“จักรพรรดิพุ่มหนาม” ยูการ์ด วอลลาเคียนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก สืบเนื่องจากปกรณัมโศกนาฏกรรมรักที่เรียกขานกันว่า “ไอริสและราชาแห่งหนาม”
มันคือเรื่องราวของความรักระหว่างเด็กสาวจิตใจงดงามนาม “ไอริส” กับองค์จักรพรรดิแห่งวอลลาเคียผู้เป็นที่เกรงกลัวในฉายา “ราชาแห่งหนาม”
เรื่องราวนี้ถูกแต่งเติมเนื้อหาใหม่ไปตามกาลเวลา แต่ใจความหลักยังคงเป็นความรักอันน่าหลงใหลระหว่างไอริสกับราชาแห่งหนามไม่แปรเปลี่ยน
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเรื่องราวนี้อ้างอิงมาจากประวัติศาสตร์จริง ในยุคสมัยแห่งความวุ่นวายที่มีแต่การต่อสู้ ความเศร้าโศกเสียใจ และการทรยศหักหลัง
หลังจากที่ทั้งสองได้พบกันเป็นครั้งแรก จักรพรรดิยูการ์ดก็ถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์โดยเหล่าบริวารที่ก่อกบฏ ยูการ์ดกับไอริสจึงร่วมมือกันทวงคืนบัลลังก์กลับมา
กว่าที่ทั้งสองจะตกหลุมรักกัน ไอริสกับยูการ์ดต้องฝ่าฟันอะไรร่วมกันมากมาย จนพวกเขาสามารถทวงคืนอนาคตที่ปรารถนามาไว้ในมือ แต่แล้วก็มิวายเกิดโศกนาฏกรรมตามมาอีก
กระนั้น ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น ผลงานในการพิชิตชัยและการกลับขึ้นปกครองจักรวรรดิวอลลาเคียได้อย่างสมเกียรติของยูการ์ดก็เป็นของจริง
ด้วยเหตุนั้น “จักรพรรดิพุ่มหนาม” ยูการ์ด วอลลาเคียจึงถูกเรียกขานว่าเป็นจักรพรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของวอลลาเคีย
. กรูวี่: ไอ้เวรตะไลเอ๊ยยยยย!!
ตัดกลับมาปัจจุบัน “กรูวี่ กัมเล็ต” กำลังเขวี้ยงเคียวติดโซ่ที่ตัดสายโซ่จนขาดครึ่งหนึ่งออกไป ชั่ววินาทีหลังจากที่มันลอยหลุดจากมือ เคียวติดโซ่ก็ลุกเป็นไฟ
ถ้าหากกรูวี่ตัดสินใจช้ากว่านี้ ร่างของเขาคงไหม้ตามเคียวไปแล้ว ขนทั่วร่างของเขาลุกซู่เมื่อตระหนักได้ถึงความเสี่ยงดังกล่าว
ยูการ์ด: เต้นได้ดีนี่เจ้าหมาน้อย แต่ว่าดวงดาราของข้าเต้นรำได้น่าเชยชมกว่าเยอะ
“ดาบแสงตะวัน” วอลลาเคียคืออาวุธที่ไม่ควรประดาบด้วยมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เนื่องจากอาวุธของคู่ต่อสู้จะลุกเป็นไฟในพริบตาที่คมดาบกระทบกัน
ในฐานะช่างตีดาบ กรูวี่ใฝ่ฝันที่จะตีดาบล้ำค่าที่แสนทรงพลังเช่นนั้นให้ได้สักวัน เขาจึงสาปแช่งวินเซนต์ที่ไม่เคยยอมให้ตนได้ชื่นชมดาบแสงตะวันใกล้ๆ สักครั้ง
ในเมื่ออีกฝ่ายมีอาวุธสุดโกงที่ฟันให้ตายในทีเดียวได้เช่นนี้ กอซกับโมโกรที่เป็นพวกชอบยืนรับการโจมตีคงไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้อย่างแน่แท้
ผิดกับกรูวี่ที่สามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายที่เตี้ยแคระแต่คล่องแคล่วว่องไวของเขาในการหลบหลีกคมดาบสีชาดที่ไล่กระหน่ำเข้ามา
. ถนนหนทางรอบข้างเริ่มถูกเผาติดไฟจากลูกหลงการปะทะ แถมในระหว่างที่กรูวี่หลบหลีกคมดาบสีชาดของดาบตะวันอยู่ ประกายสีดำก็แทรกเข้ามาผ่าโลกาจนแยกออก
กรูวี่: ――เฮือก
นั่นคือคมดาบของ “ดาบอสูร” มุราซาเมะ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเฉียบคมจนกระทั่งการทำฝักดาบยังเป็นงานยาก โชคดีที่กรูวี่ที่ก้มหัวหลบได้ทันไปอย่างฉิวเฉียด
ผลลัพธ์ของการฟันครั้งเดียวนั้นทำให้อาคารบ้านเรือนในระยะ 10 เมตร ด้านหลังศีรษะของกรูวี่ถูกผ่าจนแยกออกเป็นแนวเอียงตามแนวการฟันของศัตรู
ตามปกติแล้ว “ดาบอสูร” มุราซาเมะเรียกค่าชดเชยในการใช้งานมันอย่างหนักหนาสาหัส คนทั่วไปจึงอาจตายได้จากการกวัดแกว่งดาบเพียงครั้งเดียวเลย
กรูวี่: แต่นี่แม่งฟันชิ้งๆๆๆ อย่างชิวเลยหว่า!
ยูการ์ด: ดวลกันอยู่แท้ๆ เป็นห่วงเราผู้นี้ด้วยงั้นหรือ? เช่นนั้นก็อย่าได้กังวลใจไปเลย คนแคระเฉกเช่นพวกเจ้าน่ะเป็นห่วงแค่ร่างกายของตัวเองก็พอ ผู้ที่จะมาเป็นห่วงเราผู้นี้น่ะ มีแค่ดวงดาราของข้าก็เพียงพอแล้ว
กรูวี่: พล่ามบ้าอะไรวะนั่น!
. ศัตรูของเขาคือผู้ที่สามารถถือครองและใช้งานสองอาวุธสังหารสุดทรงพลังอย่าง “ดาบแสงตะวัน” และ “ดาบอสูร” ได้อย่างช่ำช่อง
พอรวมเข้ากับเส้นผมสีเขียว มงกุฎหนาม และสถานการณ์ที่ผีดิบบุคคลในอดีตคืนชีพกลับมาแล้ว กรูวี่ก็พอจะคาดเดาตัวจริงของศัตรูได้
กรูวี่: ยูการ์ด วอลลาเคีย…
ยูการ์ด: ต่อให้ไม่บอก เราผู้นี้ก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นใคร ทว่า ขอชื่นชมความรอบรู้ของเจ้าที่สามารถจดจำเราผู้นี้ซึ่งอยู่ต่างยุคสมัยกันได้
กรูวี่: ถึงจะเห็นงี้ แต่ก็เป็นคนเดียวในหมู่แม่ทัพเอกที่แม่งอ่านหนังสือนะเฟ้ย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว แม่งบอกไปเลยละกัน ชั้นเป็นหนึ่งใน “เก้าแม่ทัพเทวะ” น่ะ
ยูการ์ด: “เก้าแม่ทัพเทวะ”… อ้อ ยังมีอยู่อีกงั้นหรือ ตำแหน่งนั้นน่ะ
กรูวี่: ในยุคสมัยของเอ็ง มันโดนกวาดล้างจนแม่งไม่เหลือเลยสินะ
ระหว่างที่ชวนอีกฝ่ายสนทนา กรูวี่ก็ล้วงไปหยิบเครื่องมือไสยเวทที่มีรูปร่างเป็นขวานด้ามสั้นออกมาสองเล่ม ปัญหาใหญ่ของศึกนี้คือพลังชีวิตของกรูวี่อาจจะหมดก่อน
จนถึงตอนนี้ “คำสาปแห่งหนาม” ของยูการ์ดยังคงผูกรัดหัวใจของกรูวี่เอาไว้ แถมวิธีแก้ทางคำสาปแบบเฉพาะหน้าของเขาก็ใช้ได้ไม่นาน
เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นผู้ใช้อาคมประเภทกระจายคำสาปโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง กรูวี่จึงเผลอนึกว่าเขาจะเป็นจำพวกที่ต่อสู้แบบหลบๆ ซ่อนๆ
หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะออกมาประจันหน้าเขาพร้อมกับอาวุธแสนทรงพลัง ไม่สิ ปัญหาหลักจริงๆ คือผู้ถือครองอาวุธที่ว่าดันเป็นบุคคลที่ฝีมือกล้าแกร่งสุดๆ ต่างหาก
ระบบ “เก้าแม่ทัพเทวะ” มีประวัติการถูกล้มเลิกและการนำกลับมาใช้ใหม่อยู่หลายครั้งหลายคราในหน้าประวัติศาสตร์ของวอลลาเคีย
โดยครั้งแรกที่ระบบนี้สูญหายไปคือในยุคสมัยการปกครองของ “ยูการ์ด วอลลาเคีย” ซึ่งเหตุผลที่ระบบเก้าแม่ทัพเทวะถูกล้มเลิกไปในตอนนั้นก็คือ…
ยูการ์ด: ――ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ไอ้เจ้าพวกนั้นที่อ่อนแอกว่าเราผู้นี้ดันหมายปองที่จะปลิดชีพดวงดาราของข้า
เหตุผลก็คือ “เก้าแม่ทัพเทวะ” ในยุคนั้นถูก “จักรพรรดิพุ่มหนาม” สังหารเองกับมือจนไม่เหลือสักคนนั่นเอง
. แน่นอนว่า “เก้าแม่ทัพเทวะ” ในยุคนั้นคงไม่มีพวกที่แข็งแกร่งเหนือสามัญสำนึกของมนุษย์อย่างเซซิลุสหรืออาราเคียอยู่
กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคใด ตำแหน่ง “เก้าแม่ทัพเทวะ” ก็คงจะถูกมอบให้แก่นักรบผู้กล้าแกร่งซึ่งเทียบเคียงได้กับกลุ่มของกรูวี่ในปัจจุบันเท่านั้น
กรูวี่ตัดสินใจที่จะรีบจบศึกโดยเร็วก่อนที่ยาพิษจะหมดฤทธิ์ ว่าแล้วเขาจคงกระโจนตัวเข้าไปประชิดยูการ์ด จากนั้นก็ตวัดขวานสั้นในมือสองเล่มใส่
ฝั่งยูการ์ดยกดาบแสงตะวันมาปัดป้องการโจมตี แต่ว่านั่นคือการตอบสนองที่กรูวี่เล็งไว้อยู่แล้ว
ยูการ์ด: อุก…
กรูวี่: เห็นผลชัดดีมั้ยล่ะ ไอ้เวรเอ๊ย!
วินาทีที่ขวานปะทะเข้ากับคมดาบ ใบหน้าของยูการ์ดก็แตกร้าว พร้อมกันนั้นขวานสองเล่มของกรูวี่ก็ติดไฟจนลุกไหม้ แต่ว่าเขาได้ปล่อยมือจากอาวุธไว้ล่วงหน้าแล้ว
ขวานสองเล่มนั้นคือเครื่องมือไสยเวทที่ออกแบบมาเพื่อสังหารศัตรูในชุดเกราะแน่นหนา ตัวด้ามขวานมีการสั่นไหวที่ละเอียดละออจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอยู่
เมื่อคมขวานปะทะเข้ากับอาวุธหรือชุดเกราะ การสั่นไหวจะส่งคลื่นกระแทกเข้าไปทำลายกระดูกและอวัยวะภายในของศัตรู
น่าเสียดายที่ผีดิบอย่างยูการ์ดคงมีโครงสร้างภายในต่างไปจากสิ่งมีชีวิต ความเสียหายเลยไม่ร้ายแรงเท่าที่ควร
. ยูการ์ด: น่าสนใจ ทว่า ถ้ามีเพียงแค่นั้นแล้วล่ะก็…
กรูวี่: ใครบอกว่ามีแค่นั้น? ยังมีอีกโคตรเยอะเลยเฟ้ย เครื่องมือไสยเวทของชั้นน่ะ!
ว่าแล้วกรูวี่จึงหยิบขวานอีกสองเล่มออกมาเขวี้ยงใส่ยูการ์ด คราวนี้ยูการ์ดเลือกที่จะหลบแล้วฟันสวน กรูวี่เองก็กระโจนตัวหลบพลางปาขวานสวนรัวๆ เช่นกัน
กรูวี่: โอร่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!
นั่นคือการเปิดฉากโจมตีแลกกันอย่างดุเดือดของทั้งสองฝ่าย ระหว่างที่กรูวี่กระหน่ำปาขวานจากทุกทิศทุกทาง ฝั่งยูการ์ดก็คอยหลบและฟันสวนด้วยทั้งดาบแสงตะวันและดาบอสูร
ดูผิวเผินสถานการณ์เหมือนจะสูสี แต่ที่จริงฝั่งกรูวี่เสียเปรียบกว่าเยอะ เนื่องจากพละกำลังที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ จากการใช้พิษและจำนวนเครื่องมือไสยเวทที่มีจำกัด
ไหนจะเรื่องประสิทธิภาพการโจมตี เวลาที่กรูวี่โจมตีเข้าเป้า อีกฝ่ายอาจจะเจ็บหนักพอสมควรก็จริง แต่การโจมตีจากดาบสองเล่มของยูการ์ดนั้นโดนทีเดียวถึงตายทั้งคู่
. กรูวี่รู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่ “เก้าแม่ทัพเทวะ” ที่แกร่งที่สุดตั้งแต่ตอนที่วินเซนต์เรียกตัวเขาไปเข้ารับตำแหน่งและได้พบกับพวกแม่ทัพเอกคนอื่น
เมื่อได้รู้จักกับสหายในหมู่ “เก้าแม่ทัพเทวะ” กรูวี่ก็ตระหนักรู้ว่าแม่ทัพเทวะแต่ละคนต่างก็มีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่แม่ทัพเทวะคนอื่นไม่อาจเทียบเคียงได้อยู่
เซซิลุสโดดเด่นที่สุดด้านความแข็งแกร่ง
อาราเคียโดดเด่นที่สุดด้านพลังทำลาย
โอลบาร์ตโดดเด่นที่สุดด้านความรอบด้านของวิชาที่มี
จิชาโดดเด่นที่สุดด้านความฉลาดหลักแหลม
กอซโดดเด่นที่สุดด้านคุณสมบัติการเป็น “แม่ทัพ”
โมโกรโดดเด่นที่สุดด้านความสามารถในการเอาชีวิตรอด (ฆ่ายาก)
ยอร์น่าโดดเด่นที่สุดด้านพลังที่เหนือสามัญสำนึก
มาเดลินโดดเด่นที่สุดด้านทักษะการต่อต้านกองทัพ
บัลรอยโดดเด่นที่สุดด้านทักษะการต่อต้านบุคคล
ส่วนกรูวี่นั้น โดดเด่นที่สุดเรื่องความดื้อด้านไม่ยอมแพ้และจำนวนของสารพัดวิธีในการสังหารศัตรูที่เขามีอยู่
. กรูวี่: อ่อก
อยู่ดีๆ กรูวี่ที่ดวงตาแดงก่ำก็กระอักเลือดจำนวนมากออกมา เป็นสัญญาณว่าพิษในร่างเริ่มออกฤทธิ์ต่อเม็ดเลือด
ฝั่งยูการ์ดไม่เปลี่ยนสีหน้า เนื่องจากเขาคงคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่ากรูวี่ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อลดความเจ็บปวดจากคำสาป และมันไม่ใช่วิธีการที่ใช้ต่อเนื่องได้นาน
ยูการ์ดรู้ดีว่าฝั่งตนกำลังได้เปรียบแค่ไหน ต่อให้เขาไม่บุกเข้าไปฟัน สุดท้ายกรูวี่ก็คงจะตายเพราะพิษของตัวเองอยู่ดี
แต่ก็เพราะการประเมินสถานการณ์เช่นนั้นที่ทำให้ยูการ์ดคาดไม่ถึงว่ากรูวี่จะเล่นสกปรกด้วยการพ่นเลือดผสมพิษจากปากใส่เขา
ยูการ์ดรีบกระโจนถอยหลังแล้วตวัดดาบแสงตะวันเผาเลือดกับพิษที่สาดเข้ามาให้ระเหยหายไป
ทว่า เป้าหมายของกรูวี่ไม่ใช้การใช้พิษจากเลือด แต่เป็นการทำให้เลือดของเขาไปติดอยู่บนแขนเสื้อของอีกฝ่ายต่างหาก
กรูวี่: โคตรกับดักสังหารไงล่ะ
ยูการ์ด: นี่มัน…
พอกรูวี่ฉีกยิ้มโชว์เขี้ยวที่เปรอะเลือด เครื่องมือไสยเวท “ขวานโลหิต” จำนวนนับไม่ถ้วนที่ยูการ์ดคอยหลบก่อนหน้านี้ก็ถูกดึงให้ตรงดิ่งเข้าหาเขาพร้อมกัน โดยอาศัยเลือดของกรูวี่เป็นสื่อนำ
. ยูการ์ดพยายามหลบวายุขวานโลหิตที่กระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศทางด้วยความสามารถทางกายภาพอันยอดเยี่ยม
แต่ด้วยจำนวนขวานอันมหาศาล ยูการ์ดจึงไม่สามารถหลบแบบต่อเนื่องได้ตลอดไป กระนั้น กรูวี่ก็ไม่คิดจะคอยท่าอยู่เฉยๆ เช่นกัน
กรูวี่หยิบลูกตุ้มที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเคียวติดโซ่ที่ถูกเผาไปออกมา จากนั้นก็เล็งปามันใส่ยูการ์ดที่กำลังวุ่นอยู่กับการหลบพายุขวานโลหิต
ยูการ์ดรีบใช้ใบดาบของดาบแสงตะวันหวดใส่ลูกตุ้ม แต่เขาคิดตื้นไปที่หลงนึกว่าจะสามารถสัมผัสอาวุธใดๆ ของ “เซียนเครื่องมือไสยเวท” กรูวี่ กัมเล็ต ได้
เกิดการระเบิดขึ้นอย่างแรงทันทีที่ดาบแสงตะวันกระทบกับลูกตุ้ม ร่างของยูการ์ดถูกเพลิงลุกท่วมจนเขาร้องตะโกนอย่างเจ็บปวดเป็นครั้งแรก
กระนั้นยูการ์ดก็ยังอุตส่าห์ตั้งท่ายืนให้มั่นเพื่อเตรียมรับการจากโจมตีระลอกสองจากขวานโลหิตได้อีก
ขวานเล่มที่หนึ่งจะทำลายกระดูก เล่มที่สองจะทำลายอวัยวะภายใน เล่มที่สามจะทำลายชีวิต ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหากโดนเข้าไปยี่สิบเล่มพร้อมกันจะเป็นอย่างไร
กรูวี่จึงได้มั่นใจในชัยชนะของเขา ทว่า――
ยูการ์ด: ――จงภูมิใจเสีย “เก้าแม่ทัพเทวะ” จากยุคสมัยของเราผู้นี้น่ะ ไม่มีผู้ใดแกร่งสู้เจ้าได้สักคน
ตอนนั้นเองที่ยูการ์ดพุ่งเข้ามาประชิดกรูวี่ในพริบตา เขาตวัดดาบอสูรเฉือนไปโดนใบหูข้างขวาของกรูวี่ที่โน้มหัวหลบ แถมยังเตะอัดลิ้นปี่ต่อทันทีจนกรูวี่กระเด็นถอยหลัง
. ระหว่างที่ร่างยังคงลอยจากแรงเตะ กรูวี่ก็ปลดสายคาดเอวและคว้าเอาดาบปล้องอสรพิษที่ทำจากเขี้ยวของเผ่ามนุษย์งูออกมาตวัดสวน หมายที่จะกุดศีรษะของยูการ์ดที่ไล่ตามมา
ยูการ์ด: หากมีเจ้าอยู่ในบรรดาผู้ก่อกบฏด้วยล่ะก็ ชีวิตของดวงดาราของข้าคงจะตกอยู่ในภยันตรายเป็นแน่
ยูการ์ดกล่าวประเมินฝีมือของกรูวี่พลางใช้ “ดาบอสูร” ผ่าดาบปล้องอสรพิษที่เลื้อยเข้ามาหาคล้ายงูให้ขาดเป็นท่อนๆ อย่างไร้ความปรานี
กรูวี่ยังคงไม่ยอมแพ้ เขาประกบเท้าสองข้างเข้าหากันเพื่อยิงตะขอติดเชือกสองเส้นออกมาจากปลายขากางเกง โดยหวังที่จะสะบั้นหัวไหล่ของศัตรู
ยูการ์ด: ถือว่ายอดเยี่ยมมากในสถานการณ์เช่นนี้
พอยูการ์ดฟันตัดตะขอติดเชือกทิ้งอย่างง่ายดาย กรูวี่ก็ฉีกผ้าโพกคอของเขาออกมาคลี่บดบังทัศนวิสัยระหว่างทั้งสองชั่วคราว
กรูวี่: ไอ้เวรรรเอ๊ยยยยย!!
จากนั้นกรูวี่ก็ใช้นิ้วเคาะศิลาผลึกมนตราที่ฝังไว้บริเวณลำคอตัวเอง ทันใดนั้นเองก็เกิดคลื่นเสียงคำรามที่แหวกผ่าห้วงอากาศไปอัดกระแทกใส่ยูการ์ด
. กรูวี่ทุ่มทุกอย่างให้กับการโจมตีทีเผลอที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ยูการ์ดแสดงศักยภาพที่แท้จริงของ “ดาบอสูร” ออกมา
ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ ปรากฏการณ์ หรือมโนทัศน์ใดๆ ก็ตาม ทุกอย่างล้วนแต่มีสิ่งที่เรียกว่า “แกนแท้” ซึ่งเป็นตัวแทนของเนื้อแท้ของสิ่งนั้นๆ อยู่
“ดาบอสูร” มุราซาเมะ คือดาบมนตราที่มีคุณสมบัติในการตัด “แก่นแท้” ของสรรพสิ่งให้ขาดเป็นสองซีก
ในอดีต มุราซาเมะเคยเกลียดชังกรูวี่ที่นำมันไปหลอมและตีขึ้นใหม่ จนมันถึงขั้นยอมตัดแก่นแท้ของ “กลิ่น” ตัวเองทิ้ง
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครสามารถดมกลิ่นของดาบอสูรได้อีกเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นกรูวี่ผู้มีจมูกที่สามารถดมกลิ่นได้ครอบคลุมเกือบทั่วจักรวรรดิก็ตาม
. เช่นเดียวกับในปัจจุบัน มุราซาเมะสามารถผ่าคลื่นเสียงคำรามของกรูวี่ให้ขาดได้ ศิลาผลึกมนตราบนคอของเขาแตกออกไปตามกันโดยทันที
คมดาบของมุราซาเมะหมายที่จะปลิดชีพกรูวี่ไปพร้อมกัน แต่สายลมที่พัดผ่านมาก็ช่วยชีวิตเขาไว้เสียก่อน
ฮาลิเบล: ให้ตายซี่ หวิดไปแล้วไหมล่ะ รอดมาได้เพราะผมมาเดินเล่นพอดีเลยนะ นายเนี่ย
ผู้บุกรุกสร้างความตกตะลึงให้ทั้งกรูวี่และยูการ์ด เนื่องจากว่าอยู่ดีๆ เขาก็โผล่มาโดยที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ตัว
ผู้บุกรุกเตือนให้กรูวี่ในอ้อมแขนของเขาอย่าพึ่งพูด เนื่องจากการการผ่าของดาบอสูรก่อนหน้านี้ตัดเอา “เสียง” ของกรูวี่ไปชั่วคราวด้วย
มนุษย์หมาป่าขนสีดำวางร่างของกรูวี่ลงกับพื้น จากนั้นก็หันไปจดจ้องยูการ์ดด้วยดวงตาที่ตี่จนแทบเหมือนว่าหลับตาอยู่
ฮาลิเบล: อย่างงี้นี่เอง เครื่องมือไสยเวทที่ไล่ตามไม่ว่าจะหนีไปไหนมันก็สะดวกดีอยู่แหละ แต่แค่สละแขนทิ้งหนึ่งข้างก็หมดความหมายไปเลย มิหนำซ้ำ
ดังที่มนุษย์หมาป่ากล่าวมา ก่อนหน้านี้ยูการ์ดรอดจากพายุขวานโลหิตมาได้ด้วยการตัดแขนข้างที่แขนเสื้อเปื้อนเลือดทิ้ง
กรูวี่คาดไม่ถึงว่ายูการ์ดจะยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวเท่าเดิมถึงแม้ว่าจะพึ่งเสียแขนไปข้างหนึ่ง เขาจึงคำนวณผิดพลาดจนเกือบสิ้นท่า
มิหนำซ้ำ แขนข้างขวาของยูการ์ดก็งอกกลับคืนมาทันทีที่มนุษย์หมาป่าขนดำเอ่ยทักขึ้น
กรูวี่: เ..ฮ้..ย ไ..อ้..เ..ว..ร…
ฮาลิเบล: …เดี๋ยวนะ เรียกผมว่าไอ้เวรเลยเหรอ?
กรูวี่: ที่..สำ..คัญ..กว่า..นั้น…
ฮาลิเบล: รู้แล้วจ้า รู้แล้วจ้า ต่อให้ไม่ต้องพูดอะไร ก็เข้าใจหมดแล้ว
มนุษย์หมาป่าจุดกล้องยาสูบ แล้วเป่าควันออกมาหนึ่งฟูด ก่อนที่จะเอ่ยต่อ
ฮาลิเบล: ไรกันเนี่ย เป็นผู้ใช้อาคมที่นิสัยเลวร้ายชะมัดยาด ――ไม่มีความรักเลยสักนิด
ยูการ์ดถอดเสื้อคลุมที่ถูกลูกหลงจากแรงระเบิดจนไหม้ออก ที่บนหน้าอกของเขามี “คำสาปแห่งหนาม” อยู่เช่นเดียวกันกับกรูวี่และมนุษย์หมาป่าขนดำ
. จบตอน