มาเดลินเดินตามรอยเท้าของบัลรอยเพื่อทำความรู้จักกับตัวเขาให้มากขึ้นกว่าที่เคย
เธอเติมเต็มบทบาทหน้าที่ของ “เก้าแม่ทัพเทวะ” แทนที่เขา สำแดงเดชของ “แม่ทัพ” แห่งจักรวรรดิแทนที่เขา และสังหารศัตรูเพื่อจักรวรรดิแทนที่เขา
มาเดลินไม่ทราบแน่ชัดว่าเบลสเต็ตซ์หวังดีต่อเธอหรือเขาเพียงแค่ใช้เธอเป็นหมากเพื่อเติมเต็มความปรารถนาอันยาวนานของตนกันแน่ แต่เธอก็ไม่เคยคิดแค้นเคือง
มาเดลินเริ่มตระหนักได้ว่าการทำตามหน้าที่เก่าของบัลรอยในการสังหารศัตรูของจักรวรรดิ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าคนประเภทเดียวกับบัลรอยในตอนที่เขาตาย
แต่เธอแบกรับความรู้สึกหวาดผวาราวกับว่าเป็นคนลงมือสังหารบัลรอยด้วยตนเองไว้ในใจอยู่เรื่อยมา เนื่องจากมาเดลินตั้งใจจะทำหน้าที่นี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าหัวใจของเธอจะตายสนิท
ทั้งหมดเพื่อไถ่โทษที่ตนเองไม่สามารถอยู่เคียงข้างเขาในวาระสุดท้ายได้
มาเดลิน: เจ้าน่ะ เหตุใดถึงได้มีเขี้ยวของมกร… เหตุใดถึงได้มีเขี้ยวของคาริยอนอยู่กัน!?
แต่แล้วยามที่จักรวรรดิกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาโกลาหล มาเดลินก็ได้พบกับชายที่มีเขี้ยวของมกรบินคู่หูของบัลรอยอยู่ (ฟล็อป)
ชายคนนั้นแบ่งปันเรื่องราวอีกด้านของบัลรอยที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนให้มาเดลินได้ฟัง ซึ่งนั่นทำให้หัวใจรักของมาเดลินกลับมาเต้นอีกครั้ง
หลังจากนั้น “มหาภัยพิบัติ” ก็ได้นำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมาเดลินกลับคืนมา
มาเดลินอุตส่าห์ได้โอบกอดบัลรอยภายนอกหุบเขาที่มีแต่เมฆขาวปกคลุมทั้งที แต่แล้วท้องฟ้าในปัจจุบันกลับเต็มไปด้วยเมฆดำที่ปกคลุมโลกให้มืดสลัว
มาเดลินไม่รู้เลยว่าเธอควรทำอย่างไรต่อไปดี เธอไม่อยากจะคิดอีกแล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อความรู้สึกรักที่มีให้แก่ผีดิบของคนรักที่คืนชีพกลับมา
. ตัดกลับมาปัจจุบัน กลุ่มเมฆทมิฬกำลังไปรวมตัวกันอยู่ที่ “มังกรเมฆา” บนท้องนภา เป็นภาพที่ชวนให้ขนลุกซู่
การ์ฟีลรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเมฆดำเหล่านั้นมันมีพลังทำลายล้างมากพอที่จะเป่าเขาให้หายไปพร้อมกับทัศนียภาพของนครหลวงจักรวรรดิ
การ์ฟีล: ไอ้เมฆก้อนเบ้อเริ่มนั่น มันสร้างมาจากมานาของ “มังกร” ทั้งก้อนเลยนี่หว่า!
ทีแรกการ์ฟีลก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่สุบารุมอบหมายให้เขาเป็นผู้รับมือกับศัตรูที่เป็นเผ่าพันธุ์สุดแกร่งในตำนานอย่าง “มังกร”
แต่หลังจากได้ฟังคำพูดและเห็นการกระทำที่ขาดภูมิฐานเยี่ยงเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตยืนยาวแล้ว การ์ฟีลก็มั่นใจว่ามีสิ่งอื่นกำลังควบคุมร่างของ “มังกรเมฆา” อยู่
ดังนั้น สาเหตุที่สุบารุตั้งใจส่งการ์ฟีลมาเผชิญหน้ากับศัตรูตัวนี้โดยเฉพาะนั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังเหตุผลอื่นอยู่ด้วย
การ์ฟีล: ――เพราะว่าอยากปกป้องโลกของเอ็งเอาไว้ ถึงได้ปล่อยโฮร้องไห้งอแงออกมาแบบนั้นสินะ
เมโซเรย์อาเบื้องหน้าเขากำลังร่ำร้องอย่างน่าละอายพลางปล่อยให้ความเศร้าโศกและความพิโรธครอบงำ ไม่ต่างจากตัวการ์ฟีลในอดีตเลย
ที่การ์ฟีลสามารถเติบโตขึ้นจากตอนนั้นจนสามารถยืนด้วยลำแข็งตัวเองได้ เป็นเพราะเพื่อนๆ ใช้กำลังกำราบเขาก่อนที่จะเปิดอกคุยกันให้กระจ่างชัด
ไม่มีอะไรการันตีว่าวิธีการเดียวกันจะสามารถใช้ได้ผลกับเจ้า “มังกร” ตัวนี้ แต่การ์ฟีลก็มองว่ามันคุ้มที่จะลองเสี่ยงดูอยู่ดี
. การ์ฟีลพยายามที่จะมองหาแท่นเหยียบเพื่อกระโจนตัวไปหาเมโซเรย์อาที่อยู่บนความสูงระดับเมฆ แต่ว่าอาคารสูงบริเวณนี้พังทลายตามพื้นถนนที่ทรุดจนเอียงไปหมดแล้ว
การ์ฟีล: ลุง!! ขอแรงหน่อย! ไม่ว่ายังไง เราก็ต้องหาทางบินไปตรงโน้นให้ได้เลยว้อย!
ไฮน์เคล: บินไป… บินไป? บินไปเนี่ยนะ? พูดบ้าๆ…พูดบ้าอะไรออกมาล่ะนั่น!? มันจะเป็นไปได้ยังไงเล่า ไอ้เรื่องแบบนั้นน่ะ! คิดว่ามันสูงตั้งขนาดไหนกัน!
พอการ์ฟีลไปเขย่าไหล่ของไฮน์เคลที่ยังคงนอนอึ้งอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือ ไฮน์เคลก็ปฏิเสธสุดเสียงต่อหน้าปรากฏการณ์ระดับภัยธรรมชาติตรงหน้า
แต่ถึงแม้ว่าปากของเขาจะพูดจาตัดพ้ออย่างสิ้นหวังมากเพียงใด มือที่สั่นเทาของไฮน์เคลก็ยังคงกำดาบชี้ไปยังท้องฟ้าที่มีเมฆดำปกคลุมไม่แปรเปลี่ยน
การ์ฟีล: รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงสินะ เข้าใจดีเลยล่ะเฟ้ย ลุง ――อย่างกับว่าเป็นวันสิ้นโลกแน่ะ
นอกจากเมฆาทมิฬทำลายล้างที่หมุนวนอยู่เหนือหัวพวกตนแล้ว บริเวณสนามรบแห่งอื่นภายในนครหลวงยังมีภูเขาน้ำแข็งที่ร่วงหล่นจากฟ้า
มีคมดาบผ่าโลกาที่พุ่งผ่านไปสะบั้นภูเขาด้านหลังจนแยก แถมท้องฟ้าและผืนดินฝั่งตะวันออกยังแดงฉานราวกับถูกเผาไหม้เป็นร้อยๆ รอบ
. ไม่ว่าจะเป็นสนามรบแห่งไหน ก็ดูจะนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิได้ทั้งสิ้น แต่การ์ฟีลกลับไม่รู้สึกสิ้นหวังเลยแม้แต่น้อย
นั่นเพราะว่าเขาเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวสุบารุ ที่ตั้งใจมอบหมายสนามรบแห่งนี้ให้เป็นหน้าที่ของ “การ์ฟีล ทินเซล” มิใช่บุคคลอื่นใด
การ์ฟีล: ――“นักดาบเทวาเรดชักดาบพลางหัวเราะออกมาต่อหน้ามังกร”
ไฮน์เคล: …อย่าไปเอาเยี่ยงอย่างไอ้บรรพบุรุษสมองเพี้ยนแบบนั้นสิ
การ์ฟีล: ――“ไม่มีใครหนีจากไรน์ฮาร์ดได้”
ไฮน์เคล: อย่าพูดชื่อนั้นนะ! ชั้นน่ะ! …ชั้นน่ะ! …ตัวชั้นน่ะ
ไฮน์เคลปล่อยมือข้างหนึ่งจากดาบมากุมใบหน้า ดูเหมือนว่ากระทั่งสถานการณ์ที่เหมือนจุดสิ้นสุดของโลกก็ยังเปลี่ยนนิสัยปากแข็งของเขาไม่ได้ เพราะงั้น…
การ์ฟีล: ――คำพูดที่ลุงคิดจะพูดออกมาเมื่อกี้น่ะ ชั้นคนนี้จะช่วยงัดมันออกมาให้เองเฟ้ย
. “มังกรเมฆา” ที่สยายปีกอยู่บนฟ้าใช้มือของมันบิดเมฆหมอกทมิฬแห่งความพินาศให้หมุนวนรวมเข้าหากันกลายเป็นรูปทรงเกลียวสว่านขนาดยักษ์
[มาเดลิน: ――หายไปซะ]
ว่าแล้วมาเดลินจึงทำการปล่อยเกลียวสว่านยักษ์ที่จะเจาะทะลวงผืนดินจักรวรรดิเบื้องล่างให้ทะลุในคราเดียว
ขอเพียงแค่ส่วนหนึ่งของนครหลวงพังพินาศหายไปจากการโจมตีนี้ กองทัพผีดิบก็จะพลิกกลับมาได้เปรียบและชัยชนะก็จะตกเป็นของ “มหาภัยพิบัติ”
เหล่าผีดิบจะบุกจู่โจมประเทศมหาอำนาจแห่งอื่นต่อจนนำไปสู่จุดจบของโลกที่คงไม่มีใครรู้สึกยินดีนอกเสียจาก “แม่มด” จอมอยากรู้อยากเห็นผู้หนึ่ง
ตอนนั้นเองที่ผู้กล้าสองคนวิ่งตรงดิ่งเข้าไปยังจุดที่เกลียวสว่านกำลังพุ่งลงมา โดยหนึ่งในผู้กล้ารวบรวมพลังจากผืนปฐพีผ่านปลายเท้าระหว่างที่วิ่ง
การ์ฟีลวางเท้าลงบนดาบของไฮน์เคลที่เก็บใส่ฝักและตั้งปรับสมดุลเอาไว้คล้ายไม้กระดก จากนั้นผู้กล้าผมแดงก็ตวัดดาบขึ้นฟ้าสุดแรงเกิด
เพลงดาบนั้นไม่ได้เล็งไปยัง “มังกร” หรือเกลียวสว่านที่จะเจาะทะลุผืนโลก มันเป็นเพียงการเหวี่ยงเพื่อส่งร่างของเด็กหนุ่มให้โบยบินขึ้นไปบนท้องนภาเท่านั้น
การ์ฟีลชื่นชมการหวดดาบของไฮน์เคล ก่อนจะหันไปสบตากับ “มังกรเมฆา” พลางเผยรอยยิ้มที่กล้าแกร่งและดุดันดุจพยัคฆ์ออกมา
การ์ฟีล: เตรียมแดกกำปั้นได้เลย ――ยอมเล่าเรื่องของเอ็งให้ฟังซะดีๆ อย่างที่ชั้นคนนี้ยอมเล่าให้พวกจอมพลฟังน่ะแหละ
การ์ฟีลรวบรวมพละกำลังทั้งหมดไว้ในกำปั้นเพื่อส่งสนับแขนสีเงินไปอัดเข้าใส่เมฆาทมิฬแห่งความพินาศในรูปทรงเกลียวสว่าน
แรงระเบิดจากการปะทะส่งผลให้เสียงหายไปจากอาณาบริเวณชั่วขณะ หมู่เมฆสีดำพลันหายไปในพริบตา เผยให้เห็นท้องนภาสีฟ้าสดใสด้านหลัง
มันคือสีเดียวกันกับเส้นผมของมนุษย์มกรผู้เหงาหงอย ซึ่งเป็นเส้นผมที่บุคคลที่เธอรักมักที่จะลูบไล้ด้วยความรักใคร่อยู่เสมอ
. จบตอน