การ์ฟีล ทินเซล ยืนประจันหน้ากับ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา ทั้งเลือดเนื้อและดวงวิญญาณของเขาเปี่ยมล้นด้วยความปิติยินดีแบบสุดกู่
การ์ฟีล: โอกาสที่จะได้ต่อกรกับมังกรมาถึงสักทีว้ออยยย!!
นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่การ์ฟีลมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับ “มังกร” สิ่งมีชีวิตระดับสูงที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์ เขาจึงตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนที่ต่อสู้กับ “เก้าแม่ทัพเทวะ” เสียอีก
[เอมิเลีย: มังกรเหรอ? นั่นสินะ วอลคานิก้ากับเมโซเรย์อาน่ะแกร่งสุดๆ เลยค่ะ ทั้งร่างกายใหญ่โต แถมลมหายใจยังอันตรายอีก… ฉันเนี่ย ตกกะใจหมดเลยล่ะ!]
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงคำบรรยายของเอมิเลียผู้เคยเผชิญหน้ากับมังกรถึงสองครั้ง ซึ่งมันสื่อสารความยิ่งใหญ่ของมังกรออกมาได้ไม่ตรงเอาซะเลย
พอการ์ฟีลรุดหน้าบุกเข้าไป เมโซเรย์อาก็อ้าปากพ่นลมหายใจสวน การ์ฟีลจึงกระโจนตัวหลบไปด้านข้างทันที แต่แล้วลมหายใจที่สองกลับอัดเข้าใส่เขาอย่างจัง
การ์ฟีล: เฮือก!?
เปลวเพลิงของเมโซเรย์อาให้สัมผัสประหลาดที่ต่างจากทั้งความร้อนและความเย็น การ์ฟีลที่ใช้แขนรับการโจมตีนั้นถึงกับสะดุ้งร้องเสียงหลง
แทนที่จะพ่นลมหายใจทีเดียวยาวๆ เมโซเรย์อาเลือกพ่นลมหายใจที่สั้นลงแต่สามารถปล่อยได้แบบต่อเนื่องแทน
การ์ฟีลจึงรีบอาศัยโมเมนตันกระโจนตัวทะลุกำแพงเข้าไปหลบในบ้าน เผื่อว่าอาจมีลมหายใจที่ 3 กับ 4 ตามมาอีก
. การ์ฟีลนึกถึงเรื่องเล่า “ลูกหมูสามตัว” ที่สุบารุเคยเล่าให้ฟัง ที่ว่าหมาป่าเป่าบ้านลูกหมูตัวสุดท้ายไม่ปลิว
ทว่า ในกรณีของลมหายใจมังกร บ้านหลังที่การ์ฟีลกระโจนเข้าไปย่อมถูกเป่าจนเละได้ภายในพริบตา กำแพงบ้านกับเครื่องเรือนภายในเริ่มถูกทำลายเป็นอย่างแรก
การ์ฟีล: โอ้วววววว!!
ก่อนที่บ้านจะถูกเผาจนแหลก การ์ฟีลจึงใช้แขนสองข้างยกบ้านทั้งหลังขึ้นมา แล้วปามันใส่มังกรบนท้องฟ้าเหมือนเป็นกระสุนปืนใหญ่
[เมโซเรย์อา: เกะกะย่ะ!]
เมโซเรย์อาเป่ากระสุนบ้านทิ้งพร้อมสวนกลับด้วยคำพูดน่ารักผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก แต่การ์ฟีลไม่ปล่อยจังหวะให้หยุดพัก เขาถอนอาคารบ้านเรือนแถวนั้นมาปาใส่แบบต่อเนื่องทันที
[เมโซเรย์อา: ขวางหูขวางตาชะมัดยาดดดด!!]
ด้วยความพิโรธ เมโซเรย์อาจึงสยายปีกบิน แล้วใช้กรงเล็บสองข้างบวกกับหางในการตวัดทำลายกระสุนบ้านต่อเนื่องทีเดียวห้าหลัง
. [เมโซเรย์อา: ――รนหาที่ตายเหลือเกินนะ]
เมโซเรย์อารู้ทันว่าการ์ฟีลแอบวิ่งไต่เศษอาคารที่ถูกทำลายเพื่อเข้ามาลอบโจมตีซ้ำ มันจึงใช้ฝ่ามือสองข้างประกบเข้าหากัน
การ์ฟีลที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางทำได้เพียงแค่ยกโล่ติดแขนขึ้นมาตั้งรับ แรงกระแทกจากการปะทะสั่นสะท้านไปทั่วร่างของเขา ฟันซี่ที่ขบอยู่หักทันที เลือดกำเดาก็พุ่งกระฉูด
ปกตินั่นควรจะเป็นการโจมตีที่ขยี้มนุษย์จนแหลก แต่การ์ฟีลที่ยังคงสภาพอยู่ได้ยิ้มเยาะใส่มังกรเมฆา
เมโซเรย์อาไม่รอช้า มันตวัดหางหวดการ์ฟีลที่ถูกฝ่ามือสองข้างประกบอยู่จนกระเด็นกลับไปกระแทกตัวเมืองเบื้องล่างด้วยความเร็วเหนือเสียง
ไฮน์เคล: อ้าวเฮ้ย!? เฮ้ยนี่ ไอ้เด็กเวร!?
ไฮน์เคลรีบตามเข้ามาดูอาการของการ์ฟีลที่กระดอนและกระแทกกับพื้นหลายครั้ง จนเกิดเป็นหลุมหลายหลุม
ไฮน์เคล: ตายไหม… ตายไหมเนี่ย? ตายแหงอยู่แล้วสิ! โดนเข้าไปขนาดนั้น…
การ์ฟีล: …อย่าคิดเองเออเอง…ว่าม่องแล้ว…สิวะ
การ์ฟีลใช้สองขาถีบเศษซากอาคารที่ทับตัวอยู่ออก เขาเอนหลังพิงกำแพงเมืองแล้วถุยเศษฟันซี่ที่หักออกมาพร้อมกับเลือด
จากนั้นการ์ฟีลก็ล้วงนิ้วไปกระชากฟันซี่ที่หักไปครึ่งหนึ่งออก เพื่อเปิดพื้นที่ให้ฟันซี่ใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ทันที
ไฮน์เคล: นี่เอ็ง …ไม่เป็นอะไรเลยงั้นเรอะ?
การ์ฟีล: ไม่เป็นอะไรก็บ้าแล้ว โดนมังกรโจมตีไปที… ไม่สิ โดนไปตั้งสองสามทีเลยนะเฟ้ย นี่มันแบบ “การรอดตายแบบปาฏิหาริย์ของแมนฟรอย” เลยนี่หว่า
การ์ฟีลตอนนี้กำลังฮึดสุดกู่เนื่องจากเขารับการโจมตีจากมังกรเข้าไปแล้วยังรอดมาได้
. ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บปวดและชาไปทั่ว การ์ฟีลก็ยังคงกำหมัดอย่างคึกคัก พร้อมกลับไปลุยต่อ ภาพนั้นทำให้ไฮน์เคลใช้มือข้างที่ว่างอยู่เกาหัวยอมแพ้
ไฮน์เคล: …เสียสติ…เสียสติไปแล้วหรือไง! ทำไมถึงกลับมาล่ะ? ไม่เข้าใจเลยโว้ย! นั่นมังกรนะ… มังกรเลยนะเฟ้ย!? ไม่มีทางชนะได้หรอก มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ถ่อมาถึงที่นี่! แล้วทำไมกัน!
การ์ฟีล: ถ้างั้นเราก็ไม่ต่างอะไรกันเลยนี่หว่า ลุง
ไฮน์เคล: …หา?
การ์ฟีล: ถ้าบอกว่ามีแต่คนบ้าที่มาที่นี่และเผชิญหน้ากับมังกรแล้วล่ะก็ แสดงว่าลุงเองก็บ้าเหมือนกันนี่หว่า
คำพูดนั้นทำให้มือข้างที่เกาหัวอยู่หยุดลง มันจริงอย่างที่การ์ฟีลพูด จนกระทั่งถึงตอนนี้ มืออีกข้างของไฮน์เคลก็ยังคงกำดาบแน่นอยู่ตลอด
การ์ฟีลเชื่อมั่นว่านั่นคือสัญญาณว่าไฮน์เคลยังไม่ได้ละทิ้งความปรารถนาของตนไปเสียทีเดียว
บางทีเขาอาจจะแค่นิ้วค้างด้วยความกลัว? ――ผิดแล้ว เลิกคิดแบบนั้นเลย
บางทีเขาอาจจะแค่ถือดาบไว้เพราะลืมตัว ――ผิดแล้ว เลิกคิดแบบนั้นเลย
ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเขาอาจจะเก็บดาบใส่ฝักแล้ววิ่งหนีไปก็ได้ ――ผิดแล้ว เลิกคิดแบบนั้นเลย
ถ้าหากว่าไฮน์เคลสามารถขจัดความคิดอ่อนแอทั้งหมดในหัวออกไปได้ เขาจะกลายเป็นชายที่กล้ากัดฟันยืนกรานต่อสู่เพื่อความปรารถนาของตน
. การ์ฟีล: เมื่อกี้ถามว่าทำไมชั้นคนนี้ถึงกลับมาใช่ปะ
ไฮน์เคล: ――ห๊ะ
ระหว่างที่ไฮน์เคลยังคงมือสั่น การ์ฟีลก็พยุงตัวกับกำแพงเพื่อลุกขึ้นยืน แต่เขาไม่ได้พูดต่อให้จบประโยคทันที แถมยังใช้ฝ่ามือผลักไฮน์เคลจนปลิว
พริบตาต่อมาจุดที่ทั้งคู่เคยยืนอยู่ก็ถูกลำแสงสีขาวจากปากมังกรยิงทำลาย ส่วนทางการ์ฟีลเลือกกระโจนตัวหลบขึ้นไปบนฟ้าทันที
เมโซเรย์อาลากวิถีพ่นลมหายใจให้สูงขึ้นเพื่อไล่ตามการ์ฟีลที่พุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนใกล้จะตามไปเผาปลายเท้าได้ทัน
การ์ฟีล: เพราะว่าจอมพลบอกมายังไงล่ะ
คำตอบนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความเชื่อใจจากฝ่ายหนึ่งและความภาคภูมิที่อยากจะตอบรับความเชื่อใจนั้นจากอีกฝ่าย
การ์ฟีลม้วนตัวหลบลมหายใจ แล้วลงจอดบนยอดกำแพงเมือง จากนั้นก็เตะอัดกำแพงส่วนที่ตนยืนอยู่ให้พุ่งเข้าไปหามังกรเมฆา
การ์ฟีล: ――ว่าหน้าที่ของชั้นคนนี้! คือการสอยมังกรที่บินหึ่งๆ อยู่บนฟ้าให้ร่วงลงมายังไงเล่า!!
พอชิ้นส่วนกำแพงที่เหยียบลอยไปอยู่เหนือหัวมังกร การ์ฟีลก็ตวัดแขนสองข้างอัดกระแทกใส่จมูกของเมโซเรย์อาจนดั้งหัก
แรงกระดอนส่งเขาร่วงกลับลงมาบนพื้นเบื้องล่าง แถมพร้อมกันนั้น เลือดกำเดาก็พุ่งกระฉูดออกมาจากจมูกของเมโซเรย์อาแล้วท่วมลงบนร่างของการ์ฟีล
การ์ฟีล: วะฮ่าฮ่าฮ่า! ทำให้มังกรเลือดกำเดาไหลได้ด้วยเฟ้ย!
[เมโซเรย์อา: แกนะแก~~!!]
ทันใดนั้นบรรยากาศทั่วนครหลวงจักรวรรดิก็แปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน แสดงว่ามีสนามรบแห่งอื่นที่กำลังเดือดดาลอยู่ไม่ต่างจากสนามรบของการ์ฟีลและเมโซเรย์อา
ไฮน์เคล: …นี่มันบ้าไปแล้ว
ทางฝั่งไฮน์เคลที่ถูกผลักจนล้มก้นกระแทกพื้นได้แต่มองการปะทะอย่างบ้าคลั่งของมังกรและพยัคฆ์ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าฉงน
ไฮน์เคลมิอาจที่จะขยับเขยื้อน วิ่งหนี หรือลุกขึ้นยืนได้ ――กระนั้นมือขวาของเขาก็ยังคงกำดาบอยู่แน่น
. ย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย ตอนที่รถมกรของหน่วยกอบกู้จักรวรรดิจากการล่มสลายจอดพักชั่วคราวที่ค่ายทหารระหว่างทาง
ขณะที่สุบารุกำลังล้างหน้าให้กระชุ่มกระชวย เอมิเลียก็ตามเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง สุบารุถึงกับออกอาการเขินตอนที่เธอชะโงกหน้ามาดูใกล้ๆ
เอมิเลีย: สุบารุ เป็นอะไรไหม? นี่หรือว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นงั้นเหรอคะ?
สุบารุ: มะ…ม่ายเปนราย เอมิเลียตัน รู้สึกว่าแก้มมันตึงไปหน่อยแค่นั้นเอง ก็แบบว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อยากให้เอมิเลียตันได้เห็นรอยยิ้มที่ดีที่สุดของชั้นเสมอน่ะ
เอมิเลีย: ที่จริงแล้ว ฉันก็ดีใจเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของสุบารุอยู่หรอก ตราบใดที่มันไม่ใช่รอยยิ้มจากการฝืนตัวเองน่ะนะ…
พอสุบารุแสร้งทำใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเพื่อบดบังแก้มที่เขินจนแดง เบียทริซกับทันซ่าก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาพร้อมๆ กันจากฝั่งซ้ายและขวา
พอสองโลลิทำท่าจะทะเลาะกัน เอมิเลียจึงช่วยสุบารุสงบศึกระหว่างทั้งสองเอาไว้
. สุบารุยืนกรานว่าเขาได้พักผ่อนมาเพียงพอที่เมืองการ์คลาแล้ว ไม่ได้กำลังฝืนตัวเองให้ดูเหมือนกระปี้กระเป่าอยู่
อีกอย่าง ถ้าหากว่าสุบารุเผลองีบหลับหรือหมดสติไปตอนนี้ การเชื่อมต่อของ “คอร์ ลีโอนิส” กับหน่วยรบเพลอาเดสจะขาดลง
แต่ปัจจุบันสุบารุอยู่ในสภาพที่คึกคักและตื่นตัวมากๆ ซึ่งคงเป็นผลจากความตึงเครียดของสถานการณ์ เป็นไปได้ว่าหากศึกนี้จบลงเมื่อไหร่ ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาคงถาโถมใส่เขาทีเดียว
เอมิเลีย: ถ้าเข้าใจได้แบบนั้นก็ดีแล้ว แต่ช่วยสัญญาจากใจจริงได้ไหมว่าจะไม่ฝืนตัวเอง?
สุบารุ: เอมิเลียตันไม่เชื่อใจกันสักหน่อยเลยเหรอ…
เอมิเลีย: ถ้าอยากรู้ว่าทำไม ก็ลองถามใจตัวเองให้ชัดๆ ดูสิ
. จุดประสงค์ของการจอดพักคือการให้พวกวินเซนต์แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ศึกสงคราม รวมถึงเปลี่ยนมกรปฐพีที่ลากรถเป็นตัวที่มีสภาพสมบูรณ์
มีเพียงแค่พาทรัชที่สามารถวิ่งต่อได้ยาวๆ สุบารุเลยลูบคอเธอเพื่อชมเชยไปที
พาทรัชสามารถจำสุบารุที่ตัวหดลงได้ทันที แถมเธอยังงอนสุบารุที่ชอบทำตัวน่าเป็นห่วงจนเอาหางฟาดเขาติดกำแพงไปที
ฮาริเบลโผล่มาชื่นชมผลงานของพาทรัชช่วงที่ซอมบี้มังกรบุก และย้ำเตือนว่าเพื่อนๆ แต่ละคนเป็นห่วงสุบารุมากแค่ไหน
เรื่องนี้ทำให้สุบารุหนักใจอย่างมาก เขารู้สึกอยากตอบแทนความห่วงใยของเพื่อนๆ ด้วยการทุ่มสุดตัวเต็มที่ในภารกิจนี้ แต่เขาก็ต้องรักษาสัญญากับเอมิเลียว่าจะไม่ฝืนตัวเองด้วยเช่นกัน
. สักพักรอสวาลที่ประชุมอยู่กับพวกวินเซนต์ก็ปลีกตัวมารวมกลุ่มกับสมาชิกพรรคเอมิเลีย เนื่องจากวินเซนต์กำลังปราศรัยให้กำลังใจเหล่าทหารจักรวรรดิอยู่
สุบารุได้ยินเสียงเฮยินดีของพวกทหารในค่ายดังมาไกล พวกเขาคงตื้นตันใจที่ได้เห็นจักรพรรดิตัวเป็นๆ ซึ่งปกติทหารระดับล่างไม่เคยมีโอกาสได้เห็น
สุบารุลองคิดเทียบว่าถ้าหากเขาเป็นปุถุชนธรรมดาที่รู้จักเอมิเลียเพียงแค่ชื่อ หากมีโอกาสได้เห็นเธอตัวจริงก็คงจะน้ำตาแตกไม่ต่างกัน
สุบารุกับเอมิเลียนินทาวินเซนต์ว่าไม่ประสีประสาเรื่องความรักเอาเสียเลย ถึงได้ตัดสินใจรับมีเดียมเป็นจักรพรรดินีแบบดื้อๆ แถมเอาเธอไปโชว์ตัวเรียกขวัญกำลังใจด้วย
เบียทริซกับทันซ่าเองก็ร่วมเหน็บแนมวินเซนต์อีกแรง ทำเอาฮาริเบลกับรอสวาลได้แต่หัวเราะแห้งๆ ว่านี่เป็นบทสนทนาที่ไม่ควรให้ชาววอลลาเคียได้ยินสุดๆ
. สาเหตุที่การ์ฟีลไม่มาร่วมวงสนทนาด้วยก็เนื่องจากว่าเขากำลังนั่งสมาธิเพื่อเพ่งจิตเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา ตามคำร้องขอของสุบารุ
ฮาริเบล: ขอถามเหตุผลหน่อยได้เปล่า? จริงอยู่ว่ายัยหนูอานากำชับให้เชื่อฟังคำสั่งของนายเอาไว้ก่อน… แต่ว่าผมน่ะแกร่งกว่าเจ้าเสือน้อยคนนั้นไม่ใช่เรอะ?
สุบารุ: ไม่ได้กังขาหรอกว่าคุณฮาริเบลคือเมมเบอร์ที่แกร่งที่สุดที่เรามีตอนนี้ แต่ว่า ต้องใช้คนให้ถูกงาน… พอดีมีศัตรูคนอื่นที่อยากให้คุณฮาริเบลช่วยจัดการให้อยู่น่ะ
ฮาริเบล: ไอ้หยา น่าขนลุกขนพองแท้ ให้เมินมังกรแล้วไปที่อื่นก่อนเนี่ยนะ… แสดงว่ามีตัวปัญหายิ่งกว่ามังกรอยู่อีกสินะ?
สุบารุ: ใช่แล้ว ทำนองนั้นแหละ
ที่จริงไม่ใช่แค่การ์ฟีลกับฮาริเบล สุบารุได้กำหนดจุดหมายของสมาชิกหน่วยกอบกู้จักรวรรดิแต่ละคนไว้ล่วงหน้าหมดเลย
เบียทริซ: ――โชคดีที่สุบารุรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของพวกศัตรูหมดแล้วนะยะ
เอมิเลีย: ใช่เลย เป็นผลจากพลังวิเศษที่เรียกว่า “อำนาจ” ที่เคยใช้ในหอสังเกตการณ์เพลอาเดสสินะคะ
สุบารุ: อื้อ เพราะเจ้านั่นน่ะแหละ
เอมิเลียกับเบียทริซไม่กังขาเรื่องนั้น เนื่องจากสุบารุเคยใช้อำนาจ “คอร์ ลีโอนิส” ระบุตำแหน่งของคนอื่นจากระยะไกลได้มาก่อน
หารู้ไม่ว่าสุบารุกำลัง “โกหก” อยู่ เขาไม่ได้รู้ตำแหน่งของศัตรูจาก “คอร์ ลีโอนิส” และไม่ได้รู้เลยว่าควรที่จะส่งพวกพ้องแต่ละคนไปยังจุดไหนเพื่อรับมือกับศัตรู
. สุบารุ: ――ชั้นจะต้องทำสิ่งที่ตัวชั้นพอจะทำได้
เอมิเลีย เบียทริซ สปิก้า ทันซ่า การ์ฟีล รอสวาล ฮาริเบล วินเซนต์ มีเดียม จามาล โอลบาร์ต และพาทรัช
ทั้งหมดนั่นคือไพ่ในมือที่สุบารุมีอยู่ ในศึกทวงคืนนครหลวงจักรวรรดิที่กำลังจะมาถึง
รอสวาล: ――สุบารุคุง แบบนี้ดีที่สุดแล้วใช่ไหม?
รอสวาลที่จ้องหน้าสุบารุไม่เลิกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ทักขึ้นมาถามเพื่อขอคำยืนยัน ซึ่งฝั่งสุบารุก็พยักหน้าตอบรับ
สุบารุ: อา แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว ――ยืนยันมาอย่างดีแล้วล่ะ
นัตสึกิ สุบารุ โน้มน้าวตัวเองว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ตัวเขาทำได้ และไม่ถือว่ามันเป็นการผิดสัญญาเรื่องการ “ฝืนตัวเอง” กับเอมิเลีย
. จบตอน