“หน่วยกอบกู้จักรวรรดิวอลลาเคียจากการล่มสลาย” ได้กระจายกำลังไปตามจุดต่างๆ ของเมืองโดยไม่ข้องแวะการต่อสู้ของกันและกันตามแผนการของนัตสึกิ สุบารุ
กุญแจหลักของแผนการนี้อยู่ที่ว่ากลุ่มที่อยู่ป้องกันนครป้อมปราการการ์คลาจะสามารถยื้อการบุกของกองทัพผีดิบไว้ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์ของศึกครั้งนี้จะตัดสินความอยู่รอดของจักรวรรดิวอลลาเคียและอาจจะส่งผลถึงชะตากรรมของโลกทั้งใบได้เลย
ยิ่งผีดิบบุกไปทางการ์คลามากเท่าไหร่ ฝั่งหน่วยกอบกู้จักรวรรดิก็ยิ่งเคลื่อนไหวง่ายขึ้น แต่ถ้าหากการ์คลาถูกตีแตก ต่อให้ภารกิจของฝั่งนครหลวงสำเร็จ ทุกอย่างก็ไร้ความหมายอยู่ดี
ปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้คือสิ่งที่สุบารุเรียกมันว่า “เทนโนซัน”
ปัจจุบันผีดิบจำนวนหนึ่งกำลังพยายามปีนป่ายกำแพงเมืองการ์คลาด้วยการใช้อาวุธเสียบติดกำแพงเพื่อสร้างเป็นแท่นยืนชั่วคราว
“ยุลิอุส ยูคริอุส” จึงกระโจนตัวลงจากกำแพงเมืองพลางใช้ดาบอัศวินของเขาไล่ฟันเฉือนแผ่นหลังและแขนของพวกมันจนร่วง จากนั้นเขาก็ไปหยุดยืนอยู่บนหนึ่งในอาวุธที่เสียบติดกำแพง
. ยูลิอุส: อาโร! ขอยืมสายลมของเธอหน่อย!
วิญญาณสีเขียวบันดาลสายลมหมุนมาพัดเอาอาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนบนกำแพงเมืองให้หลุดออกในคราเดียว ยุลิอุสใช้จังหวะนั้นดีดตัวกลับขึ้นมาบนป้อมปราการอีกครั้ง
ต่อให้ปราการด้านนอกสุดจะถูกตีแตก เมืองการ์คลาก็ยังคงมีปราการชั้นที่สองและชั้นที่สามซึ่งมีโครงสร้างการป้องกันแน่นหนากว่านี้ กระนั้นยุลิอุสก็ไม่สามารถประมาทได้อยู่ดี
ทาริตต้า: ถูกไล่ต้อนมาถึงจุดนี้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้นะคะ
ยุลิอุส: ――คุณหญิงทาริตต้า
ชนเผ่าชูดราคถือเป็นกำลังรบสำคัญที่สามารถยิงสอยศัตรูจากระยะไกลด้วยลูกธนู โดยเฉพาะ “ทาริตต้า” ผู้ที่เป็นทั้งหัวหน้าเผ่าและมีทักษะการยิงธนูสูงเป็นพิเศษ
ระหว่างที่แวะมาสนทนาเรื่องสถานการณ์รบกับยุลิอุส ทาริตต้าก็ยังคงยิงสอยผีดิบที่พยายามปีนป่ายกำแพงเมืองไปพลางด้วย
ปัจจุบันแนวรบด่านหน้าสุดถูกกดดันให้ล่าถอยมาไกลภายในระยะเวลาสั้นๆ ดังที่ทาริตต้ากังวล ที่เส้นขอบฟ้าเองก็สามารถมองเห็นกองทัพผีดิบรุดหน้ามาเรื่อยๆ
. กระนั้นปัญหาหลักก็ไม่ได้มีแค่เรื่องจำนวน เนื่องจากว่ามีผีดิบที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษปะปนอยู่ในกองทัพด้วย ดังที่สมาชิก “หน่วยรบเพลอาเดส” ของสุบารุกำลังถูกผีดิบตัวหนึ่งซัดจนกระเด็น
โดยผีดิบตัวดังกล่าวมีลักษณะเป็นหญิงสาวท่าทางดุดันน่าเกรงขามที่ผสานแขนสองข้างของตนรวมเข้ากับดาบใหญ่สองเล่ม
ไวส์(?): เวรเอ๊ย… โดนเล่นงานจนได้…กรอด
เฮียอิน(?): ช้าก่อน ช้าก่อน ช้าก่อน ช้าก่อน! อย่าบุ่มบ่ามเข้าไปแบบไม่มีแผนเซ่! พี่น้องกำลังแบกรับภาระอยู่นะ!
อิโดร่า(?): ถอยออกมา! ทุกคนตีวงล้อมเอาไว้แล้วก็โค่นมันซะ!
ยุลิอุสประเมินว่าผีดิบหญิงสาวนั้นเป็นนักรบที่แข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา โชคดีที่ไม่มีสมาชิก “หน่วยรบเพลอาเดส” คนใดตายจากการโจมตีหรือสูญเสียจิตต่อสู้ไป
ยุลิอุสจึงกะจะฝากฝังการป้องกันบนปราการให้ทาริตต้าแล้วลงจากปราการเพื่อไปเผชิญหน้ากับผีดิบหญิงสาวด้วยตัวเอง
ฟล็อป: ――ไม่ต้องหรอก “อัศวินราชสีห์” คุงมาแล้วนั่นไง
ดังที่น้ำเสียงร่าเริงกล่าวไว้ กอซบุกเข้าไปประจันหน้ากับหญิงสาวแขนดาบใหญ่ด้วยคทาศึก ยามที่อาวุธของทั้งคู่ปะทะกัน คลื่นกระแทกก็สะท้อนไปทั่วสนามรบ
กอซ: แม้จะไม่มีโอกาสได้พบเจอ แต่ไม่ผิดคนแน่นอน! “จักรพรรดินีทาสดาบ” คืนชีพกลับมางั้นรึ!!
. การปะทะกันของสองยักษ์ใหญ่ทำให้ทัพซอมบี้ไม่สามารถรุดหน้าต่อได้ เนื่องจากลูกหลงจากการต่อสู้ได้กลืนทหารราบที่เข้ามาใกล้ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งใดก็ตาม
ยุลิอุสกล่าวขอบคุณฟล็อปที่ช่วยห้ามเขาเอาไว้ ส่วนทาริตต้าออกอาการเป็นห่วงทันทีเมื่อเห็นว่าฟล็อปโผล่ออกมาแนวหน้าทั้งที่เขาไม่ใช่นักรบ
เนื่องจากสถานการณ์ลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบไปแล้ว คนทั่วไปที่ต่อสู้ไม่ได้จึงพยายามหาหน้าที่ทำ เช่น การรักษาคนเจ็บหรือซ่อมแซมอุปกรณ์
สาเหตุที่ฟล็อปมาที่นี่เองก็เพื่อนำซองบรรจุลูกธนูสำรองมาให้แก่ทาริตต้าและเขาคงกะจะวนเวียนไปแจกจ่ายให้ชนเผ่าชูดราคคนอื่นหลังจากนี้
ด้วยสถานการณ์รบปัจจุบัน ทาริตต้ากับยุลิอุสกังวลว่าถ้าหากมี “นักขี่มกรบิน” โผล่มา แนวป้องกันของพวกตนอาจจะถูกตีแตกได้เลย
นับตั้งแต่ที่ศึกเริ่มขึ้น หลังจากที่ยุลิอุสกับชนเผ่าชูดราคกำจัดฝูงผีดิบมกรบินไป ก็ยังคงมีผีดิบมกรบินโผล่มาอีกเป็นระยะๆ แต่เผ่าชูดราคก็ยังคงรับมือได้มาตลอด
ทว่า ความแข็งแกร่งของมกรบินที่จับคู่กับนักขี่นั้นเหนือชั้นกว่ามกรบินธรรมดาหลายขุม มันคือกำลังรบอันเลื่องชื่อที่ชาวจักรวรรดิรู้จักกันดี
. ครั้งหนึ่งยุลิอุสก็เคยประดาบกับ “นักขี่มกรบิน” นามว่า “บัลรอย เทเมกริฟ” มาก่อน
ในคราวนั้น ยุลิอุสเอาชนะมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากเฟริสก็จริง แต่ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาอยู่เพียงลำพัง ยุลิอุสอาจจะเป็นฝ่ายที่จะเพลี่ยงพล้ำก็ได้
ฟล็อปเดาว่าโอกาสที่นักขี่มกรกับมกรบินคู่หูจะฟื้นคืนชีพมาเจอกันคงค่อนข้างต่ำ ฝั่งศัตรูถึงยังไม่ได้ส่งนักขี่มกรบินมาทางนี้สักคน
ใช่ว่า “นักขี่มกรบิน” จะสามารถไปจับคู่กับมกรบินตัวใดก็ได้ พวกเขาต้องใช้สานสัมพันธ์ร่วมกันตั้งแต่มกรบินเกิด ถึงจะสามารถทำงานคู่กันได้อย่างเข้าขา
กระนั้นยุลิอุสก็ได้เห็นมากับตาแล้วว่า “บัลรอย เทเมกริฟ” กับมกรบินคู่หูได้คืนชีพกลับมา เรื่องนั้นจึงสร้างความกังวลใจต่อยุลิอุสเป็นอย่างมาก
แต่แล้วฟล็อปกลับพูดได้อย่างมั่นใจว่าบัลรอยจะไม่โผล่มาที่สนามรบแห่งนี้ โดยให้เหตุผลว่าบัลรอยคงจะเข้าใจว่าทั้งฟล็อปและมีเดียมอยู่ที่เมืองการ์คลาทั้งคู่
ยุลิอุสรู้สึกกังขาเรื่องนั้น เนื่องจากว่าผีดิบที่คืนชีพมาถูกผู้ใช้วิชาบิดเบือนจิตใจให้สนับสนุนการทำลายล้างจักรวรรดิจนไม่น่ามีความปรานีต่อมิตรสหายเหลืออยู่
. ฟล็อปมองว่าพวกผีดิบยังคงมีอยู่สิ่งหนึ่งที่หลงเหลืออยู่จากสมัยมีชีวิตและมิได้ถูกบิดเบือนไป กระทั่งหลังจากที่ถูกคืนชีพกลับมา
ยุลิอุส: ถ้างั้น จะบอกว่าท่านบัลรอยมีความเห็นใจกับความปรานีหลงเหลืออยู่อย่างงั้นหรือ?
ฟล็อป: ถ้าเป็นงั้นจริงคงซึ้งกินใจน่าดูเลยเนอะ! แต่ว่า ไม่ใช่หรอก “ผู้เยี่ยมยอด” คุง เรื่องนี้ทางนายกับคุณทาริตต้าน่าจะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าตัวผมนะ
ทาริตต้า: ทางพวกเรางั้นเหรอคะ?
ฟล็อป: ――วิธีการต่อสู้ยังไงล่ะ
ถ้าหากช่วงชิงวิธีการต่อสู้จากบุคคลนั้นไป ย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะจงใจคืนชีพบุคคลดังกล่าวขึ้นมา ฟล็อปจึงประเมินว่าผีดิบแต่ละตัวจะต้องต่อสู้ด้วยวิธีการแบบสมัยยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ
พอเห็นว่ายุลิอุสกับทาริตต้าไม่มีข้อกังขา ฟล็อปจึงเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยคล้ายว่ากำลังหวนนึกถึงอดีตออกมา ก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า…
ฟล็อป: ถ้าหากว่าบัลรอยตั้งใจจะมาที่นี่ล่ะก็ เขาคงจะมาถึงก่อนใครเพื่อนและบุกทะลวงจุดยุทธศาสตร์ของเมืองนี้ไปแล้ว “[มือปืนกระสุนมนตรา] บัลรอย เทเมกริฟไม่ได้รับบทเป็นทัพหน้า” นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมคิดว่าบัลรอยไม่ได้อยู่ที่สนามรบแห่งนี้หรอก
. “บัลรอย เทเมกริฟ” คือชายผู้ไม่ชอบปล่อยให้พรรคพวกของตนต้องตายอย่างสูญเปล่า แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาต่อต้านแนวคิด “กฎเหล็ก” ของจักรวรรดิ
เพราะถึงอย่างไรบัลรอยที่เกิดมาในตระกูลสามัญชนก็ได้รับประโยชน์จากแนวคิดที่เคารพผู้แข็งแกร่งเต็มๆ
กล่าวคือบัลรอยไม่ได้อินกับธรรมเนียมของวอลลาเคียเป็นพิเศษ เพียงแค่ว่าธรรมเนียมดังกล่าวมันดันเข้ากับพรสวรรค์และทักษะที่เขามีเท่านั้นเอง
อุปนิสัยของบัลรอยนั้นได้รับอิทธิพลมาจากบุคคลสำคัญในชีวิตของเขาจำนวนสองคน
คนแรกคือ “เซรีน่า ดราครอย” ผู้มีพระคุณที่เก็บบัลรอยมาเลี้ยงดู ให้การศึกษา และให้โอกาสเขาได้พบพานกับมกรบินคู่ใจ
อีกคนคือ “ไมลซ์” พี่ชายจอมเจ้าเล่ห์ที่ใช้ประโยชน์จากบัลรอยสมัยยังเป็นเด็กไร้เดียงสาให้ช่วยกำจัดคนที่ไล่ตามจับเขาในข้อหาลักขโมย
การใช้เวลาอยู่ร่วมกับสองบุคคลที่ต่างกันสุดขั้วทำให้บัลรอยได้ซึมซับมาทั้งคุณลักษณะของการเป็นชาวจักรวรรดิและคุณลักษณะขั้วตรงข้าม
. ประสบการณ์ชีวิตหล่อหลอมบัลรอยให้กลายมาเป็นคนที่เกลียดชังการเสียสละชีวิตของพรรคพวกโดยเปล่าประโยชน์
เฉกเช่นตอนที่เขาเข้าร่วมการก่อกบฏที่จักรพรรดิวินเซนต์แอบชักใยอยู่เบื้องหลัง ในตอนนั้นบัลรอยก็เข้าร่วมกองกบฏด้วยตัวเอง มิได้ดึงพรรคพวกเข้ามาเอี่ยวด้วยสักคน
สุดท้ายการตัดสินใจครั้งนั้นก็ทำให้บัลรอยต้องจบชีวิตลง จึงเรียกได้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ทั้งถูกและผิด
ไม่ว่าอย่างไร บัลรอยก็ยังคงเป็นชาวจักรวรรดิ หัวใจของเขาจึงมิเคยเศร้าโศกไม่ว่าจะสังหารศัตรูไปมากเพียงใด
แต่ในขณะเดียวกัน บัลรอยก็ไม่อยากให้พวกพ้องของตนต้องมาตายเช่นกัน ดังนั้นแล้ว…
บัลรอย เทเมกริฟ ผู้ชอบทำทุกอย่างด้วยพลังของตัวเองแทนที่จะพึ่งพาผู้อื่น จึงได้ข้อสรุปว่าแนวทางการต่อสู้ที่เข้ากับตัวเขาที่สุดก็คือการ “ซุ่มยิงแบบฉับพลัน”
เขาจึงบินไปบนท้องนภาด้วยปีกของมกรคู่ใจ หาจุดซุ่มยิงเหมาะๆ แล้วยิงสังหารจุดสำคัญของศัตรูในพริบตาเดียว
นั่นแหละคือวิธีการต่อสู้ดีที่สุดที่จะทำให้ความปรารถนาของบัลรอยเป็นจริง
. บัลรอย: ――รู้แล้วละน่า คาริยอน
พอได้ยินเสียงเรียกจากมกรคู่ใจ บัลรอยก็ลุกขึ้นยืนจากข้างเตียงนอนที่มีร่างของมาเดลินหลับใหลอยู่ ระหว่างที่สติของเธอกำลังเข้าสิงเปลือกมกรนามว่าเมโซเรย์อา
ปกติแล้วพลังของ “มังกร” ควรจะเป็นสิ่งที่ทรงพลังเกินกว่าจะเอามาใช้ในตัวเมือง แต่คู่ต่อสู้ของมาเดลินตอนนี้ก็แกร่งจนต้องเลิกกังวลเรื่องนั้นไปได้เลย
มันน่าเหลือเชื่อเหลือเกินที่มีอสุรกายที่สามารถต่อกรกับ “มังกร” ซึ่งควรจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้อย่างสูสี แถมยังมีโอกาสจะชนะ
บัลรอยลูบไล้เส้นผมสีท้องฟ้าของมาเดลินก่อนที่จะเดินไปหยิบหอกประจำตัว แล้วมุ่งหน้าไปยังระเบียงที่มกรคู่ใจของเขาหันหลังรออยู่
พอบัลรอยลูบโคนปีกของมกรบินคู่หู เจ้าคาริยอนก็ใช้คอถูไหล่เขากลับ นี่คืออุปนิสัยที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่ที่คาริยอนฟักออกจากไข่จนกระทั่งกลายเป็นผีดิบ
. บัลรอยขึ้นไปขี่หลังคาริยอนแล้วมองสำรวจนครหลวงที่กลายเป็นสนามรบจากระเบียงของพระราชวังแก้วผลึก
เดิมทีบัลรอยควรจะเป็นหนึ่งในกำลังรบที่ถูกส่งไปจู่โจมนครป้อมปราการการ์คลา แต่เขากลับได้รับคำสั่งจาก “แม่มด” สฟิงซ์ให้อยู่รอที่นครหลวงจักรวรรดิแทน
[สฟิงซ์: ――ตัวฉันเองก็เริ่มที่จะเข้าใจความรู้สึกที่เรียกว่า “ลังเล” แล้วเหมือนกันค่ะ มีความเสี่ยงที่คุณอาจจะไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้อยู่ จึงเรียกได้ว่าไม่เหมาะสม ‘สั่งการ’ จำเป็นค่ะ]
อีกอย่าง สฟิงซ์คงต้องการให้บัลรอยจับตาดูมาเดลินเอาไว้เพื่อที่ “เมโซเรย์อา” จะยังคงเป็นหมากของฝั่งเธอต่อไป
โดยรวมแล้ว บัลรอยพอใจที่เขาได้อยู่เฝ้าระวังที่นครหลวงจักรวรรดิ ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากไปเจอหน้าพี่น้องร่วมสาบาน แต่ลางสังหรณ์ของตนมันบอกว่า…
บัลรอย: ถ้าเป็นฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ยังไงก็ต้องมาใช่ไหมล่ะ?
จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคียที่บัลรอยรู้จักย่อมมายืนอยู่ที่ศึกตัดสินด้วยตนเองอยู่แล้ว
เพราะว่านี่คือธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาในหมู่จักรพรรดิแห่งวอลลาเคีย มันคือ “กฎเหล็ก” ตามวิถีของชาวจักรวรรดิ
และวินเซนต์ผู้เกลียดชังจักรวรรดิวอลลาเคียยิ่งกว่าใครแต่ก็พยายามสวมบทบาทจักรพรรดิได้อย่างสมบูรณ์แบบมาโดยตลอดนั้น ย่อมต้องมาที่นครหลวงอยู่แล้ว
เขาจะต้องมาที่นี่เพื่อใช้ “ดาบแสงตะวัน” ฟาดฟันสฟิงซ์ผู้ที่เป็นจอมบงการเบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ”
. ตอนที่ “มหาภัยพิบัติ” พึ่งเริ่มขึ้น บัลรอยกะจะจบเรื่องทั้งหมดในคราเดียวด้วยการเปิดฉากซุ่มยิงวินเซนต์ทีเผลอ แต่แล้วจิชาก็ดันทำให้เขาเสียแผนหมด
ทว่า ครั้งต่อไป จะไม่มีใครมาเป็นโล่กำบังให้แก่วินเซนต์อีกแล้ว บัลรอยจะยิงสอยหัวใจของวินเซนต์ทันทีที่พบตัว เพื่อดับความหวังในการกอบกู้จักรวรรดิทั้งหมด
“มหาภัยพิบัติ” จะทำให้วอลลาเคียพินาศและคืบคลานต่อไปทางทิศเหนือ เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรลูกุนิก้าต่อไป
แต่ในระหว่างที่บัลรอยกำลังมองไล่หาวินเซนต์อยู่นั้น มกรคู่ใจก็ส่งเสียงร้องเตือนให้เขาเหลือบไปเห็นกระสุนเพลิงที่กระหน่ำลงมาโจมตีใส่พระราชวังแก้วผลึกจากเบื้องบน
บัลรอย: คาริยอน!
คาริยอนกระพือปีกเหินเวหาพาบัลรอยไปหยุดอยู่ตรงหน้าดงกระสุนเพลิงขนาดเท่ามนุษย์ จากนั้นเขาก็ชี้ปลายหอกเล็งไปหามัน
พริบตาต่อมากระสุนแสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็พุ่งจากปลายหอกไปเข้าปะทะกับกระสุนเพลิงจนระเบิดออกเปลี่ยนให้ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน
บัลรอยยิงกระสุนแสงต่อเนื่อง 13 นัดจนทำลายกระสุนเพลิงได้ครบ จากนั้นตัวเขากับมกรบินคู่หูก็บินฝ่าทะลุท้องฟ้าที่ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิงจากการระเบิด
. ถ้าหากศัตรูยิงกระสุนเพลิงขึ้นฟ้าแล้วปล่อยให้วิถีกระสุนร่วงตามแรงโน้มถ่วง บัลรอยคงจะระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ไปแล้ว
แต่นี่มันเป็นการกระหน่ำยิงลงมาจากเหนือหมู่เมฆจากบนท้องฟ้าที่สูงตระหง่านขึ้นไปอีกหลายกิโลเมตร แสดงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นผู้ใช้เวทมนตร์อย่างแน่นอน
ที่จริงตัวบัลรอยเองก็ถือเป็นประชากรหายากในจักรวรรดิที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญเวทมนตร์เพียงแค่อย่างเดียวก็ตาม
บัลรอยเหลือบมองไปยังทิศใต้ที่เมโซเรย์อากำลังต่อสู้อยู่เพื่อเปรียบเทียบตำแหน่งวิถีกระสุนและได้ข้อสรุปว่าศัตรูโจมตีมาจากทางทิศตะวันตก
บัลรอยจึงทำการกะพริบตาเพื่อร่ายเวทหักเหแสงมาสร้างเป็นกระจกขยายภาพสำหรับใช้ส่องดูสิ่งที่อยู่ไกลออกไป
ความเร็วในการบินของมกรคู่หูที่ช่วยรักษาระยะห่างและหามุมยิง เวทมนตร์กระสุนแสงที่ใช้สำหรับซุ่มยิงระยะไกล และกระจกส่องทางไกลที่ใช้เล็งหาเป้าหมาย
การประสานทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน คือวิธีการต่อสู้ของบัลรอย เทเมกริฟ
ตราบใดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เขาสามารถยิงสังหารศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรได้ ว่าแล้วบัลรอยจึงหลับตาลงข้างหนึ่ง แล้วใช้ตาซ้ายส่องหาเป้าหมาย
บัลรอย: ――มีดี้
ภาพที่เขาเห็นคือหญิงสาวผมทองที่เปล่งประกายดุจแสงตะวัน เธอกำลังเหินเวหาโดยมีชายสวมผ้าคลุมยาวช่วยประคองลำตัวเอาไว้
ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวจดจ้องมาทางบัลรอยทั้งที่เจ้าตัวไม่น่าจะสามารถมองเห็นได้และขยับริมฝีปากเพื่อพยายามบอกอะไรบางอย่างกับเขา
มีเดียม: ไม่ยอมปล่อยให้หนีไปไหนอีกแล้ว ยอมคุยกับชั้นซะดีๆ พี่บัล
. จบตอน