่เหล่ากองทหารประจำเมืองป้อมปราการการ์คลากำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมพร้อมรับมือศึกสงคราม

ก่อนหน้านี้อูบิรูครู้สึกว่าในหัวของเขามี “หมอก” บางอย่างคอยบงการความคิด แต่พอเขาสิ้นสุดหน้าที่ของนักอ่านดารา หมอกที่ว่าก็จางหายไปทันที

ทว่า การถูกปลดปล่อยจากโซ่ตรวนแห่งความบ้าคลั่งดันทำให้อูบิรูครู้สึกเปลือยเปล่าแทนที่จะรู้สึกยินดีที่ได้รับอิสระ

เขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรงไปตั้งมากมายเพื่อทำตามลิขิตสวรรค์ให้ลุล่วง เขาพยายามเอาตัวรอดบนเกาะทาสดาบสุดชีวิตทั้งที่ตนไร้ความสามารถในการต่อสู้

อูบิรูคยอมกระทั่งทำลายเนตรมารบนหน้าอกตนเพื่อซื้อใจจักรพรรดิวินเซนต์ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะมองว่าเนตรมารของตนมิใช่สิ่งที่ทรงพลังจนน่าเสียดายก็ตาม

สิ่งสำคัญคืออูบิรูคในตอนนี้รู้สึกสูญเสียจุดยืนที่เขาเคยมีมาตลอดชีวิต ราวกับว่าถูกถอนบทบาทกลางคันทั้งที่ยังไม่ทราบผลลัพธ์

. ลิขิตสวรรค์ของอูบิรูคมอบหมายให้เขาช่วยเหลือจักรวรรดิวอลลาเคียให้รอดพ้นจากการล่มสลายอันเกิดจาก “มหาภัยพิบัติ”

ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นการบอกใบ้จากเบื้องบนว่า หลังจากนี้ไป ไม่มีอะไรที่อูบิรูคสามารถช่วยเหลือในเรื่อง “มหาภัยพิบัติ” ได้อีกแล้ว

เพราะงั้นอูบิรูคจึงเริ่มรู้สึกกังขาการตัดสินใจที่ผ่านมาของตน ก่อนหน้านี้เขายอมรับต่อหน้าวินเซนต์ตามตรงว่าตนไม่มีลิขิตสวรรค์ที่เกี่ยวกับ “มหาภัยบัติ” เหลืออยู่แล้ว

ไม่แน่ว่าถ้าหากเลือกโกหกไป อูบิรูคอาจจะได้ติดตามไปที่นครหลวงลูปุกาน่าด้วยอีกคน กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากให้จักรวรรดิล่มสลาย จึงได้ตอบตามความจริงไป

ตอนที่ต้องเลือกระหว่างวินเซนต์กับจิชา อูบิรูคได้เลือกช่วยเหลือแผนการของจิชาซึ่งจะทำให้วินเซนต์ตัวจริงรอดตาย

เขารู้สึกนับถือจิชาซึ่งมีปณิธานในการทำเรื่องยิ่งใหญ่เช่นนั้น ทั้งที่ตัวจิชามิได้มีลิขิตสวรรค์มาบังคับ

. ระหว่างที่เดินลอยชายแบบไร้จุดหมาย อูบิรูคก็รู้สึกอิจฉาเหล่าทหารในป้อมปราการซึ่งยังคงมีภาระหน้าที่รับผิดชอบของตนอยู่ จนเริ่มเกิดความคิดไม่ดีขึ้นในหัวเขา

อูบิรูค: สมมุติว่าจักรวรรดิตกอยู่ในอันตรายขึ้นมา… ตัวผม จะได้รับลิขิตสวรรค์มาอีกครั้งเหรือเปล่าน้า~?

ถ้าหากบุคคลสำคัญฝั่งจักรวรรดิหรือฝั่งราชอาณาจักรเกิดตายขึ้นมา วอลลาเคียอาจจะเสี่ยงภัยที่จะล่มสลายจนเบื้องบนต้องการพึ่งพาอูบิรูคอีกครั้ง

ความเป็นไปได้ที่นักอ่านดาราจะได้รับลิขิตสวรรค์รอบที่สองนั้นแทบจะเป็นศูนย์ แต่ถึงกระนั้น โอกาสมันก็ไม่ใช้ 0% เสียทีเดียว

เพื่อที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ อูบิรูคจึงเดินลากเท้าไปยังปราการใหญ่ด้านหลังสุด ซึ่งเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของเมืองการ์คลา

ถ้าหากเขาทำกลอนประตูปราการให้หลวมไว้ หรือแอบฝังศิลามนตราให้ระเบิดถูกจังหวะเวลา นั่นอาจจะช่วยให้ฝั่งผีดิบได้เปรียบขึ้นมาก้าวหนึ่ง และช่วยเติมเต็มเชื้อไฟที่ดับมอดในหัวใจของอูบิรูคขึ้นมาอีกครั้ง

คาชัว: ――นั่นนาย ทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ?

ตอนนั้นเองที่เด็กสาวในรถเข็นทักอูบิรูคลงมาจากชั้นสองของปราการใหญ่

เด็กสาวสงสัยว่าอูบิรูคกำลังอู้งานอยู่ ทั้งๆ ที่คนพิการอย่างเธอยังพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์

. อูบิรูคเลือกถามกลับว่าทำไมเด็กสาวพิการที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ยังมีชีวิตรอดอยู่อีก ทำไมตัวเธอที่ไม่มีประโยชน์อะไรถึงกระเสือกกระสนอยากช่วยเหลือคนอื่นอยู่อีก

คาชัว: …ฉันน่ะนะ มีคู่หมั้นที่ตายจากไปเพราะการต่อสู้นี้อยู่ ทั้งที่อุตส่าห์ถ่อมาช่วยฉันถึงที่ แต่ดันต้องมาตาย

อูบิรูค: …เรื่องน้าน~ คงจะทำใจยากน่าดูเลยสินะครับ

คาชัว: ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี ที่จริง ก็ไม่ใช่แค่นายคนเดียวหรอก ทุกคนเอาแต่พูดเหมือนเข้าใจความรู้สึกดี ยุ่งไม่เข้าเรื่องทั้งนั้น แต่ว่านะ

อูบิรูค: แต่ว่าอะไร?

คาชัว: พอได้เห็นผู้หญิงนั่งรถเข็นที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไร้ประโยชน์ คนอื่นเขาจะคิดยังไง? อา “ที่คู่หมั้นต้องตายก็เพราะว่าเป็นซะแบบนี้” อะไรทำนองนั้นล่ะสิ ท็อดด์ก็คงจะถูกว่าร้ายไปด้วย

ถึงแม้เจ้าตัวจะสื่อสารแบบอ้อมค้อม แต่ใจความสำคัญก็ยังส่งไปถึงอูบิรูค เด็กสาวพิการไม่ต้องการความสงสารจากใคร

เธอต้องการหน้าที่แค่เพียงเล็กน้อย ต้องการทำตัวให้มีประโยชน์ และต้องการใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ เพื่อที่คู่หมั้นที่ตายไปจะได้ไม่ถูกใครดูหมิ่นดูแคลน

คาชัว: ถะ…ถ้าเข้าใจแล้ว ก็ไปหาหน้าที่อะไรทำซะสิ นายคงไม่ได้ด้อยกว่าผู้หญิงนั่งรถเข็นใช่ไหมล่ะ?

ประโยคนั้นกำกวมว่าเธอกำลังด่าอูบิรูคหรือด้อยค่าตัวเองอยู่กันแน่ กระนั้นเพียงแค่การเสวนาสั้นๆ อูบิรูคก็เข้าใจแนวทางการเลือกใช้ชีวิตของสาวพิการเป็นอย่างดี

อูบิรูค: น่าชื่นชมมากเลยคร้าบ คุณหนู เธอน่ะพึ่งช่วยกำจัดหนึ่งในเหตุผลที่อาจทำให้จักรวรรดิล่มสลายไปเลยนะครับ

การสนทนากับเด็กสาวพิการได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยอูบิรูคให้เป็นอิสระจากภาระหน้าที่ของ “นักอ่านดารา” อย่างแท้จริง

. หลังจากอูบิรูคเดินจากไปหาหน้าที่ทำกับพวกทหารในป้อมปราการ คาชัวก็มาบ่นให้เรมฟัง ซึ่งเรมก็อดไม่ได้ที่จะเตือนคาชัวเรื่องการคุยกับคนแปลกหน้าตามลำพัง

หน้าที่ของเรมคือการเป็นผู้รักษาให้กับเหล่าทหารในศึกป้องกันเมืองที่กำลังจะมาถึง ส่วนคาชัวก็พึ่งมีผลงานช่วยเปลี่ยนใจคนอู้งานไปคนหนึ่ง

เพื่อไม่ให้คาชัวมัวแต่เศร้าเรื่องท็อดด์และคิดมากเรื่องจามาลที่กะจะทำหน้าที่จนตัวตาย เรมจึงขอให้คาชัวช่วยเธอเตรียมผ้าสะอาด

ตอนนั้นเองที่เพทร่า เฟรเดริก้า และรัมเดินมาเจอกับพวกเรมพอดี ปัจจุบันเรมเริ่มสนิทกับรัมแล้ว แต่ยังคงประเมินความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอกับอีกสองคนไม่ออก

ฝั่งเพทร่ากับเฟรเดริก้าเองก็มองเรื่องนั้นออก ทั้งสองจึงชวนเรมมาพักงานด้วยกันชั่วคราวเพื่อกระชับความสัมพันธ์

รัมเองเห็นด้วย เธอมองว่าความเชื่อใจระหว่างพวกพ้องเองก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรเพิ่มพูนเอาไว้ระหว่างที่ยังคงมีโอกาสอยู่

รัมออกปากชวนคาชัวไปด้วยกัน แต่คาชัวมองว่าเรมควรเป็นคนที่ได้ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับอดีตพวกพ้องของเธอเพียงลำพังมากกว่า

ส่วนตัวเรมไม่ได้คัดค้านอะไร แต่เธอก็ไม่อยากทำตัวชิวนัก เนื่องจากว่าอดเป็นห่วงสุบารุที่มุ่งหน้าไปยังนครหลวงไม่ได้ รัมเองก็มองเรื่องนั้นออกเช่นกัน

. ทันใดนั้นก็เสียงระเบิดดังกังวาลไปทั่วน่านฟ้าเหนือป้อมปราการ เรมที่หันไปมองตามเสียงเห็นประกายแสงพุ่งผ่านไป ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนจากหน่วยเฝ้ายาม

เฟรเดริก้ารีบเข็นรถเข็นของคาชัวออกไปจากบริเวณนั้นทันที โดยที่มีเพทร่าช่วยนำทาง พร้อมๆ กันนั้น เหล่าพลทหารภายในเมืองการ์คลาก็เริ่มเคลื่อนพลไปประจำการ

รัมเข้ามาถามไถ่ความพร้อมในการเตรียมใจของเรม ก่อนที่สองแฝดจะเริ่มวิ่งตามหลังเฟรเดริก้าไปภายในป้อมปราการที่เริ่มสั่นไหว

เรม: ฝากด้วยนะคะ ――ถึงยังไงก็ต้องหวังพึ่งคุณอยู่ดีค่ะ

เรมภาวนาสั้นๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บใจที่เธอไม่สามารถอยู่ช่วยเหลือสุบารุเคียงข้างเขาได้

. การอพยพชาวนครหลวงไปยังเมืองการ์คลาเป็นการอพยพครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของวอลลาเคีย

การที่มันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยที่มีผู้สูญเสียไม่มากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความพร้อมของชาววอลลาเคียที่ยึดถือคติ “ชาวจักรวรรดิต้องแข็งแกร่ง”

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างก็คือพาหนะ “รถมกรพ่วง” ที่ถูกเตรียมเอาไว้ในสภาพพร้อมใช้งานสำหรับอพยพคนหมู่มาก

เรื่องนี้ต้องยกคุณงามความดีให้แก่แม่ทัพเอก “จิชา โกลด์” ผู้ล่วงลับ ซึ่งเตรียมการสิ่งต่างๆ ไว้มากมายเพื่อรับมือ “มหาภัยพิบัติ” ตามคำทำนายของนักอ่านดารา

คาฟม่า: ความเสียสละนั้นทำให้จักรวรรดิยังคงรอดอยู่ได้! ตัวข้าขอแสดงความนับถือจากใจจริง แม่ทัพเอกจิชา!

ปัจจุบันแม่ทัพโท “คาฟม่า อิรูลุกซ์” กำลังใช้เถาวัลย์หนามตวัดกวาดใส่ฝูงผีดิบเพื่อปกป้องเส้นทางสู่นครป้อมปราการด้านหลังเขา

คาฟม่าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบแนวหน้าที่คอยปกป้องเส้นทางอพยพระหว่างที่ทยอยถอยทัพไปเรื่อยๆ จนกว่าจะกลับไปรวมพลกับกองทหารที่เมืองการ์คลา

แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้คำนึงถึงผลงานตัวเองเลย แต่ความกล้าหาญของคาฟม่าเองก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้การอพยพครั้งใหญ่นี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี

ที่ผ่านมาคาฟม่าคอยใช้ “แมลง” ในร่างของเขาชะลอการรุดหน้าของกองทัพผีดิบ จนกองทหารแนวหน้าประจำจุดต่างๆ สามารถถอยทัพได้อย่างราบรื่น

มันคือผลงานอันยอดเยี่ยมที่สมควรจารึกไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์เสียด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าจักรวรรดิสามารถรอดจากการล่มสลายได้ในท้ายที่สุด

. ที่เบื้องหน้าของคาฟม่าที่กำลังต่อสู้อย่างไม่รักตัวกลัวตายคือทุ่งราบที่เต็มไปด้วยกองทัพผีดิบ

เขากระหน่ำโจมตีพวกมันทั้งด้วยหนามแหลม กระสุนแสง และคมดาบสายลม โจมตีจนกระทั่ง “แมลง” เริ่มกัดกินร่างของเขาจากภายในอย่างเจ็บปวดรวดร้าว

พวก “แมลง” ภายในร่างของเผ่ากรงขังแมลงจะเรียกหาค่าชดเชยในการใช้พลังของพวกมันจากเจ้าของร่าง โดยเริ่มกินจากมานาก่อน

หากมานาไม่พอใช้ พวกแมลงจอมตะกละก็จะเริ่มโอดครวญและหันมากัดกินเลือดเนื้อจากเจ้าของร่างเป็นค่าชดเชยแทน

ปัจจุบัน คาฟม่าต่อสู้แบบเสี่ยงชีวิตโดยที่ไม่ได้กินหรือดื่มอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกินกว่า 50 ชั่วโมงแล้ว กระนั้นเขาก็ยังมุ่งมั่นต่อภาระหน้าที่ของตน

คาฟม่า: ตัวข้าจะมิยอมสิ้นท่าลงที่นี่เป็นอันขาด――

กอซ: พอแค่นั้นแหละ แม่ทัพโทคาฟม่า! เจ้าทำตามหน้าที่มากพอแล้วล่ะ!

ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือขนาดใหญ่ของแม่ทัพเอก “กอซ ราลฟอน” เอื้อมมาแตะไหล่คาฟม่า ชายร่างใหญ่ในเกราะทองคำมีคทาศึกคู่ใจอยู่ในมือพร้อมรบอย่างเต็มที่

. กอซได้ฝากฝังการบัญชากองทัพจากป้อมปราการให้แก่ไฮเคาน์เตสดราครอย เนื่องจากว่าตัวเขาเป็นกำลังรบที่มีประโยชน์ในสนามรบมากกว่า

กอซได้ยินเสียง “แมลง” กัดกินร่างของคาฟม่าจากภายในอย่างชัดเจน เขาจึงกำชับให้คาฟม่าพักรบไปก่อน

คาฟม่า: แบบนั้นมัน… แต่ว่า สิ่งที่ตัวข้าสั่งสมมาทั้งหมดก็เพื่อศึกในครั้งนี้!

กอซ: คาฟม่า อิรูลุกซ์! การตายน่ะ มันมิใช่การชดเชยความผิดหรอกนะ!!

คาฟม่า: …อึก

เสียงตะโกนของกอซทำให้ทั่วร่างของคาฟม่าสั่นไหว เหล่าแมลงเองก็หวาดผวาต่อจิตสังหารของกอซจนพวกมันหยุดกัดกินร่างกายของคาฟม่าไปด้วย

กอซ: เข้าใจดีว่าเจ้ายังพยายามที่จะชดเชยความผิดที่เผ่าของเจ้าก่อกบฏร่วมกับเจ้าบัลรอย ทว่า! ถึงตายไปก็ชดเชยความผิดไม่ได้! เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!

คาฟม่า: แม่ทัพเอกกอซ…

หลัง “มหาภัยพิบัติ” จบสิ้นลง จักรวรรดิยังต้องการกำลังคนในการช่วยฟื้นฟูอีกมาก คาฟม่าจึงไม่ควรที่จะตายอย่างสูญเปล่า

กระทั่งศึกในปัจจุบันกอซก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากคาฟม่า แต่ก่อนหน้านั้นเขาควรจะต้องไปนอนพักเอาแรงและกินอาหารเติมพลังให้เต็มที่เสียก่อน

คาฟม่า: รับทราบ…ขอรับ แม่ทัพเอกกอซ ขอฝากที่นี่ไว้กับท่านด้วย…

กอซ: ไม่ต้องบอกก็รู้ ――ข้าเอง ก็มีความรู้สึกไม่พอใจที่อัดอั้นอยู่เหมือนกัน!

กอซชูคทาศึกไปยังทัพศัตรูเบื้องหน้า พลางปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงออกมาอีกครั้ง

ทั้ง “จิชา โกลด์” ที่เตรียมการป้องกันการล่มสลายของจักรวรรดิเอาไว้ได้ และ “กอซ ราลฟอน” ผู้ที่สามารถทำให้แมลงภายในร่างคาฟม่าหวาดกลัว

เหล่าแม่ทัพเอกมีแต่ตัวตนเหนือสามัญสำนึก จนคาฟม่าอดไม่ได้ที่จะคำนึงถึงอนาคตที่สักวันหนึ่งเขาจะต้องขึ้นไปยืนอยู่เคียงข้างกลุ่มคนเหล่านั้น

คาฟม่า: ――จักรวรรดินั้นแข็งแกร่ง พวกเราไม่มีวันยอมให้ผีดิบหรือหายนะอะไรนั่นมาโค่นล้มได้ง่ายๆ หรอก

. ขณะเดียวกัน ณ ศูนย์บัญชาการประจำป้อมปราการใหญ่ ออตโต้ เซรีน่า และเบลสเต็ตซ์กำลังทำหน้าที่บัญชาการศึกป้องกันเมืองอยู่

ศึกบุกเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์วอลลาเคียกำลังจะอุบัติขึ้น ณ นครป้อมปราการ “การ์คลา” เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการตั้งรับข้าศึกมากที่สุดในจักรวรรดิ

ออตโต้วิเคราะห์ว่าสิ่งสำคัญคือจำนวนทรัพยากรที่พวกตนมีอยู่ ซึ่งถึงแม้ว่าเมืองการ์คลาจะมีเสบียงอยู่มาก แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้มันกลายเป็นศึกยืดเยื้อหลายวันอยู่ดี

อนาสตาเซียกับเอคิดน่าจิ้งจอกเสริมว่าถ้าหากฝั่งสุบารุหยุดยั้งผู้บงการใหญ่ได้สำเร็จ ฝั่งศัตรูก็จะไม่มีกำลังเสริมมาช่วย

แต่ถ้าหากจักรวรรดิวอลลาเคียล่มสลาย คารารากิและลูกุนิก้าเองก็จะไม่ปลอดภัย นี่จึงเป็นศึกที่สำคัญต่อชะตากรรมของโลกทั้งใบเลยก็ว่าได้

. ล่าสุดแม่ทัพเอกกอซ ราลฟอนได้ไปเปลี่ยนตัวกับแม่ทัพโทคาฟม่า อิรูลุกซ์ที่แนวหน้า

ซึ่งกอซเป็นนักรบที่มีความประณีตและแม่นยำผิดกับรูปลักษณ์ เขาจึงสามารถยับยั้งพวกซอมบี้โดยที่ไม่ฆ่าตามที่วินเซนต์กำชับได้

กระนั้นการหลีกเลี่ยงไม่ฆ่าฝั่งศัตรูไปโดยตลอดเป็นเรื่องที่ทำจริงได้ยาก ต่อให้จะเป็นกอซหรือนักรบจักรวรรดิคนใดก็ตาม

อนาสตาเซียและออตโต้จึงหวังพึ่ง “หน่วยรบเพลอาเดส” ของสุบารุ ซึ่งมีทั้งกำลังใจมหาศาลและกำลังรบระดับที่หยุดศัตรูได้โดยที่ไม่ถึงตายอยู่

เซรีน่า: ――เตรียมพร้อมรบ

พอเซรีน่าออกคำสั่ง บรรยากาศคุยเล่นก่อนหน้านี้ก็หายไปหมด ทุกคนจดจ่ออยู่กับคำสั่งต่อไปที่จะออกมาจากปากของเธอ

เหล่าทัพทหารจักรวรรดิ นักรบกองทัพกบฏ ทาสดาบแห่งหน่วยรบเพลอาเดส ชนเผ่าชูดราค ผู้ช่วยเหลือจากราชอาณาจักร และคณะทูตจากนครรัฐ

ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เป็นกำลังรบที่มีในศึกครั้งนี้ แต่ผู้ที่ได้รับบทบาทให้เป็นปราการด่านแรกสุดก็คือ…

เซรีน่า: ฝากด้วยล่ะ คณะทูตจากนครรัฐ

อนาสตาเซีย: ได้สิ เชื่อมือได้เลย ――เท่าที่เราจดจำได้ เขายังไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้งเดียว

. ถ้าหากถามว่าศึกสงครามในจักรวรรดิวอลลาเคียต่างจากประเทศมหาอำนาจอื่นด้านไหนมากที่สุด คำตอบนั้นก็คือ “กำลังรบทางห้วงอากาศ”

นวัตกรรม “การขับขี่มกรบิน” ที่ประเทศอื่นยังไม่แตกฉาน รวมถึงการเป็นถิ่นอาศัยของมกรบินจำนวนมาก ทำให้วอลลาเคียเหนือกว่าทุกประเทศด้านการรบทางอากาศ

ความสามารถในการบินมอบความได้เปรียบให้แก่ฝั่งที่มีโดยอัตโนมัติ เห็นได้ชัดจากคราวที่นครล้อมกำแพงกัวลาลถูกฝูงมกรบินของ “มาเดลิน เอสชาร์ต” ถล่มยับ

แต่สิ่งต่างออกไปในคราวนี้ก็คือ…

เผ่าชูดราค: ――ยิงได้!!

เผ่าชูดราคที่ยืนเรียงรายอยู่บนกำแพงเมืองแผลงศรเป็นห่าฝนเต็มท้องฟ้าเพื่อเล็งดักจู่โจมใส่ฝูงผีดิบมกรบินที่นำทัพเข้ามาใกล้

มกรบินบางตัวถูกลูกศรเจาะทะลุและกลายเป็นผงฝุ่น ในขณะที่บางตัวบินต่อได้โดยไม่สะทกสะท้าน

. สาวเผ่าชูดราคคนหนึ่งเปลี่ยนมาใช้ลูกธนูดอกใหญ่เป็นพิเศษเพื่อยิงสอยมกรบินที่เหลืออยู่ให้แหลกเละ ประสบการณ์ต่อสู้ในเมืองกัวลาลทำให้พวกเธอพัฒนาแนวทางการรับมือศัตรูขึ้นมาก

เผ่าชูดราค: ลุยเลย! พ่อหนุ่มรูปงาม!

ยุลิอุส: จะทำตามความคาดหวังให้เห็นเอง ――อัล คราวเซเรีย

หลังจากที่เขาตวัดดาบอัศวิน กำแพงสีรุ้งที่กว้างจนครอบคลุมน่านฟ้าครึ่งหนึ่งของนครป้อมปราการก็ปรากฏขึ้นมาขวางหน้าฝูงผีดิบมกรบิน

กำแพงสีรุ้งขนาดใหญ่ที่เป็นทั้งการโจมตีและการตั้งรับในเวทมนตร์เดียวกัน ได้มอบขวัญกำลังใจให้แก่ทหารที่อยู่แนวหน้าเป็นอย่างมาก

ความสามารถของเหล่าวิญญาณที่ก่อนหน้านี้เป็น “ดอกตูม” ได้เติบโตขึ้นเป็นบุปผางามที่บานสะพรั่งอย่างชัดเจน

“ยุลิอุส ยูคริอุส” สะบัดชายกิโมโนครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้ามองทั้งท้องฟ้าเบื้องบนสลับกับผืนดินเบื้องล่างที่มีกองทัพผีดิบบุกเข้ามาจากทั้งสองทาง

ยุลิอุส: ――ฉันจะทำหน้าที่ส่วนของฉันเอง นายเอง ก็ทำส่วนของนายให้เต็มที่ล่ะ สุบารุ

. จบตอน