webnovel arc8 chapter49

บทที่ 8 ตอนที่ 49 "ราชาแห่งหนาม"

“จอมพิสมัย” ฮาลิเบล คือบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในนครรัฐคารารากิ กระทั่งโอลบาร์ตผู้เป็นชิโนบิที่แกร่งที่สุดในจักรวรรดิยังจำใจต้องยอมรับในฝีมือของเขา

แต่ว่าฮาลิเบลแตกต่างจากบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดจากอีกสามประเทศมหาอำนาจตรงที่ตัวเขามีรากฐานเป็นเพียงโรนินที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อรัฐบาลของประเทศตัวเอง

“นักดาบเทวา(ไรน์ฮาร์ด)” มีพันธสัญญาที่ผูกพันตัวเขากับราชอาณาจักรมิตรมังกรลูกุนิก้า

“เจ้าชายคลั่ง” ถูกทางการของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กุสเทโก้จองจำเอาไว้ที่หอคอยทางเหนือสุดข้อหาขบถต่อประเทศชาติ

กระทั่ง “อัสนีสีฟ้า(เซซิลุส)” ที่ชอบเร่ร่อนไปประเทศอื่นตามอำเภอใจก็ยังมีตำแหน่งยศฐาในจักรวรรดิวอลลาเคีย

มีเพียงแค่ “จอมพิสมัย” ฮาลิเบลที่เป็นอิสระ ไร้ข้อผูกมัดและมิได้มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลของประเทศตน

แน่นอนว่าฮาลิเบลรักบ้านเกิดและได้รับจ้างให้ช่วยตรวจสอบหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยทางการเป็นครั้งคราว แต่เขาเลือกรับงานเฉพาะที่ตัวเองสนใจเพียงเท่านั้น

ฉายา “จอมพิสมัย” เองก็มีที่มา “ส่วนหนึ่ง” จากนิสัยที่ชอบเอ่ยปากชื่นชมผู้อื่นอยู่เสมอ เนื่องจากว่ามันคือแนวทางการประเมินบุคคลแบบไร้อคติของฮาลิเบล

ฮาลิเบล: ไรกันเนี่ย เป็นผู้ใช้อาคมที่นิสัยเลวร้ายชะมัดยาด ――ไม่มีความรักเลยสักนิด

ดังนั้น ถ้าหากว่ามีบุคคลที่กระทั่ง “จอมพิสมัย” ยังเอ่ยปากชมไม่ออกอยู่ เราก็รู้ได้ทันทีว่าบุคคลดังกล่าวเลวร้ายมากเพียงใด

. สุบารุไหว้วานให้ฮาลิเบลมาช่วยเหลือทางหอรบที่ 4 ด้วยเหตุผลที่ว่าจำเป็นต้องพึ่งพาทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านคำสาป

ฮาลิเบลเลือกที่จะไม่กังขาคำขอนั้น เนื่องจากว่าสุบารุได้รับความไว้วางใจจากทั้งจักรพรรดิวินเซนต์และอนาสตาเซีย

ปัจจุบัน สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของฮาลิเบลคือผีดิบยูการ์ดที่มี “คำสาปแห่งหนาม” ปรากฏอยู่บนหน้าอกฝั่งซ้ายเช่นเดียวกับตัวเขาและกรูวี่

ความเป็นไปได้มีเพียงสองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือ “คำสาปแห่งหนาม” จะจู่โจมแบบไม่เลือกเป้าหมาย ทำให้ยูการ์ดที่เป็นผู้ใช้คำสาปได้รับผลกระทบไปด้วย

ทว่า ฮาลิเบลมองว่าความเป็นไปได้อย่างที่สองมีโอกาสเป็นจริงมากกว่า ซึ่งก็คือ…

ยูการ์ด: ――อมนุษย์ตรงนั้นน่ะ จงตอบคำถามของเราผู้นี้เสีย

ฮาลิเบล: ผมน่ะเหรอ?

ยูการ์ด: หากเราผู้นี้มิได้มองผิดไปแล้วล่ะก็ เจ้าเป็นมนุษย์หมาป่าอย่างงั้นหรือ?

ฮาลิเบล: อา นั่นสิน้า ผมเป็นมนุษย์หมาป่า… ที่ต้องมาอยู่ในสถานะตกที่นั่งลำบากทุกหนแห่งในโลกเพราะความไร้เหตุผลของวอลลาเคีย เกือบจะสูญพันธุ์อยู่แล้วเชียวแน่ะ

ยูการ์ด: งั้นหรือ ――เช่นนั้นเองหรือ

. หลังยูการ์ดตอบรับด้วยการพยักหน้าเงียบๆ กรูวี่ก็พยายามส่งเสียงเตือนอะไรบางอย่างกับฮาลิเบลทั้งที่เขาห้ามไปแล้วว่าอย่าพึ่งฝืนใช้เสียงตอนนี้

ยูการ์ด: ――มิได้มีความแค้นเคืองต่อเจ้าเป็นการส่วนตัวหรอกนะ

ภายในพริบตาเดียวประกายดาบสีดำทมิฬจาก “ดาบอสูร” ก็ถูกฟันออกไปผ่าร่างของฮาลิเบลขาดครึ่งเป็นสองท่อนจากศีรษะจนถึงขาหนีบ

ยูการ์ด: ทว่า เผ่าพันธุ์ของเจ้าเคยสมรู้ร่วมคิดเพื่อทำให้ดวงดาราของข้าถึงแก่ความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะงั้นจึงมีมลทินเฉกเช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์หนูดิน ต้องถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้นมิให้ใครเอาเยี่ยงอย่างอีก

ฮาลิเบล: …อ้อ ในที่สุดก็จำได้แล้ว คุณจักรพรรดิคนเก่าแก่ นายนี่เองคือสาเหตุที่พวกผมเกือบจะสูญพันธุ์กันหมด

ยูการ์ด: หือ

ยูการ์ดได้แต่เพียงกระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นว่าฮาลิเบลที่ถูกผ่าแยกเป็นสองซีกยังคงพูดจาโต้ตอบกับเขาได้

ยูการ์ด: ประหลาดใจเหลือเกิน ในสภาพเช่นนั้นก็ยังไม่ตายอีก นั่นคือผลสมฤทธิ์จากการฝึกฝนอย่างเคี่ยวเข็ญอย่างงั้นหรือ?

ฮาลิเบล: คาดเดาได้บันเทิงเหลือเกินนะ แต่ว่าไม่ใช่หรอก ――เพราะว่านี่ไม่ใช่ร่างจริงล่ะนะ

หลังฮาลิเบลหัวเราะร่า ร่างทั้งสองซีกก็ล้มกองกับพื้นและสลายกลายเป็นขนสัตว์สีดำปริมาณมหาศาล ซึ่งในระหว่างที่ยูการ์ดกำลังจดจ่ออยู่กับภาพประหลาดตรงหน้านั้นเอง…

ยูการ์ด: อย่าได้ถือวิสาสะเข้าหาเราผู้นี้จากด้านหลัง มีเพียงดวงดาราของข้าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต

ฮาลิเบล: เห ไม่เลวเลยนะเนี่ย~

ยูการ์ดที่ไหวตัวทันตวัด “ดาบแสงตะวัน” ในมือขวาไปผ่าอีกร่างหนึ่งของฮาลิเบลที่มาปรากฏอยู่ด้านหลังเขาจนขาดครึ่งในแนวนอน

ทว่า ร่างท่อนบนและท่อนล่างที่ถูกเผาไหม้นั้นก็มิใช่ร่างจริงของฮาลิเบลอีกเช่นกัน

. ร่างแยกตัวที่สามของฮาลิเบลจับขาของยูการ์ดแล้วดึงเขาลากไปตามถนนให้ร่างจมลงไปในดินจนลึกถึงเอว ที่จริงเขากะจะดึงยูการ์ดให้จมดินถึงคอเลยด้วยซ้ำ

ทว่า ยูการ์ดก็ใช้ดาบฟันผ่าพื้นดินจนแยกเพื่อหนีออกมา แถมคมดาบยังฟันมาโดนร่างแยกตัวที่สามของฮาลิเบลทั้งแนวตั้ง แนวนอน แนวทะแยง จนร่างแหลกเป็นชิ้นๆ

มีร่างแยกสร้างใหม่อีกสองร่างของฮาลิเบลเข้ามาจู่โจมขนาบซ้ายขวาแบบต่อเนื่องทันที ยูการ์ดประเมินว่าร่างแยกแต่ละร่างนั้นล้วนแต่เป็นภัยคุกคาม

ว่าแล้วเขาจึงตั้งท่าเตรียมฟันด้วย “ดาบอสูร” ในมือซ้ายและ “ดาบแสงตะวัน” ในมือขวา แต่แล้วร่างแยกที่ 3 ของฮาลิเบลกลับโผล่มายึดแขนยูการ์ดไว้จากด้านหลัง

ฮาลิเบล: โทษทีเน่อ แต่ผมแบ่งได้แค่สามร่างนี่แหละ

ฝ่ามือคมดาบของฮาลิเบลผู้เชี่ยวชาญ “ครรลองสายธาร(ริวโฮ)” นั้นมีความแหลมคมยิ่งกว่ามีดทั่วไป มันเจาะทะลุดวงตาข้างขวาและลิ้นปี่ของยูการ์ด ซึ่งโดยทั่วไปจะทำให้ถึงตายทันที

ยูการ์ด: อย่าได้ริอ่านมาใช้เล่ห์กลกับเราผู้นี้ หากมิใช่ดวงดาราของข้า มันก็ช่างสามหาวสิ้นดี

เมื่อดวงตาข้างซ้ายที่เหลืออยู่จดจ้องกับดวงตาของฮาลิเบล ประกายดาบแสงตะวันก็เจิดจ้าขึ้นมา จากนั้นทั่วอาณาบริเวณที่ทั้งสองอยู่ก็ลุกเป็นไฟ

ชั่ววินาทีต่อมา เปลวเพลิงก็หายวับไปทันตา ร่างแยกของฮาลิเบลทั้งสามกลายเป็นเถ้าถ่าน ในขณะที่ยูการ์ดฟื้นฟูแผลไหม้บนร่างของตน

ทว่า ทั้งฮาลิเบลตัวจริงและกรูวี่ที่ควรจะนอนบาดเจ็บอยู่ล้วนแต่หายวับไปจากบริเวณนั้นแล้ว แต่ยูการ์ดก็มั่นใจว่าฮาลิเบลไม่คิดจะยอมถอยเพียงเท่านี้

. ฮาลิเบลรู้ดีว่าพิษที่กรูวี่ใช้เพื่อแก้ทางคำสาปใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจพากรูวี่ออกมาให้พ้นทางก่อน ถึงแม้เจ้าตัวจะต่อต้านอย่างดื้อด้านก็ตาม

ฮาลิเบลถอนหายใจออกมาพลางประเมินความสามารถของคู่ต่อสู้ของเขา

นอกจากวิชาดาบที่กล้าแกร่งจนสามารถใช้ดาบมนตราสองเล่มได้อย่างช่ำช่องแล้ว ยูการ์ดยังมีร่างกายอมตะจากการเป็นผีดิบ

นอกจากนี้เขายังมีไหวพริบดีพอที่จะรู้ทันว่าฮาลิเบลโกหกเรื่องที่แยกร่างได้สูงสุดแค่สามร่าง แถมยังแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งอีกด้วย

จริงอยู่ว่าถ้าหากเทียบความแข็งแกร่งกันตรงๆ ฮาลิเบลนั้นเหนือกว่ายูการ์ด แต่ว่าการโค่นยูการ์ดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ปัญหาสำคัญคลี่คลายได้

เนื่องจากฮาลิเบลได้รับมอบหมายมาให้จัดการกับ “คำสาป” ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อผลลัพธ์ของศึกช่วงชิงนครหลวงจักรวรรดิ

. กรูวี่สังเกตเห็นว่าคำสาปหนามบนหน้าอกของฮาลิเบลหายไปแล้ว ทั้งที่ฮาลิเบลยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ซึ่งนั่นคือคำใบ้อีกอย่างหนึ่งถึงเนื้อแท้ของคำสาป

กรูวี่: ไอ้เวรตะไลเอ๊ย…

ฮาลิเบล: ท่าทางแบบนั้น แสดงว่าได้ข้อสรุปแบบเดียวกันกับผมสินะ พอคุณ “เซียนเครื่องมือไสยเวท” เห็นตรงกันแล้วก็อุ่นใจขึ้นเยอะเลย

พอได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับของกรูวี่ ฮาลิเบลก็ยิ่งมั่นใจในทฤษฎีที่สองของเขายิ่งกว่าเดิม สาเหตุที่ยูการ์ดมี “คำสาปแห่งหนาม” อยู่บนหน้าอกตัวเองด้วยก็คือ…

ฮาลิเบล: หนามพวกนั้นน่ะ ไม่ได้มาจากการที่คุณจักรพรรดิร่ายคำสาปใส่คนรอบข้าง…

กรูวี่: ฝ่าบาทยูการ์ดน่ะถูกไอ้สารเลวสักคนร่ายคำสาปใส่ แล้วผลของมันก็แม่งกระจายออกไปกระทบคนรอบข้างด้วย

. “จักรพรรดิพุ่มหนาม” ยูการ์ด วอลลาเคียนั้น ถูกใครบางคนร่ายคำสาปใส่เพื่อบ่อนทำลายการเข้าร่วม “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” ของเขา

ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าพี่น้องร่วมสายเลือดคนใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่ามีผู้ใช้อาคมชื่อดังสมรู้ร่วมคิดในแผนชั่วครั้งนี้กี่คนก็ยังคลุมเครืออยู่เช่นกัน

ที่แน่ๆ “คำสาปแห่งหนาม” ที่ทั้งเรียบง่ายและแสนโหดร้ายอันนี้ได้บิดเบี้ยวชะตากรรมขององค์ชายยูการ์ดอย่างร้ายแรง

เป้าประสงค์ของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นการทำให้ยูการ์ดต้องตายอย่างเดียวดายและเจ็บปวดทรมาน

เนื่องจากต่อให้ยูการ์ดจะร้องขอความช่วยเหลือ เหล่าบริวารที่เข้ามาช่วยก็จะได้รับลูกหลงจากผลกระทบของคำสาปแห่งหนามตามไปด้วย

จนสุดท้ายยูการ์ดอาจจะต้องจำใจจบชีวิตตัวเองตั้งแต่ยังหนุ่มและกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อสังเวยของพิธีกรรมคัดเลือกจักรวรรดิ

ทว่า เรื่องราวก็ไม่ได้จบลงเช่นนั้น เนื่องจากว่ายูการ์ดเป็นบุคคลที่มี “ภาวะไร้ความเจ็บปวด” โดยกำเนิด เขาไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ ได้เลย

ด้วยเหตุนั้น “คำสาปแห่งหนาม” จึงไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดต่อตัวยูการ์ดเองได้ กระนั้นมันก็ยังส่งกระทบต่อคนรอบข้าง จนเขาต้องปลีกตัวออกห่างจากผู้คนอยู่ดี

. ยูการ์ดคาดเดาที่ตัวเขาเป็นคนไร้อารมณ์เฉกเช่นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งคงเป็นกระทบจากการใช้ชีวิตช่วงวัยเยาว์อย่างสันโดษ

ถึงเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงผู้คน บางครั้งยูการ์ดก็จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์จนทำให้มีคนได้รับผลกระทบจากคำสาปแห่งหนามอยู่ดี

ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดว่ายูการ์ดเป็นผู้ร่ายคำสาปใส่เหยื่อเหล่านั้น แถมตัวยูการ์ดเองก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธข่าวลือ

มิหนำซ้ำ ผู้ใช้อาคมที่สาปยูการ์ดก็ไม่เคยมาปรากฏตัวในชีวิตของเขาอีกเลยนับแต่นั้นมา สุดท้ายผู้บงการเบื้องหลังที่แท้จริงก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ต่อไป

ด้วยเหตุนั้น “ราชาแห่งหนาม” จึงมีชะตากรรมต้องย่างก้าวอย่างเดียวดายต่อไป โดยที่มิอาจล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหนามที่ตามหลอกหลอนเขาทุกฝีก้าว

[ไอริส: แทนที่จะมัวจ้องแต่ความมืดมิด สู้นับดวงดาราบนท้องฟ้าน่าจะช่วยให้สงบใจได้มากกว่าไหมคะ?]

มันควรจะเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งยูการ์ดได้พบพานกับเด็กสาวคนหนึ่งที่กล้าเข้าหาตัวเขาผู้ถูกห้อมล้อมด้วยหนามแหลม

. ฮาลิเบลกลับมาประจันหน้ากับยูการ์ดอีกครั้ง โดยพูดล้อเล่นว่าทีแรกเขาตั้งใจจะหนี แต่เปลี่ยนใจยอมรับว่าไม่ได้คิดจะหนีตั้งแต่แรกแล้ว

ยูการ์ดให้อภัยฮาลิเบลที่ยอมรับตามจริง ต่อให้ไม่มีทักษะการต่อสู้อันยอดเยี่ยม เขาก็ยังคงเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะและท่าทางเหมาะสมกับตำแหน่งจักรพรรดิทุกประการ

ฮาลิเบล: นี่ไปทำอะไรเอาไว้ให้คนแบบเขาโกรธแค้นเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้กันนะ ท่านบรรพบุรุษทั้งหลาย

สำหรับฮาลิเบลที่เป็นมนุษย์หมาป่านั้น ยูการ์ดคือศัตรูคู่อาฆาตของเผ่าพันธุ์เขาเลยก็ว่าได้

ยูการ์ดคือตัวการที่ทำให้ทั้งมนุษย์หมาป่า ลูกครึ่งที่มีสายเลือดของมนุษย์หมาป่า รวมถึงหมาป่าสมิง ต้องถูกไล่ล่าสังหารไปชั่วกัปชั่วกัลป์

ดังนั้น ถ้าหากฮาลิเบลจะเกลียดชังยูการ์ดมากพอๆ กับที่ยูการ์ดเกลียดชังเผ่าพันธุ์ของเขา ก็คงเรียกได้ว่าเสมอภาคกันทั้งสองฝ่าย

กระนั้น ยูการ์ดกลับพอไม่พอใจต่อสายตาที่ฮาลิเบลใช้มองเขาในตอนนี้ เนื่องจากว่ามันทำให้เขานึกถึงแววตาที่ไอริสแสดงให้เขาเห็นเป็นครั้งคราว

. ฮาลิเบลตรวจดูบริเวณหน้าอกของตนและพบว่าไม่มี “คำสาปแห่งหนาม” ปรากฏออกมา ทั้งที่ตัวเขาคือมนุษย์หมาป่าผู้เป็นศัตรูที่น่าชิงชังของยูการ์ด

เรื่องนั้นฮาลิเบลรู้สึกหัวเสีย เขานึกย้อนดูว่าอนาสตาเซียจงใจส่งเขามาที่นี่เพื่อให้รู้สึกสับสนเช่นนี้หรือเปล่า ว่าแล้วฮาลิเบลจึงสูดควันจากล้องยาสูบก่อนตัดสินใจ

ฮาลิเบล: ไม่จำเป็นต้องให้อภัยกันก็ได้นะ คุณจักรพรรดิ ยังไงเสียพวกเราก็มีความสัมพันธ์แบบนั้นอยู่แล้วนี่เนอะ?

ยูการ์ด: ความสัมพันธ์แบบใดกัน?

ฮาลิเบล: มนุษย์หมาป่ากับ “จักรพรรดิพุ่มหนาม”

ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลให้เกลียดชังกัน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลให้ทำลายล้างอีกฝ่ายให้สิ้นซาก

ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่ายูการ์ดรู้สึกอย่างไร แต่ฝั่งฮาลิเบลได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จลุล่วง

ฮาลิเบล: จะช่วยปลดปล่อยจากคำสาปแสนชั่วร้ายอันนั้นให้เอง ท่านจะได้เป็นแค่ราชาก็พอไงล่ะ “ราชาแห่งหนาม” เอ๋ย

. จบตอน