webnovel arc8 chapter53

บทที่ 8 ตอนที่ 53 "มือปืนกระสุนมนตรา"

“รอสวาล L เมเธอร์ส” นั้น คือจอมเวทผู้เก่งกาจที่สุดในราชอาณาจักรลูกุนิก้าและโลกใบนี้อย่างมิต้องกังขา

แต่ถ้าหากไปถามเจ้าตัว รอสวาลก็คงจะตอบว่า “ถ้าเป็นยุคปัจจุบันก็คงถูกแหละน้า~” ด้วยสีหน้าที่เหงาหงอยและโหยหาต่อความรักอันลึกซึ้ง

ปัจจุบันรอสวาลกำลังโบยบินไปบนท้องฟ้าพร้อมกับ “มีเดียม โอคอนเนล” เพื่อเผชิญหน้ากับ “มือปืนกระสุนมนตรา”

ดวงตาของรอสวาลตามความเร็วของนักขี่มกรบินที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตรไม่ทันด้วยซ้ำ เนื่องจากมันรวดเร็วเกินกว่าที่ขอบเขตของดวงตามนุษย์จะตามได้ทัน

มีเดียม: ――อุเคี้ย!

กระนั้นมีเดียมที่เขาประคองไว้ในอ้อมแขนกลับสามารถใช้มีดพร้าผ่ากระสุนแสงได้อย่างแม่นยำจนมานาแตกกระจายออกเหมือนละอองน้ำ พลางส่งเสียงร้องน่ารักน่าเอ็นดูที่ไม่เข้ากันออกมา

รอสวาลถึงกับรู้สึกขนลุกยามที่ได้เห็นความเร็วและความแม่นยำของกระสุนแสงกับตาตนเอง มันคือวิชาเวทสังหารที่ขัดเกลามาอย่างถี่ถ้วนจนสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้

. รอสวาลอนุมานว่ากระสุนแสงของศัตรูคงจะเป็นเวทแสงตะวันในรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่มิอาจจำแนกประเภทเป็นระบบเหมือนอย่างเวทตระกูลจิวาลด์ที่เป็นลำแสงความร้อนได้

ศัตรูคงจะดัดแปลงรูปร่างของเวทมนตร์ให้กลายเป็นกระสุน แล้วใช้มันในการยิงสอยจุดสำคัญของเป้าหมาย โดยอาศัยหลักการแบบเดียวกับที่เอมิเลียใช้สร้างลิ่มน้ำแข็ง

ประเด็นคือการดัดแปลงรูปร่างของ “แสง” มันทำได้ยากกว่าสิ่งที่มีรูปลักษณ์อย่างน้ำแข็งหรือก้อนดินหลายขุม

มิหนำซ้ำ กระสุนแสงยังมีความร้อนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเจาะทะลวง แถมยังไม่หลงเหลือเศษกระสุนหลังการยิง ทำให้พรรคพวกของเป้าหมายคาดเดาวิธีสังหารได้ยาก

รอสวาล: เป็นเวทมนตร์ที่ดีเลย

กระทั่งรอสวาลยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชมเวทมนตร์ “กระสุนมนตรา” ของศัตรู พรสวรรค์ของเขาเทียบเคียงกับจอมเวทระดับมือหนึ่งได้เลย

กระนั้นรอสวาลก็ได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับเขาคนนี้มา จนทราบแล้วว่า “มือปืนกระสุนมนตรา” บัลรอย เทเมกริฟ มิใช่ชายที่ฝักใฝ่ในเกียรติยศหรือชื่อเสียง

ที่น่าแปลกใจคือแหล่งข้อมูลหลักของรอสวาลมิใช่พี่น้องโอคอนเนลที่เล่าให้ฟังแต่ลักษณะนิสัย หรือเซรีน่าที่อ้ำอึ้งเพราะความรู้สึกผิด แต่เป็น…

รอสวาล: ――ไม่นึกเลยว่ายุลิอุสคุงจะเป็นผู้ที่เอาชนะ “เก้าแม่ทัพเทวะ” คนนี้มาได้

กลายเป็นว่า “อัศวินผู้ยอดเยี่ยม” ของอนาสตาเซีย “ยูลิอุส ยูคริอุส” คือบุคคลที่มีข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการประจันหน้ากับบัลรอยมากที่สุด

. เดิมที ไม่ว่าสนามรบสุดท้ายจะเป็นที่เมืองการ์คลาหรือนครหลวงลูปุกาน่า รอสวาลก็ตั้งใจที่จะเป็นแมทช์อัพ(คู่ต่อสู้)ของบัลรอย เทเมกริฟ อยู่แล้ว

ราชอาณาจักรลูกุนิก้าและจักรวรรดิวอลลาเคียเป็นสองประเทศมหาอำนาจที่ไม่ถูกกันมานาน กระทั่งสนธิสัญญาสงบศึกชั่วคราวยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ได้ไม่มาก

ทางลูกุนิก้าจึงมีการเตรียมมาตรการเฝ้าระวังและหาหนทางรับมือ “เก้าแม่ทัพเทวะ” และ “หน่วยมกรบิน” ที่เป็นกำลังรบหลักของวอลลาเคียมาโดยตลอด

ซึ่งองค์ประชุมได้มีมติให้กองกำลังเวทมนตร์ของลูกุนิก้าซึ่งมีรอสวาลเป็นกำลังรบสูงสุดเป็นผู้ต่อกรกับ “นักขี่มกรบิน” มือหนึ่งของวอลลาเคีย

ส่วนในบรรดา “เก้าแม่ทัพเทวะ” นั้น ทางลูกุนิก้าประเมินให้ “ผู้เฒ่าอำมหิต” และ “มือปืนกระสุนมนตรา” เป็นภัยคุกคามระดับสูงสุด

จริงอยู่ว่า “อัสนีสีฟ้า” และ “ผู้เสพวิญญาณ” คือกำลังรบที่แกร่งที่สุดของฝั่งจักรวรรดิ แต่ฝั่งลูกุนิก้าเองก็มี “นักดาบเทวา” ผู้ไร้เทียมทานไว้ต่อกรอยู่แล้ว

ในยามศึกสงคราม สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือการที่ผู้นำประเทศถูกสังหาร

ดังนั้น “ผู้เฒ่าอำมหิต” และ “มือปืนกระสุนมนตรา” ที่มีศักยภาพในการลอบสังหารระดับน่าหวั่นเกรงจึงเป็นตัวอันตรายยิ่งกว่าแม่ทัพเอกลำดับหนึ่งและสองเสียอีก

. รอสวาลเคยซิมูเลท(จำลอง)วิธีการรับมือทักษะและความสามารถของ “มือปืนกระสุนมนตรา” ตามข่าวลือที่เขาได้ยินมาก่อน

แต่แล้ว “บัลรอย เทเมกริฟ” ก็ไปเข้าร่วมการก่อกบฏแล้วจบชีวิตลงไปเสียก่อน ทำให้การเตรียมการแลดูจะสูญเปล่า

ทว่า อุบัติการณ์ครั้งนี้กลับทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสกับความสามารถที่แท้จริงของบัลรอย ซึ่งมันทำให้รอสวาลได้ข้อสรุปว่า…

รอสวาล: ――กะแล้วเชียว ตัวฉันคนเดียวเอาชนะม่ายหวาย~สินะ

นี่ไม่ใช่ว่ารอสวาลพูดล้อเล่นหรือเกิดปอดแหกขึ้นมาหรือยอมรับว่าเวทมนตร์ด้อยกว่าศิลปะการต่อสู้แต่อย่างใด มันมีอยู่สามปัจจัยหลักที่ทำให้เขาได้ข้อสรุปเช่นนั้น

ปัจจัยที่ 1 คือ ความแตกต่างด้านความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว

ความสามารถในการเหินเวหาแบบ 3 มิติของมกรบินที่มีคู่หูนักขี่นั้นเหนือชั้นกว่าเวทมนตร์โบยบินของรอสวาลหลายขุม ไม่มีทางที่เขาจะชนะบัลรอยในศึกกลางอากาศได้

ปัจจัยที่ 2 คือ เวทมนตร์จู่โจมของทั้งสองฝ่ายมีความแม่นยำและจุดประสงค์การใช้งานต่างกัน

“กระสุนมนตรา” ของบัลรอยมีความรุนแรงและความแม่นยำสูงเนื่องจากมันได้รับการขัดเกลามาเพื่อใช้สังหารศัตรูโดยเฉพาะ

ส่วนทางรอสวาลก็ได้เปรียบด้านความรอบด้านของเวทมนตร์ เนื่องจากว่าเขาเรียนรู้เวทมนตร์มาทุกแขนงเพื่อที่ตนจะได้เหมาะสมต่อการเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์

กระนั้น ถ้าหากวัดกันเรื่องเวทมนตร์เพื่อสังหารระยะไกล รอสวาลก็มั่นใจว่าตัวเขามิอาจเทียบเคียงกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่างบัลรอยได้เลย

ปัจจัยที่ 3 คือ เงื่อนไขในการต่อสู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดในแมทช์เมค(การเลือกคู่ต่อสู้)ครั้งนี้

เดิมทีรอสวาลเองก็ชื่นชอบกลยุทธ์การต่อสู้แบบยิงเวทมนตร์สอยศัตรูจากนอกระยะโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวเช่นกัน ปัญหาคือบัลรอยดันเป็นศัตรูที่มีระยะจู่โจมไกลยิ่งกว่ารอสวาล

ปกติวิธีแก้ทางในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือการเข้าประชิดเพื่อทำให้ข้อได้เปรียบกลายเป็นโมฆะ แต่แล้วเงื่อนไขการต่อสู้ดันสร้างข้อจำกัดให้รอสวาลไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

สุบารุมอบหมายให้รอสวาลเป็นคนคอยดึงความสนใจของบัลรอยเอาไว้ เพื่อเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้บัลรอยมีเวลาว่างไปยิงสอยพรรคพวกคนอื่น

รอสวาลยอมรับบทบาทนี้เนื่องจากว่าเขามีระยะโจมตีไกลที่สุดในกลุ่มและยังบินบนฟ้าได้ แต่มันบีบให้เขาต้องเรียกความสนใจของบัลรอยแต่เนิ่นๆ และไม่สามารถแอบเข้าประชิดแบบเงียบๆ ได้

. ปัจจุบันรอสวาลบรรลุเงื่อนไขในการดึงความสนใจของบัลรอยแล้ว ปัญหาคือต่อจากนี้เขาจะต้องต่อสู้กับศัตรูสุดแกร่งในระยะห่างที่อีกฝ่ายได้เปรียบ

แถมยังต้องคอยระวังการจู่โจมจากระยะไกลที่แสนแม่นยำระหว่างที่หาทางเข้าประชิดศัตรูไปพลาง มันคือภารกิจแบบฆ่าตัวตายชัดๆ

ทว่า ดวงตาของรอสวาลกลับไร้วี่แววของความสิ้นหวัง

มีเดียม: ฮึ่ยย่าห์!

ภายในชั่วพริบตา มีเดียมสามารถฟันผ่ากระสุนมนตรานัดที่สองได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง รอสวาลฉีกยิ้มออกมาทันทียามที่ได้เห็นผลลัพธ์ดังกล่าว

รอสวาล: มีเดียมคุง พร้อมลุยไหม?

มีเดียม: อื้อ! ทำได้แน่! อย่างที่รอสจินบอกไว้เลย… ดูเหมือนว่าพี่บัลน่ะ จะเล็งยิงมาแต่ที่แขนกับไหล่ของชั้น!

. บัลรอย: ชิ! …มีดี้!

ฝั่งบัลรอยได้แต่เดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นผ่านเวทส่องทางไกลว่ามีเดียมสามารถฟันกระสุนแสงของตนได้ แถมชายอีกคนยังกำลังพาเธอบินย่นระยะห่างเข้ามาเรื่อยๆ

อีกฝ่ายตั้งใจเปิดเผยตำแหน่งก่อนทั้งที่เสียเปรียบ เพื่อที่บัลรอยจะได้รู้ว่าฝั่งนั้นมี “มีเดียม” อยู่ด้วยจนเขาเกิดความลังเลในการเลือกเป้ายิง

ในสมัยก่อน เวลาที่มีเดียมมุ่งมั่นจะทำอะไรขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นฟล็อป ไมลซ์ หรือกระทั่งบัลรอยก็ไม่สามารถหักห้ามการอาละวาดของเธอได้เลย

นอกจากทักษะของมีเดียมแล้ว ความใจอ่อนของบัลรอยก็มีผลชัดเจน เขาตั้งใจจะยิงสอยแขนของมีเดียมทิ้งสักข้าง เพื่อที่จอมเวทจะได้ทิ้งเธอที่เป็นตัวถ่วงเอาไว้ก่อน

จากนั้นเขากะจะยิงสอยจอมเวทให้ร่วงแล้วไปร้องขอให้สฟิงซ์ไว้ชีวิตมีเดียม บัลรอยปลอบใจตัวเองว่าหลังจากที่ทำเช่นนั้นแล้ว ความเศร้าโศกก็จะหายไปเอง

. เคล็ดลับของวิธีการ “ฝึกมกรบินให้เชื่อง” คือการเชื่อมต่อโอโดระหว่างมกรบินกับคู่หูเข้าด้วยกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของกันและกัน

เพราะงั้น เมื่อได้ยินคาริยอนส่งเสียงร้องเตือนสติ บัลรอยจึงทำการข่มความลังเลเอาไว้และปลุกจิตต่อสู้กลับคืนมา

บัลรอยเพ่งสมาธิไปที่ตาซ้ายซึ่งกำลังมองผ่านเลนส์ส่องทางไกล พลางตั้งหอกให้มั่นคงระหว่างแผ่นหลังของคาริยอนและหัวเข่าของตน

จากนั้นก็ทำการสร้างกระสุนแสงหัวแหลมที่ปลายหอกโดยอาศัยมานาเพียงน้อยนิด

ในขณะเดียวกัน คาริยอนก็จดจ่อไปที่การบิน โดยมันคอยกวาดสายตาระวังภยันตรายจากรอบข้างให้แทนคู่หูที่กำลังซุ่มยิงอยู่

ถ้าหากศัตรูตั้งใจจะย่นระยะห่าง ฝั่งบัลรอยก็จะแก้ทางด้วยการให้คาริยอนบินทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ระหว่างที่บัลรอยคอยยิงสอยเป้าหมาย

บัลรอย: ――เข้าเป้า

กระสุนแสงนัดที่ 3 ถูกยิงออกไปและเข้าถึงเป้าหมายภายในชั่วพริบตา แต่มีเดียมก็ยังคงใช้มีดพร้าฟันผ่ากระสุนได้

สาเหตุคงเป็นเพราะเธอรับรู้ผ่านสัญชาตญาณว่าบัลรอยเล็งยิงที่แขน หรือไม่ก็จอมเวทที่อุ้มเธออยู่เป็นคนแนะนำ

. บัลรอย: ――เข้าเป้า เข้าเป้า เข้าเป้า เข้าเป้า เข้าเป้า

เนื่องจาก “กระสุนมนตรา” ไม่มีแรงสะท้อนจากการยิง ข้อจำกัดเดียวของการยิงต่อเนื่องจึงอยู่ที่ความเร็วในการสร้างกระสุนของบัลรอย

คราวนี้บัลรอยทำการรัวกระสุนแสง 5 นัดต่อเนื่องภายใน 1 วินาที กระสุนทุกนัดบินเข้าหาเป้าหมายอย่างแม่นยำไม่มีพลาด แต่มีเดียมก็ยังคงใช้มีดพร้าคู่ปัดป้องไว้ได้

บัลรอย: เข้าเป้า เข้าเป้า เข้าเป้า เข้าเป้า เข้าเป้า

ทว่า บัลรอยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พักและกระหน่ำยิงซ้ำเข้าไปเรื่อยๆ ด้วยความมั่นใจที่ว่าสุดท้ายมีเดียมก็จะเป็นฝ่ายที่หมดแรงไปก่อนเอง

ระหว่างที่ยังกระหน่ำยิงไม่หยุด บัลรอยก็สงหรณ์ใจแปลกๆ เนื่องจากจอมเวทที่มากับมีเดียมควรจะรู้ดีว่าไม่มีทางเอาชนะศึกยื้อเวลาเช่นนี้ได้

ตอนนั้นเองที่คาริยอนส่งเสียงร้องเตือนคู่หู เนื่องจากมีบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเหนือศีรษะพวกบัลรอย

――มันคือก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ใหญ่พอๆ กับภูเขาขนาดย่อม

. [ยุลิอุส: การต่อสู้กับท่านบัลรอยโดยไม่มีที่กำบังมันไม่ต่างจากการเอาชีวิตไปทิ้งเลยครับ เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นถึง “นักขี่มกรบิน” ผู้เก่งกาจที่สุดของจักรวรรดิ… เป็นผู้มากฝีมือที่สามารถซุ่มยิงได้จากทุกทิศทางล่ะนะครับ]

ในเมื่อยุลิอุสแนะนำมาเช่นนั้น การดวลกับบัลรอยกลางน่านฟ้าอันไร้ซึ่งที่กำบังดูจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

ทว่า ต่อให้รอสวาลจะบ้าแค่ไหน เขาก็มิใช่คนที่โง่เขลาที่คิดจะสู้ในศึกที่ฝั่งตนไม่มีทางชนะ

ปัจจุบันมีเดียมปัดป้อง “กระสุนมนตรา” ไปเกือบ 50 นัดจนเธอเหนื่อยหอบ ถึงแม้ว่าศัตรูจะไม่ได้เล็งจุดตาย แต่รอสวาลก็ยังทึ่งในความสามารถของมีเดียม

กระนั้นสภาพปัจจุบันของมีเดียมคงจะปัดป้องกระสุนแบบต่อเนื่องได้อีกไม่เกิน 10 วินาที รอสวาลจึงเริ่มเดินหมากแผนการขั้นต่อไป

ภูเขาน้ำแข็งที่ร่วงลงมาจากฟ้านั้นมีขนาดใหญ่จนถ้าหากรอสวาลสร้างเอง มานาของเขาคงจะหมดตัวไปแล้ว

ดังนั้น รอสวาลจึงไหว้วานให้เอมิเลียที่มีปริมาณมานามหาศาลช่วยสร้างก้อนน้ำแข็งยักษ์ให้ จากนั้นเขาก็คอยควบคุมให้มันลอยอยู่เหนือตัวเมืองเพื่อรอปล่อยในจังหวะสำคัญ

. รอสวาล: ในเมื่อไม่มีที่กำบังแล้วล่ะก็ แค่สร้างมันขึ้นมาก็พอ

เมื่อรอสวาลเอ่ยจบ ภูเขาน้ำแข็งก็แตกร้าวกลายเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถล่มใส่นครหลวง แถมบางชิ้นส่วนยังมีขนาดใหญ่พอๆ กับอาคารหรือรถมกร

สภาพตัวเมืองพังยับเยินคล้ายกับว่าเกิดเหตุหิมะถล่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน สิ่งกีดขวางต่างๆ ทำให้บัลรอยเข้าถึงตำแหน่งของจอมเวทและมีเดียมได้ยากขึ้น

เนื้อแท้ของกลยุทธ์การต่อสู้ของจอมเวทคือการโจมตีศัตรูอยู่ฝ่ายเดียวจากระยะห่างที่ตนได้เปรียบ

เพื่อการนั้นแล้ว จึงต้องตัด “ทางเลือก” ของศัตรูให้น้อยลง และลากศัตรูให้มาต่อสู้อยู่ในสถานการณ์ที่ฝั่งตนได้เปรียบแทน

มีเดียม: ฮึ่ยย่าห์!

“กระสุนมนตรา” ที่ผ่านทะลุช่องว่างระหว่างก้อนน้ำแข็งเข้ามาถูกมีเดียมใช้มีดพร้าฟันทิ้งได้อีกครั้ง

เห็นผลชัดเจนว่าฝั่งบัลรอยสูญเสียข้อได้เปรียบด้านความคล่องตัวในการเคลื่อนที่และด้านการยิงรัวต่อเนื่องไปอย่างมาก เนื่องจากว่า…

รอสวาล: หากว่านายเป็นคนอย่างที่ฉันได้ยินมาล่ะก็ คงจะไม่สามารถเล็ง “กระสุนมนตรา” มาใส่ฉันโดยตรงได้อีกแล้ว ――เพราะถ้าหากว่าร่วงจากความสูงระดับนี้ล่ะก็ ไม่มีทางที่มีเดียมคุงจะรอดแน่นอน

. ในที่สุดบัลรอยก็รู้ซึ้งถึงระดับความอันตรายของศัตรูจอมเจ้าเล่ห์ จอมเวทคนนี้ยอมใช้กระทั่งชีวิตของมีเดียมเป็นโล่กำบังเพื่อตัดตัวเลือกกลยุทธ์โจมตีของบัลรอย

สาเหตุที่ผู้ใช้เวทมนตร์ในวอลลาเคียมีน้อยส่วนหนึ่งเป็นเพราะธรรมชาติของผืนดินและเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ แต่ที่สำคัญคือเวทมนตร์มันไม่เข้ากับวิถีเทิดทูนนักรบของชาวจักรวรรดิ

นักรบในอุดมคติของชาววอลลาเคียคือผู้ที่จับอาวุธเข้าไปโค่นศัตรูแบบตรงๆ ไม่มีลูกเล่นตุกติกอ้อมค้อม ทำให้วิธีการต่อสู้ของบัลรอยและโอลบาร์ตได้รับกระแสต่อต้านอยู่พอสมควร

แต่ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ไม่เคยสนใจเรื่องชื่อเสียงอยู่แล้ว เพราะงั้นบัลรอยจึงไม่เคยรู้สึกเกลียดชังจอมเวทเลย ――จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ในปัจจุบันขึ้น

บัลรอย: ไม่ชอบใจวิธีการแบบนั้นเอาซะเลย ไอ้คุณจอมเวท! ――คาริยอน!

ถึงแม้ว่าเขาจะชื่นชมทักษะและกลยุทธ์ของอีกฝ่าย แต่การหันคมเขี้ยวใส่พรรคพวกของตัวเองก็เป็นสิ่งที่บัลรอยมิอาจให้อภัยได้

ว่าแล้วบัลรอยกับคาริยอนจึงบินฝ่าพายุเศษน้ำแข็งที่ยังคงร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุด เพื่อตามหาตำแหน่งของศัตรูจากภายในวงกตน้ำแข็ง

มีบางครั้งที่เป้าหมายของบัลรอยหนีไปซ่อนตัวในป่าทึบหรือหมกตัวอยู่ในป้อมปราการ

ซึ่งเขาก็แก้ทางด้วยการใช้ “กระสุนมนตรา” ยิงถางป่าให้ราบ หรือบินหาตำแหน่งให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยยิงทลายกำแพงก่อนจะยิงสังหารศัตรูที่ไร้ที่กำบัง

. นอกจากมีเดียมกับจอมเวทแล้วก็ไม่มีใครอยู่บนน่านฟ้าของนครหลวงอีก แปลว่าเซรีน่าไม่ได้ส่งหน่วยมกรบินของเธอมาช่วยเสริมทัพ

“นักขี่มกรบิน” ที่มีทักษะดีกับมกรบินคู่หูสามารถกำราบฝูงมกรบินที่ไร้คู่หูเป็นร้อยตัวได้ตามลำพัง

ส่วนกรณีที่ “นักขี่มกรบิน” จากสองฝั่งปะทะกัน ฝั่งที่มีนักขี่มกรบินที่เก่งกว่าย่อมเป็นฝ่ายที่ชนะอยู่เสมอ ต่อให้จำนวนนักขี่ที่มีจะน้อยกว่าก็ตาม

เพราะงั้น เซรีน่าจึงตัดสินใจได้ถูกแล้วที่ไม่ส่งหน่วยมกรบินมาตายเปล่า เนื่องจากไม่มีนักขี่มกรบินคนใดที่เก่งกาจไปกว่าบัลรอยอีกแล้ว

นักขี่มกรบินที่เก่งกาจคือทรัพยากรบุคคลอันล้ำค่า บัลรอยจึงไม่เคยเกลียดชังเซรีน่าที่อนุญาตให้ไมลซ์ไปปฏิบัติภารกิจลับที่ลูกุนิก้า เพราะเขารู้ดีว่าความสามารถของไมลซ์คือสิ่งจำเป็น

บัลรอย: แต่ถึงอย่างนั้น ชั้นก็…

ภูเขาน้ำแข็งที่ถล่มลงมาเปลี่ยนทัศนียภาพของตัวเมืองไปอย่างสิ้นเชิง กระนั้นบัลรอยก็ยังสามารถมองฝ่าละอองน้ำแข็งไปเห็นร่างเงาของมีเดียมที่อยู่ไกลออกไปได้

บัลรอย: เข้าเป้า เข้าเป้า เข้าเป้า

ระยะห่างที่สั้นลงทำให้ “กระสุนมนตรา” ยิ่งเข้าเป้าได้เร็วขึ้น มีเดียมที่ผลาญเรี่ยวแรงไปเยอะคงจะปัดป้องได้อีกไม่นาน

ความได้เปรียบยังคงอยู่ที่ฝั่งบัลรอย แปลว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินหมากขั้นต่อไป

บัลรอย: …? กลุ่มก้อนเปลวเพลิงก่อนหน้านี้… ไม่สิ

บัลรอยสัมผัสได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเหนือน่านฟ้า เขาจึงยิงกระสุนแสงเจาะรูก้อนน้ำแข็งที่บดบังทัศนวิสัย

. เมื่อมองผ่านรูที่เขาเจาะ บัลรอยก็เห็นกระสุนเพลิงจำนวนหนึ่งและก้อนน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่พอสมควร แต่ไม่ได้ใหญ่เท่าภูเขาน้ำแข็งก้อนแรก

ทว่า เวทมนตร์ทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้เล็งมาทางบัลรอย แต่เป็นพระราชวังแก้วผลึก

บัลรอย: กล้าดียังไงถึงเล่นตุกติกแบบนี้ ไอ้คนนอกคอก!!

ถ้าหากบัลรอยไม่รีบทำอะไร ก้อนน้ำแข็งจะบดขยี้ร่างกายของมาเดลินไปพร้อมกับพระราชวังแก้วผลึก ไม่ว่าอย่างไร เขาก็มิอาจปล่อยให้สฟิงซ์ตายได้เด็ดขาด

คาริยอนสยายปีกเพื่อหักเลี้ยวแบบกะทันหัน ส่วนบัลรอยก็เอียงหลังเพื่อเล็งปลายหอกไปยังท้องฟ้าเหนือพระราชวังแล้วกระหน่ำยิงกระสุนแสงออกไป

เนื่องจากการยิงต่อเนื่อง 5 นัดภายใน 1 วินาทีมันเร็วไม่พอ บัลรอยจึงก้าวข้ามขีดจำกัดสมัยยังมีชีวิตอยู่โดยการทำรัว “กระสุนมนตรา” จำนวนมหาศาลเต็มท้องนภา

จอมเวทผู้เจ้าเล่ห์ใช้จังหวะที่เขาวุ่นอยู่กับการยิงสะกัดเวทมนตร์เพลิงและน้ำแข็งแอบยิงเวทมนตร์เพลิงใส่บัลรอยจากด้านหลัง ทว่า บัลรอยก็ยังอุตส่าห์รู้ทัน

บัลรอย: ――เข้าเป้า

ในขณะที่กระหน่ำยิงวัตถุที่ลอยอยู่เหนือพระราชวังทางปลายหอก บัลรอยก็ได้ทำการยิงกระสุนออกจากส่วนท้ายหอกอีกหนึ่งนัดเพื่อสอยเวทมนตร์เพลิงด้านหลัง

กระสุนแสงที่ยิงจากท้ายหอกเจาะทะลุเปลวเพลิงจนระเบิดออกและบินไปหามีเดียมต่อ แต่ฝั่งมีเดียมก็ยังอุตส่าห์ชักมีดพร้ามาฟันได้ทัน…

บัลรอย: มีดี้ ชั้นน่ะคือชายที่เคยเป็น “เก้าแม่ทัพเทวะ” เชียวนะ

ทว่า บัลรอยจงใจสร้าง “กระสุนมนตรา” นัดนั้นให้มีขนาดใหญ่กว่าปกติและมีความรุนแรงมากเป็นพิเศษ

มีเดียมรีบใช้มีดพร้าทั้งสองเล่มตั้งรับกระสุน เธอจึงรอดจากการถูกเป่าแขนขาดกระจุยถึงหัวไหล่มาได้ แต่ว่ามีดพร้าทั้งสองเล่มเองก็ถูกกระสุนแสงนัดนั้นเป่าจนหลุดมืออยู่ดี

บัลรอย: เข้าเป้า

ในจังหวะนั้นบัลรอยก็ยิงขจัดเปลวเพลิงและก้อนน้ำแข็งที่กำลังร่วงใส่พระราชวังแก้วผลึกจนหมดพอดี

คาริยอนจึงโผบินขึ้นสู่เบื้องบนเพื่อหามุมยิงให้คู่หูเตรียมยิงกระสุนนัดสุดท้ายที่จะบีบบังคับให้มีเดียมต้องยอมถอนตัวจากศึกนี้

บัลรอย: เหอ…

ตอนนั้นเองที่น่านฟ้าเบื้องหน้าบัลรอยมีประกายแสงสีรุ้งปรากฏขึ้นมาขวางทาง

. แอดไวส์(คำแนะนำ)ของยุลิอุสซึ่งเคยเอาชนะบัลรอยมาได้ครั้งหนึ่งนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก มันคือข้อมูลล้ำค่าที่กระทั่งสุบารุยังหามาให้รอสวาลไม่ได้

[ยุลิอุส: กระผมน่ะเคยต่อสู้กับท่านบัลรอยและเอาชนะเขามาได้ครับ แน่นอนว่าถ้าขาดการช่วยเหลือจากเฟริสไปคงไม่อาจได้รับชัยชนะมา …ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมคนอย่างท่านบัลรอยถึงไปเข้าร่วมการกบฏที่หมายปองต่อชีวิตของฝ่าบาทวินเซนต์นั้น เกรงว่าจะต้องสงวนไว้กระทั่งภายภาคหน้า]

[รอสวาล: ไปอ่าน “หนังสือแห่งผู้วายชนม์” มาสิน้า~ เป็นความบังเอิญที่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกเสียจริง ยุลิอุสคุง หากเป็นไปได้ล่ะก็ นายช่วยเล่าสิ่งที่เห็นมาให้ละเอียด…]

[ยุลิอุส: ――ท่านมาร์เกรฟเมเธอร์ส สิ่งที่กระผมจะยอมเล่ามีแค่รูปแบบการสู้รบของท่านบัลรอยกับวิธีการต่อสู้ที่ตัวกระผมเองใช้สู้เพียงเท่านั้น กระผมขอบอกไว้เลยว่าจะไม่มีวันเปิดเผยความรู้สึกในใจท่านบัลรอยที่ดันไปเห็นโดยไม่ได้อนุญาตอย่างเด็ดขาด จนกว่าชีวิตจะหาไม่]

รอสวาลเลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของยุลิอุสผู้ที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของบัลรอยมาจาก “หนังสือแห่งผู้วายชนม์”

ถ้าหากเป็นตัวเขาคนเก่า รอสวาลคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ เขาจึงแอบแปลกใจที่ตนเองเลือกที่จะไม่ก้าวก่ายความตั้งใจของยุลิอุสเช่นกัน

แต่ถึงอย่างไร ข้อมูลที่ยุลิอุสยอมเปิดเผยก็มีคุณค่ามากเพียงพออยู่แล้ว

รอสวาล: ถ้าหากว่าคนที่สังหารนายคือยุลิอุสคุงแล้วล่ะก็ ――ไม่แน่ว่าบางที นายอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองตายได้ยังไงก้อด้าย~ บัลรอย เทเมกริฟคุง

“ชื่อ” ของยุลิอุสนั้นถูกอำนาจแห่งบาป “ตะกละ” กลืนกินเข้าไป ทำให้ทุกคนนอกจากสุบารุลืมเลือนตัวตนของเขา ซึ่งน่าจะครอบคลุมไปถึงผู้ที่ตายไปแล้วด้วยเช่นกัน

แสดงว่าบัลรอยที่ถูกยุลิอุสสังหารเองกับมืออาจจะถูกบิดเบือนความทรงจำให้ลืมสาเหตุการตายของตัวเองไปด้วย

เพราะงั้น รอสวาลจึงวางแผนที่จะสังหารบัลรอยด้วยวิธีการเดียวกันกับที่ยุลิอุสใช้ฆ่าเขาในครั้งแรก ซึ่งก็คือการกางกำแพงสีรุ้งดักทางบัลรอยกับคาริยอนตอนที่พยายามบินขึ้นแนวดิ่ง

. เวทมนตร์กำแพงสายรุ้งเป็นเวทเฉพาะตัวที่ยุลิอุสคิดค้นขึ้นมาโดยอาศัยความช่วยเหลือจากวิญญาณหกตน กระทั่งระดับรอสวาลจึงสร้างของเลียนแบบได้อย่างยากลำบาก

จริงอยู่ว่ารอสวาลสามารถใช้เวทมนตร์ได้หลายประเภทพร้อมกัน แต่ว่าการใช้เวทมนตร์พร้อมกันถึง 6 ธาตุในทีเดียวนั้นเป็นอะไรที่บ้าดีเดือดเป็นอย่างมาก

แต่เพื่อที่จะคว้าชัยชนะ รอสวาลจึงยอมทนฟังเสียงเกทในร่างกายของเขากรีดร้องเพื่อสร้างเวทมนตร์สีรุ้งเลียนแบบไพ่ตายของยุลิอุส

รอสวาลยอมทุ่มเทขนาดนี้เพื่อที่จะสร้างเวทมนตร์ที่บัลรอยพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจรับมือของเขาล่าช้าลง

มีเดียมในอ้อมแขนรอสวาลยังคงกำหมัดแน่น เธอเตรียมใจที่จะสละแขนทั้งสองข้างเพื่อกันกระสุนแสงให้รอสวาลอีก 1-2 นัด

แต่รอสวาลมองว่ามีเดียมช่วยเขามามากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เธอเสียสละอะไรเพิ่มอีก เพราะงั้นรอสวาลจะเป็นคนเผด็จศึกบัลรอยที่ชนเข้ากับกำแพงสีรุ้ง…

ทว่า ในพริบตาต่อมา กระสุนแสงก็เจาะทะลุร่างของรอสวาลเป็นมุมเฉียงจากทางด้านหลังจนเขาแทบหมดสติ

. อ่านต่อพาร์ท 2