webnovel arc8 chapter55

บทที่ 8 ตอนที่ 55 "มาเดลิน เอสชาร์ต"

สาเหตุที่ปัจจุบันมีเผ่า “มังกร” เหลืออยู่บนโลกไม่มากนั้น เป็นเพราะว่า “เนื้อมังกร” คืออาหารโปรดของ “ผู้ตวัดไม้” เรด แอสเทรอา

หลังจากที่เรดสังหารมังกร สหายของมังกรที่ตามมาท้าทายก็มิวายถูกเรดฆ่าตายอยู่ดี เหตุการณ์วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเผ่ามังกรเกือบสูญพันธุ์

เผ่ามังกรนั้นไม่จำเป็นต้องผสมพันธุ์เพื่อขยายเผ่าพันธุ์ เนื่องจากว่าร่างกายของพวกมันประกอบขึ้นจากมานา คล้ายคลึงกับเผ่าวิญญาณ

แต่ในขณะที่วิญญาณค่อยๆ เติบโตจากเสี้ยววิญญาณ กึ่งวิญญาณ จนไปถึงมหาวิญญาณ เผ่ามังกรนั้นแข็งแกร่งเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวงทันทีที่ถือกำเนิด

เนื่องจากมังกรสามารถสืบพันธุ์โดยไม่ต้องอาศัยเพศได้ พวกมันจึงไม่ค่อยใส่ใจชีวิตของเพื่อนร่วมเผ่านัก กระนั้นมังกรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่หยิ่งผยองโดยธรรมชาติอยู่ดี

เพราะงั้น สาเหตุที่มังกรขยันไปหาเรื่องเรดมันมิใช่เพื่อล้างแค้นให้แก่เพื่อนที่ตายไป พวกมันเพียงแค่ทนดูเผ่าพันธุ์ที่แสนภาคภูมิของตนเสื่อมเกียรติไม่ได้เท่านั้นเอง

กว่าเผ่ามังกรจะรู้ตัวว่าพวกมันใกล้พินาศเต็มที ก็เป็นตอนที่หัวหน้าเผ่ามังกรสุดแกร่งถูกเรดเขมือบลงท้อง ในขณะที่ศึกปะทะกับ “แม่มดแห่งความเกียจคร้าน” ก็เริ่มไปได้ไม่สวย

เผ่า “มังกร” ถูกบีบให้ตัดสินใจว่าจะรักษาเกียรติภูมิของเผ่าพันธุ์ไว้หรือจะปล่อยให้ความเย่อหยิ่งชี้นำจนวอดวาย

กลุ่มที่เลือกรักษาเกียรติภูมิเลิกข้องแวะกับเรดและแม่มดแห่งความเกียจครานที่เป็นตัวอันตราย พวกมันบินจากไปและทอดทิ้งโลกใบนี้ไว้เบื้องหลัง

ส่วนกลุ่มที่ยึดติดในความเย่อหยิ่งเลือกอยู่บนโลกนี้ต่อเพื่อวิวาทกับศัตรูที่ดูหมิ่นเกียรติศักดิ์ศรีของพวกมัน

. ในมุมมองของเผ่า “มังกร” ส่วนใหญ่นั้น ผู้ที่มีชีวิตอยู่รอดได้นานกว่าคือเผ่าพันธุ์ที่เหนือชั้น ดังนั้น พวกมันจึงไม่จำเป็นต้องวิวาทกับเผ่าพันธุ์อื่นเพื่อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่

“มังกร” ส่วนใหญ่จึงจากโลกไป ส่วน “มังกร” ที่ยังอยู่บนโลกต่อก็กลายเป็นพวกนอกคอกไปโดยปริยาย ยกตัวอย่างเช่น “มังกรเทพ” วอลคานิก้าที่ย้ายข้างไปผูกมิตรกับมนุษย์

มังกรที่ยังอยู่บนโลกบางส่วนไปท้าทายเรดกับเซคห์เมตจนตัวตาย บางส่วนปลีกวิเวกไปกบดานอยู่เงียบๆ และบางส่วนกลายร่างเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นที่มาของเผ่า “มนุษย์มกร”

เดิมทีสาเหตุที่เผ่ามังกรเลือกใช้รูปลักษณ์ใหญ่โตที่เต็มไปด้วยเกล็ดหนา มีกรงเล็บและเขี้ยวแหลมคม ก็เพื่อสำแดงเดชในฐานะเผ่าพันธุ์แสนยิ่งใหญ่

กระนั้นพวกมันก็ไม่ได้ยึดติดในรูปลักษณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แถมด้วยโครงสร้างพื้นฐานของร่างกายที่เป็นมานา เผ่ามังกรจึงสามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปตามกาลเวลาได้

เราจึงสามารถกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของ “เรด แอสเทรอา” ได้บีบบังคับให้เผ่ามังกรที่เหลืออยู่บางส่วนเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเป็นมนุษย์

สรุปแล้ว “เผ่ามนุษย์มกร” ก็คือเผ่า “มังกร” ในยุคสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นจากการวิวัฒนาการผ่านกระบวนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

. ทว่า การวิวัฒนาการที่ข้ามขั้นเกินไปได้ก่อผลเสียทำให้ดวงวิญญาณของ “มังกร” ที่เป็นผู้ปกครองของ “มนุษย์มกร” รุ่นถัดมาได้รับความเสียหายอย่างหนักจนตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “เปลือกมกร”

“มังกร” ที่กลายเป็นเปลือกมกรนั้น ไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น พวกมันทำได้เพียงตอบสนองตามสัญชาตญาณและกลายเป็นหุ่นเชิดของมนุษย์มกรที่เป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรง

ในมุมมองของคนนอก อาจมองได้ว่าการวิวัฒนาการของเผ่ามังกรคือความล้มเหลวครั้งใหญ่ กระนั้นมนุษย์มกรก็ยังอาศัยอยู่บนโลกที่พวกตนถูกเกลียดชังต่อไป

มังกรที่เหลืออยู่บนโลกว่าน้อยแล้ว มังกรที่สามารถวิวัฒนาการจนสร้างมนุษย์มกรได้สำเร็จยิ่งมีน้อยกว่าเสียอีก

และ “มาเดลิน เอสชาร์ต” นั้นก็คือเผ่ามนุษย์มกรที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา

. ตัดกลับมาปัจจุบัน จิตของมาเดลินที่สิงอยู่ภายในเปลือกมกรของ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา กำลังฉงนและโมโหสุดขีดหลังถูกอมนุษย์ตัวจ้อยอย่างการ์ฟีลจับหางทุ่ม

มาเดลิน: ――ไอ้มนุษย์!

ความสามารถในการย้ายจิตใจไปยังเปลือกมกรของเมโซเรย์อาเป็นสิ่งที่มาเดลินทำได้ เนื่องจากเธอเป็นมนุษย์มกรที่ยังอายุน้อย สายสัมพันธ์ที่มีต่อมังกรผู้ปกครองจึงยังแน่นแฟ้นอยู่

มาเดลินเกลียดร่างมนุษย์มกรของเธอที่ทั้งตัวเล็ก อ่อนแอ และบอบบาง เธอมองว่าร่างกายนี้คือสาเหตุที่บัลรอยไม่ยอมให้เธอเข้าร่วมในศึกที่เขาเสียชีวิต

มันคงจะดีเสียกว่าหากว่ามาเดลินเกิดมาเป็น “มังกร” ที่มีรูปลักษณ์ใหญ่โต ดุดัน น่าเกรงขาม

การ์ฟีล: ――“โล่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์” การ์ฟีล ทินเซล

การ์ฟีลกระทืบพื้นถนนที่แตกร้าวพลางประกาศชื่อของตนออกมาตามธรรมเนียมของนักรบ แต่มาเดลินผู้ไม่รู้จักธรรมเนียมดังกล่าวเพียงแค่พลิกตัวกลับด้านโดยไม่ขานชื่อกลับ

. คู่ต่อสู้ของเธอคือเด็กหนุ่มที่สามารถรอดจากลมหายใจของมังกรมาได้ แถมยังถีบเศษหินที่ทับตัวอยู่ออกมาภายใน 5 วินาที แต่เธอจะแพ้ไม่ได้

เปลือกมกรของ “มังกรเมฆา” อันนี้เปรียบได้เสมือน “ชุดเจ้าสาว” ที่มาเดลินตั้งใจจะสวมเป็นของขวัญเพื่อมอบให้แก่บัลรอย เพราะงั้น มาเดลินมิอาจจะพ่ายแพ้ได้เด็ดขาด

[มาเดลิน: เจ้าน่ะ มิใช่คนพิเศษอะไรหรอก!]

“มังกรเมฆา” ปลดปล่อยคลื่นคำรามออกมาอีกครั้ง แต่เจ้าสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยกลับฟาดสนับแขนสองข้างเข้าหากันอย่างไม่เกรงกลัว

[มาเดลิน: หายไปซ้าาาาาา!!]

ที่ผ่านมาการ์ฟีลต่อสู้กับมาเดลินโดยการดึงเชิงให้เธอหันหน้าไปทางนอกเมืองมาโดยตลอด เพราะเขาระแวงความเสียหายจากลมหายใจ

แต่สุดท้ายความพยายามทั้งหมดก็ต้องสูญเปล่า เนื่องจากคราวนี้ลมหายใจมังกรถูกปล่อยจากทางตอนใต้ของเมืองสู่บริเวณเหนือสุดของพระราชวังแก้วผลึก

. รังสีความร้อนแห่งการทำลายล้างแผดเผาทั้งถนน บ้านเรือน และทุกสิ่งที่ขวางทางจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

ทว่า การ์ฟีลกลับฝังเท้าสองข้างลงพื้นเพื่อยึดขาไว้ให้มั่น พลางชูสนับแขนสีเงินขึ้นมารับลมหายใจของ “มังกรเมฆา” แบบตรงๆ

การ์ฟีล: โอ้ววววววว!!

เมื่อมองผ่านดวงตาของเปลือกมกรซึ่งสร้างขึ้นจากมานา มาเดลินก็สังเกตเห็นว่ามานาภายในผืนดินกำลังไหลเข้าไปสู่ร่างของการ์ฟีลผ่านทางเท้าด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ

เธออมุนานว่านั่นคงเป็นสาเหตุเบื้องหลังความถึกทนผิดธรรมชาติที่ผ่านมาของเด็กหนุ่ม เท่านั้นไม่พอ การ์ฟีลเริ่มย่างก้าวเดินหน้าทั้งที่ยังคงต้านรังสีความร้อนเอาไว้

“เป็นไปไม่ได้” ต่อให้มาเดลินจะคิดเช่นนั้น การ์ฟีลก็ยังคงเดินหน้าต่อไม่หยุด ทั้งที่เขากำลังต้านทานลมหายใจที่สามารถเปลี่ยนสภาพภูมิประเทศได้

การ์ฟีล: ย้ากกกกกกกก!!

การ์ฟีลตวัดแขนขึ้นเป็นแนวดิ่งเพื่อเบี่ยงวิถีช่วงลมหายใจสุดท้ายของ “มังกรเมฆา” ให้ขึ้นสู่ท้องฟ้า

ดวงตาของมาเดลินเบิกกว้างเมื่อได้เห็นว่าร่างกายของการ์ฟีลเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ที่เละจนไม่น่าดู แต่ร่างกายของเขาก็รักษาตัวเองอย่างรวดเร็วพลางปล่อยไอน้ำสีขาวออกมา

. การ์ฟีลสามารถปกป้องทั้งไฮน์เคลที่ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่รวมถึงทัศนียภาพของนครหลวงจักรวรรดิที่อยู่ด้านหลังของเขาเอาไว้ได้

แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือมาเดลินพึ่งจะตระหนักรู้ว่าเธอเกือบพลั้งมือทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไป

ไฮน์เคล: เสียสติรึไง เฮ้ย… เลิกปล่อยลมหายใจที่อาจจะเป่าพระราชวังหายไปออกมาได้แล้ว!

[มาเดลิน: มะ…ไม่ใช่นะ…]

ไฮน์เคลพูดถูก ถ้าหากไม่ได้การ์ฟีลช่วยหยุดไว้ ลมหายใจมังกรคงจะเผาร่างกายของมาเดลินในพระราชวังแก้วผลึกไปแล้ว แถมบัลรอยกับคาริยอนก็สุ่มเสี่ยงที่จะอยู่ในวิถียิงด้วยเช่นกัน

มาเดลินเกือบปล่อยให้ความพิโรธครอบงำและทำลายล้างทุกสิ่งที่จะทำให้เธอนึกเสียใจภายหลัง และคนที่ช่วยเธอไว้ก็คือมนุษย์ตัวกระจ้อย ผู้ต่ำต้อยและอ่อนแอ

[มาเดลิน: ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่!]

การ์ฟีล: หา? เป็นอะไรของเอ็ง…

[มาเดลิน: มกรผู้นี้น่ะ! ทำเพื่อบัลรอยเขา! ทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่ทำไปเพื่อบัลรอย!]

เกิดวายุกรรโชกทันทีที่ “มังกรเมฆา” สยายปีกบินขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วพอมองตามขึ้นไป การ์ฟีลก็ได้เห็นก้อนเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วน่านฟ้าของนครหลวงลูปุกาน่า

. [มาเดลิน: เจ้าน่ะ มิใช่คนพิเศษอะไรหรอก!]

ก้อนเมฆจากทั่วจักรวรรดิมารวมตัวกันตามเสียงเพรียกของ “มังกรเมฆา” พวกมันคือมวลสารแห่งการทำลายล้างซึ่งเปี่ยมไปด้วยมานาที่เมโซเรย์อาเก็บสะสมไว้ไม่อยู่

กระทั่งมาเดลินยังมิอาจควบคุมก้อนเมฆผสมมานาทั้งหมดนั้นในคราเดียวได้ แต่เธอสามารถปล่อยให้หมู่เมฆร่วงหล่นลงไปถล่มใส่เมืองเบื้องล่างได้สบาย

[มาเดลิน: มกรผู้นี้น่ะ มิใช่คนพิเศษอะไรหรอก!]

เพราะงั้น มาเดลินจะใช้กลุ่มเมฆทมิฬกวาดล้างเด็กหนุ่มผมทองกับชายผมแดง เพื่อกำจัดทุกคนที่ได้เห็นความผิดพลาดครั้งมหันต์ของเธอกับตา

[มาเดลิน: คนที่พิเศษน่ะ มีแค่บัลรอยก็เกินพอแล้ว!!]

การ์ฟีล: ――ยัยคนโง่บรมเอ๊ย

. สถานที่กำเนิดของ “มาเดลิน เอสชาร์ต” คือยอดสูงสุดของภูเขาพาร์โซอาที่ “นครทะเลหมอก” เมโซเรย์อาตั้งอยู่

ชื่อของนครเมโซเรย์อาถูกตั้งขึ้นตามนามของ “มังกรเมฆา” ซึ่งอาศัยอยู่ในจักรวรรดิมาอย่างเนิ่นนาน จุดเด่นของเมืองคือเมฆหมอกที่ปกคลุมตลอดทั้งปี ซึ่งน่าจะเป็นผลจากพลังของ “มังกร”

ภูเขาพาร์โซอาเป็นรังของมกรบินป่า ซึ่งเป็นเขตอันตรายสำหรับมนุษย์ แต่มันคือจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับเหล่า “นักขี่มกรบิน” ที่ต้องการลักไข่มกรบินติดมือกลับไป

กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเคยฝ่าเมฆหมอกส่วนที่หนาที่สุดเพื่อขึ้นไปบนยอดเขาพาร์โซอามาก่อน มาเดลินที่ถือกำเนิด ณ ที่แห่งนั้นจึงมิเคยรู้จักสิ่งอื่นใดนอกจากเมฆและ “มังกร”

[เมโซเรย์อา: ――ตัวข้า เมโซเรย์อา ข้าจักตอบรับเสียงเพรียกหาของบุตรีที่รักและกลายเป็นสายลมบนท้องนภา]

มิหนำซ้ำ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อาผู้ให้กำเนิดมาเดลินดันมาตกอยู่ในสภาพเปลือกมกรจนสื่อสารกันได้อย่างยากลำบาก

มาเดลินในวัยแบเบาะจึงต้องใช้ชีวิตอย่างเปล่าเปลี่ยวและเหงาหงอย ถึงจะรับรู้โดยสัญชาตญาณได้ว่าเมโซเรย์อาสำคัญต่อเธอ แต่ก็มิอาจพูดคุยกันได้อยู่ดี

สิ่งเดียวที่เมโซเรย์อาทำคือการพูดซ้ำประโยคเดิมวนไปมาและคอยป้อนเมฆซึ่งประกอบขึ้นจากกลุ่มก้อนมานาเป็นอาหารให้แก่มาเดลิน

. บัลรอย: เหลือเชื่อจริงแฮะ ตั้งใจแค่จะมาลองทดสอบฝีมือตัวเองดูแท้ๆ …ไม่นึกไม่ฝันเลย ว่าจะได้เจอคุณหนูแสนน่ารักกับ “มังกร” ที่น่าขนลุกรออยู่บนยอดสูงสุดด้วย

วันวานอันเดียวดายของมาเดลินสิ้นสุดลงเมื่อ “บัลรอย เทเมกริฟ” ขี่มกรบินคู่หูขึ้นมาบนยอดเขาเหนือทะเลหมอกได้สำเร็จเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ

คาริยอนรู้สึกยำเกรงต่อ “มังกรเมฆา” ผู้น่าเกรงขามและมนุษย์มกรสาวไร้นาม แต่ก็ยังเอาตัวยืนขวางเพื่อปกป้องคู่หูที่ยืนเกาแก้มด้วยความสับสน

[เมโซเรย์อา: ――ตัวข้า เมโซเรย์อา ข้าจักตอบรับเสียงเพรียกหาของบุตรีที่รักและกลายเป็นสายลมบนท้องนภา]

ที่ผ่านมา บางครั้งก็มีมกรบินที่บินหลงฝูงขึ้นมาบนยอดและถูกเมโซเรย์อากำจัดทิ้งตามสัญชาตญาณทันที

กระนั้น “มังกรเมฆา” กลับรับรู้ได้ว่าผู้มาเยือนในคราวนี้ไม่ได้มีจิตประสงค์ร้าย มันจึงปล่อยผ่านการบุกรุกของพวกบัลรอย

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มนุษย์มกรผู้เยาว์วัยได้พบเห็นสิ่งมีชีวิตอื่น แถมอีกฝ่ายยังเป็นคู่หูมนุษย์กับมกรบิน ซึ่งดูแปลกตา

ต่อหน้า “มังกรเมฆา” ที่สามารถสังหารเขากับคู่หูได้ทุกเมื่อ บัลรอยกลับเดินไปหามนุษย์มกรสาวอย่างมิเกรงกลัวพลางถอดผ้าคลุมของเขาออกมายื่นให้เธอ

บัลรอย: ก่อนอื่นก็ สวมอะไรสักหน่อยสิ คุณหนู เป็นสาวเป็นนางไม่ควรจะเผยเรือนร่างโดยไม่จำเป็นนะ

นั่นคือครั้งแรกที่มนุษย์มกรสาว ซึ่งภายหลังบัลรอยตั้งชื่อให้ว่า “มาเดลิน” ได้รับความอบอุ่นและความเมตตาจากผู้อื่นเป็นครั้งแรกในชีวิต

. นับแต่นั้นเป็นต้นมา บัลรอยก็คอยมาเยี่ยมหามาเดลินที่ยอดเขาพาร์โซอาเหนือทะเลหมอกเป็นประจำ จนเขากลายเป็นส่วนสำคัญที่มิอาจทดแทนได้ในชีวิตของเธอ

บัลรอย: มาเดลิน กลับมาเยี่ยมแล้วนะ ที่ผ่านมาทำตัวเป็นเด็กดีหรือเปล่า?

มาเดลิน: บัลรอย!

บัลรอย: อุหวาาา!?

มาเดลินโผตัวเข้าไปสวมกอดบัลรอยทันที่เขากับคาริยอนฝ่าเมฆหมอกเข้ามาลงจอด บัลรอยรับมาเดลินไว้ได้ทันและตอบรับด้วยการลูบหัวเธอ

ชื่อ “มาเดลิน” เองก็เป็นชื่อของแม่ทูนหัวของบัลรอย ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณที่เคยดูแลเขาในวัยเยาว์ แต่ได้ตายจากไปเมื่อนานมาแล้ว

การที่เขานำชื่อบุคคลสำคัญเช่นนั้นมาตั้งเป็นชื่อให้แก่เธอ ทำให้มาเดลินยิ่งซึ้งใจจนอยากใช้เวลาอยู่ร่วมกับบัลรอยให้มากขึ้นอีก

มาเดลินสามารถเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วจนบัลรอยยังตกใจ นั่นคงเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมอย่างหนึ่งของเผ่า “มังกร”

บัลรอย: เหะๆ ตาของเรานี่มองอะไรไม่เคยพลาดจริงๆ ดูดีมากเลยล่ะครับ มาเดลิน

มาเดลิน: ยะ…อย่างงั้นหรือ? ฮุฮุ…

วันหนึ่งบัลรอยได้นำเสื้อผ้าสีท้องฟ้าแบบเดียวสีของเส้นผมเธอมามอบเป็นของขวัญให้แก่มาเดลิน

ปกติเธอไม่ค่อยชอบสวมอาภรณ์ที่ทำให้เคลื่อนไหวยากเท่าไรนัก แต่พอได้เห็นบัลรอยพยักหน้าด้วยความพอใจ มาเดลินก็หมุนตัวให้เขาดูอย่างสุขใจ

ชื่อ ภาษา เสื้อผ้า และความสุข

นั่นคือสิ่งล้ำค่าที่บัลรอยได้มอบให้ ซึ่งมาเดลินจะไม่มีวันลืมเลือนมันอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเผ่า “มังกร” นั้นมีนิสัยหวงแหนสิ่งล้ำค่าที่ตนครอบครองโดยธรรมชาติ

. ทุกครั้งบัลรอยบินจากไป มาเดลินจะเก็บงำความเศร้าโศกไว้ในใจเสมอ แต่ก็เธอมิเคยกล่าวโทษบัลรอยที่ไม่ยอมพาเธอออกไปยังโลกภายนอกด้วยกัน

[เมโซเรย์อา: ――ตัวข้า เมโซเรย์อา ข้าจักตอบรับเสียงเพรียกหาของบุตรีที่รักและกลายเป็นสายลมบนท้องนภา]

สาเหตุมาจาก “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา ที่ถึงแม้จะอนุญาตให้บัลรอยกับคาริยอนแวะมาเยี่ยมหามาเดลิน แต่มันไม่เคยอนุญาตให้เขาพาเธอออกไปจากรังเลย

ไม่มีทางที่มนุษย์จะเอาชนะมังกรภายในรังของมันได้ มาเดลินที่ไม่อยากให้บัลรอยต้องตายจึงไม่เคยร้องขอให้เขาช่วยพาเธอออกไป

มาเดลิน: บัลรอย ช่วยอยู่ที่นี่… กับมกรผู้นี้ตลอดไปเลยมิได้งั้นหรือ?

บัลรอย: …

วันหนึ่งมาเดลินได้ลองร้องขอเช่นนั้นออกไป แต่ความเงียบงันของบัลรอยก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว เขามีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอยู่อีกมากมายที่โลกภายนอก

โลกสีขาวที่มาเดลินอาศัยอยู่มาตลอดชีวิตแห่งนี้มิใช่สถานที่สำหรับมนุษย์อย่างบัลรอย

บัลรอย: ――ขอโทษด้วยนะ มาเดลิน

นั่นเป็นครั้งแรกที่มาเดลินปฏิเสธมือของบัลรอยที่ยื่นเข้ามาลูบหัว เธอเริ่มโวยวายและไล่ตะเพิดเขากับคาริยอนให้กลับไปทั้งน้ำตา

. มาเดลินสะอื้นไห้อยู่สามวันสามคืน เธอเสียใจอย่างสุดซึ้งที่อาจจะไม่ได้พบเจอบัลรอยอีกเลย แถมเธอยังทำให้บัลรอยต้องเศร้าตอนพบกันครั้งสุดท้ายอีก

ทว่า เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความเสียใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมาเดลิน เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้นในอีกสามวันต่อมา

ในวันนั้น “มังกรเมฆา” ที่ปกติอยู่ข้างกายเธอเสมอได้บินออกไปจากรัง แต่มันมิได้ไปไกลจากยอดเขา เนื่องจากเธอยังคงได้ยินเสียงคำรามอยู่เป็นพักๆ

ทีแรกมาเดลินคาดเดาว่าเมโซเรย์อาคงออกไปไล่ล่ามกรบินหรือมนุษย์ผู้บ้าบิ่นที่รุกล้ำอาณาเขตเข้ามา

สุดท้ายเมโซเรย์อาก็กลับมาที่รังดังที่มาเดลินคิดไว้ แต่เธอในตอนนั้นยังมีความคิดตื้นเขินเกินกว่าจะใส่ใจบาดแผลตามเกล็ดของมังกร ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

บัลรอย: ――ขอโทษด้วยนะ มาเดลิน

อีกหลายวันหลังจากนั้น บัลรอยและคาริยอนก็ได้กลับมาเยี่ยมหามาเดลินในสภาพที่มีบาดแผลสาหัสทั่วทั้งร่างทั้งคู่

บัลรอย: …อยากจะเอาชนะ “มังกรเมฆา” แล้วช่วยพาออกไปให้ได้แท้ๆ นะครับเนี่ย

คำขอโทษของบัลรอยไม่ได้สื่อถึงการที่เขาหายหน้าไปหลายวัน แต่สื่อถึงความเสียใจที่มิอาจทำตามความปรารถนาของมาเดลินให้เป็นจริงได้

. “มังกร” หวงแหนสิ่งล้ำค่าที่ตนครอบครองโดยธรรมชาติ และสำหรับ “มังกรเมฆา” ที่กลายสภาพเป็นเปลือกมกรนั้น “มาเดลิน” ก็คือสิ่งล้ำค่าเดียวที่มันมิเคยลืมเลือน

บัลรอยที่พยายามจะช่วงชิงสิ่งล้ำค่าไปจากมันถึงได้เสี่ยงชีวิตจนเกือบตาย มาเดลินสาปแช่งความโง่เขลาของตนเองที่ไม่ตระหนักรู้ตัวถึงเรื่องนี้

กำแพงเมฆหมอกที่ขว้างกั้นมาเดลินไว้จากโลกภายนอกนั้น ตัวเธอต้องเป็นคนฉีกกระชากมันออกเอง ไม่ใช่ไปหวังพึ่งความใจดีของบัลรอย

มาเดลิน: มกรผู้นี้จะออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง แทนที่จะร้องขอผู้อื่น …ในครานี้ มกรผู้นี้จะขอออกไปพบบัลรอยด้วยตัวเอง แล้วจากนั้น…

มาเดลินจับชายกระโปรงไว้แน่นระหว่างที่พยายามถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงให้แก่มนุษย์คนพิเศษผู้ที่ช่วยมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เธอ

มาเดลิน: แล้วจากนั้น ช่วยรับมกรผู้นี้เป็นภริยาได้หรือเปล่า?

บัลรอย: …

บัลรอยเว้นช่วงเงียบไปชั่วขณะอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้มาเดลินไม่เบือนหน้าหนีไปจากบัลรอย เธอมองดูเขาไม่ละสายตา ทำใจยอมรับได้ทุกคำตอบ

บัลรอย: ――นั่นสินะครับ ถ้าเกิดเป็นงั้นได้จริง มันคงจะดีต่อทั้งเราและมาเดลินมากเลยเนอะ

มาเดลินให้สัญญาแก่บัลรอยผู้อ่อนโยนไว้เช่นนั้น ถึงแม้มาเดลินจะตระหนักรู้ดีว่าตัวเธอมิใช่อันดับหนึ่งในใจของเขาก็ตาม

. บางคนอาจจะมองได้ว่าความรักของมาเดลินเป็นเหมือนความรู้สึกของลูกเจี๊ยบที่พึ่งฟักออกจากไข่แล้วยึดติดกับสิ่งแรกที่เห็น

บางคนอาจจะมองได้ว่ารอยยิ้มของบัลรอยตอนที่ตอบรับคำขอเป็นเจ้าสาวของมาเดลินนั้น ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ผู้เป็นพ่อจำเป็นต้องโกหกลูกสาวว่าในอนาคตจะยอมแต่งงานด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายความรู้สึก

ไม่แน่ว่าบัลรอยอาจจะมีบุคคลอื่นที่เขาหลงรักอยู่ในใจเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ตัวเขามิอาจเปิดเผยความรู้สึกออกไปได้

ไม่ว่าอย่างไร สิ่งเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นบรรทัดฐานของมนุษย์ เผ่ามนุษย์มกรอย่างมาเดลินย่อมมีค่านิยมที่ต่างออกไป

มาเดลินถวิลหา “บัลรอย เทเมกริฟ” จากก้นบึ้งของหัวใจ หากว่านั่นยังมิใช่ความรักอีก มาเดลินก็คงจะไม่มีวันได้รู้จักความรักไปตลอดกาล

มาเดลินใช้ความรู้สึกที่มีต่อบัลรอยเป็นแรงใจให้เธอกล้าหันคมเขี้ยวเข้าใส่ “มังกรเมฆา” เป็นครั้งแรกในชีวิต และสุดท้ายเธอก็สามารถกำราบมันได้สำเร็จ

มาเดลินโบยบินฝ่าหมู่เมฆออกไปสู่ท้องฟ้าด้านนอกที่มีสีสันเดียวกับเส้นผมของเธอเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็รีบออกตามหาบุคคลที่รัก จนได้ทราบข่าวร้ายว่า…

――“บัลรอย เทเมกริฟ” เสียชีวิตไปแล้วหลังจากที่เขาไปเข้าร่วมการก่อกบฏเพื่อต่อต้านจักรวรรดิ

. มาเดลิน: ――ควรจะทำเช่นไร ต่อไปดี?

หลังจากที่สูญเสียคนรักจนชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย มาเดลินเกือบที่จะตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางของ “มังกรอสูร” ที่จะฝากรอยแผลไว้ในประวัติศาสตร์วอลลาเคีย

แต่แล้วเธอก็ได้ตามกลิ่นที่หลงเหลืออยู่ของบัลรอยไปพบ “เบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอน” ซึ่งได้รับมอบหมายให้เก็บกวาดสถานที่อยู่อาศัยของบัลรอยผู้เป็นกบฏ

สาเหตุมาเดลินไม่สังหารเบลสเต็ตซ์ทิ้งทันที เป็นเพราะว่าชายแก่มีดวงตาของผู้ที่สูญเสียบุคคลสำคัญไปเฉกเช่นเดียวกับเธอ

เบลสเต็ตซ์ยอมรับฟังเรื่องราวชวนสับสนจากมาเดลินจนได้ทราบว่าเธอเป็นเผ่ามนุษย์มกรและยังมีความเกี่ยวข้องกับบัลรอย

ชายแก่จึงเสนอทางเลือกให้แก่มาเดลินสองข้อ ระหว่างปล่อยให้อารมณ์โกรธแค้นครอบงำแบบบัลรอยจนสุดท้ายถูกสังหารในฐานะศัตรูของจักรวรรดิ

หรือจะเข้าร่วมตำแหน่ง “เก้าแม่ทัพเทวะ” ที่ว่างอยู่เพื่อเดินตามเส้นทางสายเดียวกับบัลรอย เผื่อที่ว่าสักวันเธออาจจะมีโอกาสได้ล้างแค้น

เบลสเต็ตซ์: “มาเดลิน เอสชาร์ต” นามสกุลของตระกูลวอลลาเคียเก่าแก่ที่ไม่หลงเหลืออยู่แล้วนั้น จะขอมอบมันให้แก่เธอ ถึงอย่างไรเกียรติคุณก็เป็นสิ่งสำคัญล่ะนะครับ

มาเดลิน: เกียรติคุณงั้นหรือ?

เบลสเต็ตซ์: การที่สกุลไม่หลงเหลืออยู่ย่อมแปลว่าตระกูลนั้นสาบสูญไปหลังต่อสู้กับจักรวรรดิแห่งนี้ หวังว่าชายแก่หงำเหงือกอย่างกระผมจะสามารถเป็นประโยชน์ต่อการเติมเต็มความปรารถนาสูงสุดของเธอได้

ด้วยเหตุนั้น “มาเดลิน เอสชาร์ต” จึงถือกำเนิดขึ้นมา จากนั้นเบลสเต็ตซ์ก็คอยช่วยสนับสนุนให้มาเดลินได้รับตำแหน่งเดียวกันกับบัลรอยได้สำเร็จ

. อ่านต่อพาร์ท 2: