ณ ห้องใต้ดินของพระราชวังแก้วผลึก สฟิงซ์ได้ฉายภาพสนามรบที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมให้พริสซิลล่าดูผ่านอัญมณีสีฟ้าบนคทา
สองตัวตนที่ประจันหน้ากันอยู่ ฝั่งหนึ่งคือตัวตนที่ดูดกลืนแกนกลางของจักรวรรดิเข้าไป ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็กล้าท้าทายตัวตนนั้นอย่างมิเกรงกลัว
การต่อสู้ของทั้งสองคงจะเป็นตำนานที่เล่าขานไปอีกยาวนาน หากว่ามีสักขีพยานรอดชีวิตจากวิกฤติการณ์ครั้งนี้ไปได้
สิ่งที่พริสซิลล่าผู้ถูกล่ามโซ่อยู่เห็น คืออาราเคียที่ผสานร่างเข้ากับอะไรบางอย่าง มันส่งผลให้เธอทุกข์ทรมานจนร่างแทบจะระเบิด
ส่วนฝั่งสฟิงซ์ก็จดจ้องด้วยความใคร่รู้สงสัยที่เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ บางทีเธออาจจะฉายภาพดังกล่าวให้ดู เพื่อหวังจะได้เห็นหัวใจของพริสซิลล่าสั่นไหว
พริสซิลล่า: ――หมกมุ่นกับตัวข้าพเจ้า
สฟิงซ์หันมามองเธอพลางฉีกยิ้มอย่างสุขสันต์ มันชัดเจนมากว่าสฟิงซ์ยึดติดกับพริสซิลล่าแบบหนักข้อ และตัวพริสซิลล่าคือแรงจูงใจต้นเหตุให้สฟิงซ์ก่อ “มหาภัยพิบัติ” ขึ้นมาจริงๆ
สฟิงซ์: สิ่งที่ได้รับมาถูกแย่งชิงไป ฉันได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงมาเลยว่านั่นคือสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกเราได้มากที่สุดค่ะ แล้วคุณล่ะมีความเห็นยังไงคะ? ‘ยืนยัน’ จำเป็นค่ะ
พริสซิลล่า: พอสิ่งที่ปรารถนาเป็นจริงขึ้นมาก็อารมณ์ดีเชียวนะ
สฟิงซ์: นั่นสินะคะ ก็ถูกแหละค่ะ รู้สึกเบิกบานใจอย่างที่คุณพูดเลยค่ะ ทึกทักเอาเองว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้ล่วงหน้า… ตัวฉันในอดีตเองก็ควรที่จะมีความรู้สึกยินดีต่อความสำเร็จด้วยเช่นกัน หากเป็นเช่นนั้น จุดจบของ “สงครามอมนุษย์” ก็คงจะต่างไปจากเดิม
พริสซิลล่า: …
สฟิงซ์: ――ทว่า แบบนั้นตัวฉันก็คงจะไม่สามารถมอบสิ่งใดหรือได้รับสิ่งใดมาได้เลย
พริสซิลล่าสัมผัสได้ว่าแรงจูงใจหลักของสฟิงซ์มันไม่ได้มาจากความยินดีหรือความพิโรธ หากแต่เป็นความเวทนาสงสาร
. ระหว่างที่มวลพลังงานของจักรวรรดิและอัสนีบาตไร้เทียมทานยังคงปะทะกันอยู่ พริสซิลล่าก็พยายามมองหาตัวตนผู้อ่อนแอจากภายในนั้น
สฟิงซ์เหมือนจะรู้ทันว่าพริสซิลล่ามองหาใครอยู่ เธอจึงทักขึ้นมาว่าตัวตนที่เกิดมาไม่มีอะไร ทั้งอ่อนแอ บอบบาง และขี้ขลาดอย่างนั้น จะไปหลงเหลือร่องรอยที่น่าจดจำไว้ในตำนานได้อย่างไร
ตอนนั้นเองก็เกิดการสั่นไหวไปทั่วนครหลวงลูปุกาน่า ซึ่งสะเทือนมาจนถึงคุกใต้ดิน พริสซิลล่าเดาได้ทันทีว่านั่นคงเป็นกองกำลังจากท่านพี่
สฟิงซ์: นักดาบที่จบชีวิตของฉันกำลังติดพันอยู่กับการดวลเดี่ยวกับแม่ทัพเอกอาราเคียอยู่… ต่อให้จักรพรรดิวอลลาเคียจะเป็นผู้ปราดเปรื่องเพียงใด ก็มิอาจพลิกกระดานหมากที่โดนรุกฆาตไปแล้วได้ ――ไม่สิ
สฟิงซ์เกือบที่จะลบเลือนความกังวลใจทั้งหมดทิ้งไป แต่เธอดันนึกถึงความเป็นไปได้ที่ควรจะเฝ้าระวังออกเสียก่อน
สฟิงซ์: ――สิ่งแปลกปลอมที่ขัดขวางกลยุทธ์ของวาลก้าอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?
พริสซิลล่า: โฮ่ พึ่งนึกอะไรออกงั้นหรือ อยากรีบที่จะทำความเข้าใจล่ะสิ? เช่นนั้นล่ะก็ ข้าพเจ้ามี “แอดไวส์(คำแนะนำ)” จะมอบให้ ――ทำตามที่ลางสังหรณ์ของเจ้าบอกเสีย
สฟิงซ์: ลางสังหรณ์…
พริสซิลล่า: จินตนาการว่าปล่อยให้หัวใจได้สัมผัสกับรสชาติของสายลมก็ได้ แต่มันอาจจะฟังดูย้อนแย้งสำหรับผู้วายชนม์ล่ะนะ
สฟิงซ์ไตร่ตรองต่อคำพูดของพริสซิลล่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ
สฟิงซ์: ต้องยอมรับก่อนเลย ว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่อาจขัดขวางแผนการของฉันได้อยู่ ――‘แก้ไข’ จำเป็นค่ะ
. ตัดมาทางฝั่งไอริส(ยอร์น่า)
หลังจากที่เธอตกใจภาพที่ผีดิบนักดาบใบหน้าเหมือนกันจำนวนมากโผล่มารุมโจมตีจากทุกทิศทาง วินาทีต่อมาไอริสก็ตั้งสติแล้วโต้กลับโดยทันที
ไอริส: ประหลาดแท้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นได้แค่ของปาหี่เจ้าค่ะ
ไอริสตวัดแขนที่อยู่ภายใต้ชุดเดรสหวดใส่ฝูงผีดิบโลอัน เซ็กมุนต์ เพียงการโจมตีครั้งเดียวนั้นสามารถเด็ดหัว ลำตัว สะโพก และขาของอีกฝ่ายให้ขาดออกจากร่างได้
ผีดิบโลอันบางตัวหลบการโจมตีระลอกแรกได้แล้วบุกทะลวงต่อ ไอริสจึงใช้นิ้วมือสองนิ้วหยุดดาบของผีดิบตัวหนึ่ง แล้วเอียงตัวหลบดาบของผีดิบอีกตัว
จากนั้นไอริสก็ยกขาขึ้นแล้วตอกส้นเท้าใส่พื้นสร้างเป็นคลื่นกระแทกมาปัดเป่าโลอันที่เหลือให้กระจุย
ความแตกต่างของพลังระหว่างไอริสกับผีดิบโลอันมันชัดเจนมากจนกระทั่งจำนวนที่ได้เปรียบยังแทบไม่มีผล ทว่า…
ผีดิบโลอัน x 29: “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ต่อไป” “ขอรับ”
ฝูงผีดิบโลอัน เซ็กมุนต์ผู้บ้าคลั่งยิ้มร่าอย่างปิติยินดี ราวกับพวกเขากำลังไขว่คว้าสิ่งที่ปรารถนามาไว้ในกำมือ
. ไอริสคิดตื้นเกินไป เธอนึกว่าจะสามารถลดจำนวนเหยื่อสังเวยลงด้วยการไล่ตะเพิดศัตรูที่บุกเข้ามาได้ แต่เธอลืมคำนึงถึงบุคคลจำพวกที่ยึดติดในวิถีจักรวรรดิจนตัวตายอย่างโลอัน
ไอริส: ข้าน้อยน่ะ…
ไอริสคอยหลบคมดาบจำนวนมากที่ฟันเข้ามาแล้วตวัดกล้องยาสูบหวดสวนไป
เธอเตะเสยโลอันคนหนึ่งให้ลอยขึ้นฟ้า แล้วจับขาของเขากลางอากาศ เพื่อหยิบมาใช้หวดใส่โลอันจำนวนเกือบ 10 คนที่บุกเข้ามาต่อ
ไอริส: ข้าน้อยน่ะ… อึก
ทว่า โมเมนตัมการบุกจู่โจมของพวกโลอันมิได้ช้าลงเลย ในขณะที่โลอันคนหนึ่งถูกไอริสหวดจนเละ โลอันอีกคนก็เหยียบเศษของตัวเองแล้วเข้าประชิดต่อทันที
โลอันคนแล้วคนเล่าบุกเข้ามาถูกไอริสหวดจนเละ มันไม่ต่างอะไรจากการบังคับให้ไอริสรับบทเพชฌฆาตที่ต้องประหารนักโทษแบบไม่มีวันจบสิ้นเลย
. การทำลายสิ่งที่มีรูปร่างหน้าตาแบบมนุษย์จำเป็นต้องมีการเตรียมใจอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ หรือไม่ก็ฝืนทนให้รู้สึกเคยชินกับมันอย่างที่ไอริสทำอยู่
กระทั่งปัจจุบันไอริสก็มิอาจฆ่าใครโดยที่หัวใจของเธอไม่รู้สึกเจ็บปวดได้ ต่อให้บุคคลนั้นจะประสงค์ร้ายต่อเธอก็ตาม
ด้วยเหตุนั้น ไอริสจึงคิดค้น “วิชาคงคง(วิวาห์ดวงวิญญาณ)” ขึ้นมา มันคือพลังที่ใช้งานได้กับผู้ที่รักใคร่ห่วงใยกันเท่านั้น
แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลก การที่ดวงวิญญาณของไอริสผูกพันกับผืนดินของจักรวรรดิ ทำให้วิชาคงคงของเธอทรงพลังจนได้รับตำแหน่งเก้าแม่ทัพเทวะมา
ทุกครั้งที่ไอริสบดขยี้ผีดิบ “โลอัน เซ็กมุนต์” ที่ฟื้นคืนชีพกลับมาเรื่อยๆ หัวใจของเธอก็สั่นไหวด้วยความเจ็บปวดอยู่ทุกรอบ
ความเจ็บปวดที่สั่งสมจากการช่วงชิงชีวิตและทำลายสิ่งที่จับต้องได้ด้วยมือตนเอง ทำให้ดวงวิญญาณของไอริสแทบที่จะแตกสลาย และจุดจบของมันก็คือ…
ไอริส: ฉันน่ะ ――อา
เลือดสาดกระเซ็นออกมาจากร่างของไอริสไปติดอยู่ที่แก้มของเจ้าของคมดาบผู้สร้างบาดแผล นักดาบอสูรเลียชิมโลหิตของเธอแล้วแสยะยิ้มออกมา
ผีดิบโลอัน: ――ปลายเท้าแตะถึงขั้นบันไดสู่ดาบสุราลัยแล้วขอรับ
. คมดาบที่ฟันเล็ดลอดไปผ่าหัวไหล่ของไอริสจนเลือดสาดกระเซ็นได้นั้นคือคมดาบที่ดีที่สุดในชีวิตของโลอัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีชีวิตหลงเหลืออยู่แล้วก็ตาม
ผีดิบโลอัน: มาถึงแค่นี้มันก็ยังไม่เพียงพอหรอกขอรับ
ร่างที่หัวใจหยุดเต้นและเลือดไม่ไหลเวียนของเขายังคงวิวัฒนาการได้อีก เพื่อตอบสนองต่อความกระหายที่จะเติมเต็มความปรารถนาให้เป็นจริง
สาวมนุษย์จิ้งจอกผู้งดงามตรงหน้าเขาคือศัตรูสุดแกร่งที่ทำลายวิชาดาบที่โลอันสั่งสมมาได้อย่างง่ายดาย ปกติเขาควรจะแพ้ไปแล้ว แต่สถานการณ์ปัจจุบันมันเอื้อให้เขายังสามารถไปต่อได้อีก
การตัดสินใจจบชีวิตตัวเองทำให้โลอันก้าวข้ามพรมแดนที่ตัวเขาคนเก่าต้องพยายามแทบตายกว่าจะมาถึงได้อย่างง่ายดาย
การยึดติดกับ “ชีวิต” ที่มีติดตัวมาแต่เกิดคือความผิดพลาด พอสละมันทิ้ง จิตใจของโลอันก็โล่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมที่จะมุ่งหมายสู่ดาบสุราลัย
การขจัดความยึดติดดังกล่าวทิ้งนี่แหละคือคุณสมบัติจำเป็นของผู้ที่จะมายืนอยู่บนขั้นบันไดสู่ดาบสุราลัยได้
. ผีดิบโลอัน: เอ้า เบิ่งตาดูสิ เจ้าลูกชายบ้า ต่อให้เป็นแกก็ทำไม่ได้หรอก
เทพดาบนั้นช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกินที่ซ่อนดาบสุราลัยไว้เบื้องหลังความตาย เซซิลุส เซ็กมุนต์ผู้ที่ยังมิได้ก้าวข้ามความตายจึงยังมาไม่ถึง
นั่นแปลว่าโลอันคือผู้ชนะการเดิมพัน และเขาจะขอกอบโกยกำไรที่งอกเงยให้เต็มที่
ผีดิบโลอัน: ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!
ฝูงผีดิบโลอันหัวเราะร่าระหว่างที่กรูกันเข้าไปจู่โจมไอริส จิ้งจอกสาวกำจัดเขาทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ความแตกต่างของระดับพลังกำลังย่นระยะห่างลงอย่างรวดเร็ว
ครั้งหนึ่ง โลอัน เซ็กมุนต์ คือชายผู้โชคร้ายที่มิอาจเติมเต็มความปรารถนาสูงสุดของตนได้ตราบจนวันตาย ชีวิตของเขาจบลงแบบโศกนาฏกรรม
แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น โลอัน เซ็กมุนต์ ผู้ยึดติดใน “ดาบสุราลัย” ได้รับโอกาสครั้งใหม่หลังความตาย
ไม่ว่าเขาจะถูกสังหารอีกกี่ครา ดวงวิญญาณของโลอันก็จะสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ และทุกครั้งที่ต่อสู้กับศัตรูที่แกร่งกว่าตนหลายขุมนาม “ไอริส” จนตัวตาย ความแข็งแกร่งของเขาก็ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น
มันคือสภาพแวดล้อมที่โลอันอาศัยความหมกมุ่นและความหมั่นเพียรเรียนรู้ของเขาในการขัดเกลาวิชาดาบให้คมขึ้นเรื่อยๆ ผ่านความตาย
ถ้าหากนัตสึกิ สุบารุ ได้มาเห็นภาพนี้ เขาคงจะตั้งชื่อให้มันว่า “เรียนรู้ผ่านความตาย”
ตอนนี้โลอันกลายเป็นอสุรกายที่ตนเองตอนยังมีชีวิตอยู่มิอาจเทียบเคียงได้ นี่คือวิชาดาบของผีดิบผู้ทอดทิ้งชีวิตของตน “เซียนดาบซากศพ” โลอัน เซ็กมุนต์
. ไอริส: อุก… อ๊า…
ไอริสเริ่มต้านทานคมดาบที่มาจากทุกทิศทางไม่อยู่ คมดาบเฉือนเข้าที่แขนและสีข้างของเธอจนเลือดสาดกระเซ็น
โลอันส่ายหน้าทันทีหลังได้ยินเสียงร้องอ่อนแอของเธอ เขาไม่อยากเห็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างเธอแสดงด้านอ่อนแอออกมา
โลอันรู้สึกขอบคุณไอริส เขาแกร่งขึ้นได้ก็เพราะเธอ แต่ว่าความตายของเธอเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป็นเพียงทางผ่านไปสู่ “ดาบสุราลัย”
เพราะงั้นเขาถึงไม่อยากได้ยินเสียงร้องโอดครวญ แต่อยากได้ยินเสียงปรบมือยินดีต่างหาก
ผีดิบโลอัน: หยุดร้องได้แล้ว แม่สาวน้อย ใบหน้าสวยๆ มันหม่นหมองหมดขอรับ
ไอริสใช้กล้องยาสูบรับดาบเอาไว้ จากนั้นใช้มืออีกข้างจ้วงทะลุลำตัวของโลอัน แต่โลอันอีกคนเข้าจู่โจมระหว่างที่แขนเธอยังติดอยู่
ไอริสใช้ขาข้างหนึ่งถีบสวนโลอันคนที่ 2 ระหว่างนั้นโลอันคนที่ 3 ลอบเข้าด้านหลัง เธอจึงสะบัดหางหวดใส่เขา
ทว่า โคนหางของเธอก็ถูกฟันเฉือนด้วยเช่นกัน ใบหน้าของไอริสจึงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด โลอันไม่พลาดโอกาสที่จะเตรียมฟันซ้ำเพื่อปลิดชีพ
. ผีดิบโลอัน: ――ขอรับชีวิตไปล่ะ
โลอันตวัดประกายดาบสีเงินหมายตัดคอของจิ้งจอกสาวให้ขาดในฉับเดียวอย่างงดงาม แต่แล้วคมดาบของเขากลับถูกหยุดไว้โดยบุคคลที่สามที่เข้ามาขัดจังหวะ
ทันซ่า: ――ท่านยอร์น่า
ผู้ที่หยุดคมดาบที่โลอันขัดเกลามาอย่างดีที่สุดเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ไม่ใช่ไอริสซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ผู้เก่งกาจที่เขาเคารพชื่นชม
แต่แล้วดาบของโลอันที่ฟันเข้าใส่ลำตัวบอบบางของเด็กสาวกลับเป็นฝ่ายที่หักเสียแทน ทั้งที่มันควรผ่าร่างของเธอขาดครึ่ง
เอมิเลีย: หน้าตาเหมือนกันหมดเลย แต่เอาเป็นว่าหลีกทางไปให้หมดซะ!
เสียงกระดิ่งอันอาจหาญดังขึ้นมาต่อ แล้วในชั่วพริบตาต่อมา บุปผาน้ำแข็งก็เบ่งบานกลางดง จนผีดิบโลอันหลายคนถูกดูดกลืนกลายเป็นปุ๋ยดอกไม้
โลอันที่ถูกแช่แข็งจนขยับเขยื้อนไม่ได้กุมดาบแน่นพลางกวาดสายตาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ทันซ่า: ――ในที่สุด ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้งเสียทีค่ะ
เด็กสาวที่มีเขากวางเข้าไปสวมกอดไอริสแล้วพึมพำเช่นนั้นออกมา ฝั่งไอริสที่คุกเข่าล้มเจ็บอยู่ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
เด็กสาวกวางหันกลับมามองทางโลอันและประกาศกร้าวอย่างชัดเจนว่า…
ทันซ่า: ไอ้คนชั่วที่หันคมดาบใส่ท่านยอร์น่าน่ะ ตัวฉันผู้ไม่คู่ควรคนนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ให้เองค่ะ
. จบตอน