“ผู้เสพวิญญาณ” คือตัวตนนอกรีตซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าคนเสียสติที่ทำตัวเกินขอบเขตของคำว่า “นักวิจัย”
อัตตาได้ถูกทำให้เลือนลางลง เพื่อที่ “ผู้เสพวิญญาณ” จะได้กลืนกินวิญญาณและสำแดงพลังเพื่อบุคคลสำคัญที่ยึดมั่นเป็น “เสาหลัก” แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
หลังจากที่สูญเสีย “เสาหลัก” ไป ปกติอัตตาของ “ผู้เสพวิญญาณ” ควรจะพังทลายจนดวงวิญญาณถูกเหล่าวิญญาณที่ตนกลืนเข้าไปทับถมจนสูญเสียตัวตน
ทว่า “อาราเคีย” ถือเป็นตัวตนพิเศษไม่เหมือนใครในหมู่ “ผู้เสพวิญญาณ” เพราะว่าเธอยังคงรักษาตัวตนไว้ได้หลังสูญเสีย “เสาหลัก” เนื่องด้วยเหตุผลสองประการ
เหตุผลแรกคือ “เสาหลัก” ของอาราเคียเป็นตัวตนที่เจิดจ้าดุจดวงตะวัน ต่อให้กายอยู่ห่างกัน ตัวตนของเธอคนนั้น(พริสซิลล่า)ก็ยังสลักแน่นอยู่ในใจอาราเคียเสมอ
เหตุผลที่ 2 คือ หลังจากที่สูญเสีย “เสาหลัก” ไป อาราเคียก็ได้พบกับ “อสนีบาต(เซซิลุส)” ผู้ที่ทำให้เธอตระหนักรู้ในตัวตนของตัวเองอยู่เสมอ
เขาคอยท้าทายเธออยู่ทุกวี่ทุกวัน คอยกวนประสาทให้ตระหนักถึงความด้อยกว่า น่ารำคาญจนดวงวิญญาณของเธอสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน ซึ่งช่วยคงรักษาตัวตนของอาราเคียเอาไว้
. “ดวงตะวันที่เจิดจรัสและอสนีบาตที่แสนน่ารำคาญคือสองตัวตนที่คอยยึดเหนี่ยวให้อาราเคียยังคงสภาพดวงวิญญาณของเธอไว้ได้”
ในปีที่อาราเคียเลื่อนขั้นเป็น “ลำดับสอง” แซงหน้าโอลบาร์ต จิชาได้เรียกเธอมาพบเพื่อถามยืนยันทฤษฎีข้างต้น ซึ่งเขาตั้งขึ้นหลังจากที่ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับ “ผู้เสพวิญญาณ”
แต่ถึงแม้ว่าจิชาจะฉลาดแค่ไหน อาราเคียก็มิอาจยอมรับข้อสรุปดังกล่าวได้ เนื่องจากบุคคลที่สามารถเติมเต็มตัวเธอควรจะมีแค่เพียง “พริสก้า” เท่านั้น
ในตอนนั้น เรื่องราวของพริสก้าผู้ที่รอดตายจากพิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิและหลบหนีไปยังลูกุนิก้าถือเป็นความลับระดับสุดยอดที่น้อยคนจะรู้
สาเหตุที่จิชาขุดประเด็นนั้นกลับมาในรอบหลายปีเป็นเพราะว่าเขาอยากที่จะมั่นใจได้ว่าสามารถหวังพึ่งอาราเคียเป็นหนึ่งในกำลังรบสำหรับศึกครั้งใหญ่หลวงในอนาคต
สีหน้าของจิชาบ่งบอกได้ว่าศึกใหญ่ที่เขาพูดถึงมันหนักหนากว่าการขจัดทัพกบฏทั่วไป อาราเคียจึงยืนกรานว่าเธอมิใช่ตัวตนไม่มั่นคงที่พร้อมจะหายวับไปทุกเมื่อ
อาราเคีย: …ฉันจะไม่หายไป เพื่อองค์หญิงหรอก แล้วก็ เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับเซซิลุสเลยด้วย
จิชา: หึ นั่นเป็นแค่ทฤษฎีของเราเท่านั้นแหละน้า~ ถ้าอยากให้ยอมรับว่าคิดผิดนักล่ะก็ ลองทำให้เซซิลุสแพ้ดูสักครั้งสิ
เซซิลุส: เอ๊ะๆๆๆๆ เมื่อกี้พูดถึงผมอยู่รึเปล่าครับ? ไหงงั้นล่ะๆ อาเนียกับจิชาอย่าทำตัวใจดำเหมือนว่าผมเป็นคนนอกแบบนี้สิครับ นี่หรือว่าจะคุยเรื่องนั้นกันอยู่เหรอครับ? กำลังหารือเรื่องโอกาสชนะแสนริบหรี่ของอาเนียที่สะสมสถิติแพ้ต่อเนื่องยาวเป็นหางว่าวอยู่ใช่มั้ยครับ?
อาราเคีย: เซซิลุส ไปตายซะ
จิชาชิ่งหนีไปทันทีหลังบทสนทนาดังกล่าว เนื่องจากว่าเขากลัวโดนลูกหลงจากการวิวาท สุดท้ายอาราเคียจึงไม่เคยมีโอกาสได้เสวนาประเด็นนั้นกับจิชาต่ออีกเลย
. อาราเคียไม่เคยให้อภัยเรื่องที่จิชามีส่วนร่วมในการทำให้เธอต้องพลัดพรากจากพริสก้า กระนั้นจิชาก็ยังเป็นผู้มีพระคุณที่สอนการเขียนการอ่านให้แก่เธอ
อาราเคียจึงอยากจะตอบแทนบุญคุณนั้นด้วยการเป็นกำลังรบให้ในศึกครั้งใหญ่ที่จิชาเฝ้ากังวลอยู่เรื่อยมา บางทีมันอาจจะเป็นอีกเหตุผลในการมีตัวตนอยู่ของเธอนอกเหนือจากเรื่องพริสก้า
อาราเคียเกลียดเซซิลุส เธอยังคงมิอาจให้อภัยวินเซนต์เรื่องพริสก้า เธอคิดว่ามุกของโอลบาร์ตตลกดี เธอคิดว่ากอซหน้าตลกดี เธอคิดว่ากรูวี่ปากเสียแต่เอาใจใส่ โมโกรเองก็ยอมรับฟังเรื่องที่เธอเล่าอยู่เสมอ
อาราเคียไม่ถูกกับยอร์น่าแต่ก็ไม่ได้เกลียดเธอ อาราเคียรู้สึกว่าบัลรอยพยายามเลี่ยงไม่ไปเจอหน้ามาเดลินอยู่ อาราเคียรู้สึกซาบซึ้งต่อท็อดด์
ปัจจุบัน อาราเคียกำลังนึกย้อนถึงเหล่าผู้คนที่เธอได้พบพานในชีวิต เพื่อฝืนคงสติเอาไว้ มิให้ดวงวิญญาณถูกฉีกกระชากจนอาราเคียไม่ใช่ “อาราเคีย” อีกต่อไป
อาราเคีย: ――งค์..หญิง…
อาราเคียเป็นผู้ตัดสินใจกลืนกิน “ก้อนศิลา” มุสเปลเข้าไปด้วยตนเองเพื่อขัดขวางมิให้ “แม่มด(สฟิงซ์)” ใช้มหาวิญญาณทำลายจักรวรรดิ
ผลลัพธ์ทำให้อาราเคียสูญเสียการควบคุมสติและร่างกาย และทุกครั้งที่หัวใจสูบฉีดเลือด ดวงวิญญาณของเธอก็จะรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกตอกตะปูใส่
เซซิลุส: เผลอเขมือบอะไรไม่ดีสักอย่างเข้าไปในปากสินะ ――เธอนี่มันตัวสร้างปัญหาจริงๆ เลย
เสียงอสนีบาตที่แสนน่ารำคาญได้ประกอบดวงวิญญาณที่ถูกฉีกขาดเป็นพันชิ้นเข้าหากันใหม่ ความรู้สึกพ่ายแพ้อันน่าหงุดหงิดช่วยยึดเหนี่ยวตัวตนที่ใกล้สูญสลายของ “อาราเคีย” เอาไว้
. อัลเดบารันนั้นติดนิสัยการ “นับจำนวนครั้ง” จนเคยตัว ซึ่งปัจจุบันเขาได้ผ่านการรีเซ็ตในศึกเผชิญหน้ากับอาราเคียมาทั้งหมด 191 ครั้งแล้ว
หอรบแห่งที่ 2 ถูกคลื่นความร้อนหลอมจนละลายไม่เหลือเค้าโครงเดิม มันกลายเป็นมิติแห่งนรกโลกันตร์ที่มนุษย์ไม่สามารถทนอยู่ได้
กระทั่งฝ่ามือที่กำดาบมังกรฟ้ายังร้อนฉ่าจนได้ยินเสียงไหม้ เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ อัลก็พร้อมจะโดนเปลวเพลิงเผาเป็นถ่านได้ทุกเมื่อตามแพทเทิร์นที่เกิดมาแล้วหลายครั้ง
“เซซิลุส เซ็กมุนต์” กำลังวิ่งอยู่บนแมกม่าโดยอาศัยความแกร่งของกำลังขา กำลังกายที่มากเหลือล้น และความกล้าที่จะเผชิญหน้าศัตรูซึ่งสามารถเปลี่ยนสภาพผืนโลกได้ภายในพริบตา
โลกใบนี้คือ “เวที” และเซซิลุสก็คือ “ดารานำแสดงเด่น” ซึ่งพยายามเคลื่อนไหวทุกท่วงอย่างสง่างามให้ผู้ชมที่มองไม่เห็นตัวได้ชื่นชม
ผิวแมกม่าบริเวณที่ฝ่าเท้าของเขาย่ำอยู่เกิดระเบิดออก แต่เซซุลิสกระโจนตัวได้ทัน แรงระเบิดจึงช่วยส่งเขาบินขึ้นไปหามนุษย์สุนัขสาวผมเงินที่ลอยอยู่บนฟ้า
ลูกเตะสายฟ้าที่สามารถถล่มได้กระทั่งเสาหินเตะอัดเข้าใส่ลำตัวของอาราเคียที่ร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือด
อิมแพ็คของการปะทะส่งร่างของเซซิลุสให้ร่วงลงมาอัดกระแทกพื้นถนนจนเลือดไหลอาบศีรษะ ที่ผ่านมาอาราเคียเริ่มตามความเร็วและจับจังหวะการโจมตีของเซซิลุสได้ทันหลายครั้งแล้ว
. ปัจจุบันอาราเคียมีศิลาผลึกมนตรางอกทะลุออกมาจากแขนและแผ่นหลังดูคล้ายกับปีกของนางฟ้า แต่ความเป็นจริงคือสิ่งนั้นกำลังกลืนกินร่างกายของหญิงสาวจากภายในอยู่
อัลได้แต่ยืนมองร่างกายที่เริ่มสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ของอาราเคียอยู่ไกลๆ และก่นด่าในความไร้พลังของตน เนื่องจากว่าเขาหาโอกาสเข้าไปแทรกแทบไม่ได้เลย
แต่อย่างน้อยอัลก็ได้ช่วยยับยั้งไม่ให้แขนขาของเซซิลุสขาดกระจุยไว้ได้ 2 รอบถ้วน จากการรีเซ็ตไปเกือบ 200 รอบ
เดิมทีเซซิลุสเป็นฝั่งที่ได้เปรียบ แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปทันทีที่อาราเคียหันมาเปลี่ยนวิธีการต่อสู้หลังจากที่รูปลักษณ์ของเธอเริ่มบิดเบี้ยว
เซซิลุส: ――มาแล้ว!
การการบิดเบือนขึ้นบริเวณที่เซซิลุสยืนอยู่ จากนั้นก็มีเสาหินโผล่พรวดเข้ามาจู่โจมเขาจากทั่วทิศทางคล้ายงูยักษ์แปดเศียร
เซซิลุสกระโจนตัวหลบแล้วเร่งความเร็วถึงระดับท็อปสปีดเพื่อหลีกหนีให้พ้นจากการไล่จู่โจมของเสาหินซึ่งเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นฝ่ามือศิลาขนาดยักษ์ที่พยายามจะขยี้เขาให้แหลก
เซซิลุสหลบมือศิลาที่ตบลงมาเหมือนไม้ตบแมลง จากนั้นเขาวิ่งไต่ขึ้นไปจนสูงได้ที่ แล้วใช้ฝ่ามือศิลาเป็นแท่นเหยียบเพื่อกระโจนตัวไปหาอาราเคียอีกครั้ง
แต่แล้วกำปั้นหินกลับต่อยอัดเข้าใส่ที่ส้นของรองเท้าโซริทำให้โมเมนตั้มการพุ่งของเขารวนไปหมด แถมอาราเคียยังสร้างแสงสีขาวขึ้นมาดักเส้นทางที่เซซิลุสกำลังลอยเข้ามาดุจมิสไซล์
เซซิลุส: ――พลาดแล้วสิเรา!
อัล: โอ้ววววว
ในขณะที่ร่างของเซซิลุสถูกแสงสีขาวกลืนหายไป อัลก็รีบชักดาบมังกรฟ้ามาปาดคอตัวเองทันที
× × ×
เซซิลุส: ――พลาดแล้วสิเรา!
อัล: โดน่าาา!
ระหว่างที่เซซิลุสถูกกำปั้นศิลาต่อยใส่ส้นเท้า อัลก็รีบชี้ปลายดาบมังกรฟ้าเพื่อร่ายเวทมนตร์ยิงหินกรวดขึ้นไปใส่แสงแห่งการทำลายล้างที่กำลังก่อตัวขึ้นมา
เซซิลุส: คุณอัล สุดยอดเลยยย!!
แสงมรณะระเบิดออกเป็นแสงวูบวาบจนอัลแสบตาไปชั่วขณะ แต่มันก็ไม่ได้หยุดโมเมนตัมของเซซิลุสที่พุ่งเข้าไปหาอาราเคียแต่อย่างใด
ฝ่ามือคมมีดของเซซิลุสผ่าเป็นแนวทะแยงอัดเข้าใส่กลางหน้าผากของอาราเคีย เกิดคลื่นกระแทกจากการโจมตีทะลวงไปถึงอาคารบ้านเรือนเบื้องล่าง ราวกับว่าท้องฟ้าถูกฟันจนแยก
อาราเคีย: ――――
ทว่า ร่างของอาราเคียกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
เธอพึมพำอะไรบางอย่างออกมา ก่อนที่จะตวัดปีกซึ่งสร้างขึ้นจากศิลาผลึกมนตราสวนกลับไปกระซวกเซซิลุส ก่อให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์บนร่างเจ้าหนุ่มน้อย
. ยิ่งเวลาผ่านไป ดวงวิญญาณของ “อาราเคีย” ก็ใกล้สูญสลาย อาราเคียพยายามหวนนึกถึงดวงตะวันที่เคยยอมให้ตัวตนน่าขนลุกอย่างเธออยู่เคียงข้าง
เธอคนนั้นคือสัญลักษณ์แห่งความถูกต้อง เธอคือผู้มอบหมายให้แก่การถือกำเนิดของอาราเคีย
แต่แล้วอาราเคียก็ตัดสินใจเลิกอยู่เคียงข้างเธอคนนั้น เพื่อที่จะคงรักษาแสงที่เปล่งประกายของหญิงสาวเอาไว้
อาราเคียยอมฝืนทนต่อความเจ็บปวดเพื่อที่จะปกป้องรุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ ต่อให้แสงตะวันดังกล่าวจะไม่สาดส่องมายังตัวเธออีกแล้วก็ตาม
ทว่า พริสก้ากลับไม่ยอมใช้ดาบแสงตะวันสังหารอาราเคียในศึกตัดสินที่นครหลวงจักรวรรดิ
แถมพริสก้ายังยอมให้พรรคพวกของ “มหาภัยพิบัติ” จับตัวไปเป็นเชลยศึกเพื่อแลกกับความปลอดภัยของอาราเคียอีกต่างหาก
เนื้อแท้ของ “พริสก้า เบเนดิกต์” มิเคยแปรเปลี่ยน เธอผู้นั้นคือสัญลักษณ์แห่งตะวันทอแสงและตะวันตกดินของจักรวรรดิวอลลาเคียอย่างแท้จริง
. ในขณะที่จิตใจของอาราเคียคอยนึกถึงพริสก้าเพื่อคงรักษาตัวตนเอาไว้ ร่างกายที่กำลังจะถูกช่วงชิงไปของเธอก็กำลังอาละวาดอยู่ที่โลกภายนอก
ในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา “ก้อนศิลา” มุสเปลไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่ามนุษย์จะนำพลังของมันไปใช้เพื่อฆ่าฟันกันเองหรือใช้ทำคุณประโยชน์ มันนิ่งเฉยมาโดยตลอด
แต่พออาราเคียกลืนกินมุสเปลเข้าไป เจ้ามหาวิญญาณก็ได้สำแดงเดชออกมาเป็นครั้งแรกเพื่อปกป้องร่างต้นที่เป็นภาชนะแสนบอบบางมิให้เลือนหายไปตามสัญชาตญาณ
อาราเคียกลืนกินมุสเปลเข้าไปเพื่อบ่อนทำลายเป้าหมายของ “มหาภัยพิบัติ” และอีกไม่นานมหาวิญญาณคงจะเข้าใจเสียทีว่าอาราเคียต้องการทั้งดวงตะวันและอสนีบาตเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
ที่โลกภายนอกก็มีใครบางคนพยายามต่อสู้เพื่อหยุดยั้งอาราเคียอยู่ แต่ว่าคนๆ นั้นมันยังไม่พอ อาราเคียรู้ดีว่าตนโหยหาผู้ใด เธอต้องการ “อสนีบาต” ที่แท้จริง
. อาราเคีย: ――ฆ่าฉันที เซซิลุส
หลังจากที่เซซิลุสใช้ฝ่ามือคมมีดสะบั้นใส่เธอ อาราเคียก็ร้องขอเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่แสนเบาบางในขณะที่น้ำตาไหลออกมาเป็นสายโลหิต
แขนบอบบางที่อัดแน่นไปด้วยผลึกมนตราแท่งแหลมคมกระแทกเข้าใส่เซซิลุสจนร่วงหล่นจากฟ้า เขาถูกกระซวกหน้าอกจนเลือดไหลอาบท่วมกิโมโน
ทั้งความเจ็บปวด ทั้งความรู้สึกล้มเหลว ทั้งสัญญาณระดับความอันตรายของสถานการณ์ แค่นี้ก็น่าจะมากเพียงพอแล้ว
『■■!!』『■■■■』『■●■●■●■』『■■■■●●■■』『●●●■■■』『――■■』『●●●●●!!』『■■■●■●●■■●●』『●●……■』『●●■■●■■●●』『●■●■●■●■』『●●■●■●●●■■●――!』
เซซิลุส: ――ต้องขออภัยด้วย แต่รบกวนช่วยเงียบเสียงไปทีครับ!!
ปกติเซซิลุสไม่เคยตะเพิดให้ผู้ชมที่คอยส่งเสียงอยู่ในหัวของเขาให้เงียบเลย ที่ผ่านมาเขาใช้เสียงเหล่านั้นเป็นโมทิเวชั่น(แรงบรรดาลใจ)ด้วยซ้ำ
ทว่า เซซิลุสในตอนนี้กำลังต้องการความเงียบงันเพื่อไตร่ตรองคำขอจากหญิงสาวผู้คร่ำครวญ
เธอเอ่ยชื่อของเขาออกมาแท้ๆ แต่เซซิลุสกลับรู้สึกไม่อยากทำตามคำขอนั้นอย่างน่าประหลาด
. เซซิลุสทำการงอเข่าและม้วนตัวกลับมาลงจอดด้วยเท้าอย่างปลอดภัย จากนั้นเขาก็กระโจนตัวหลบหลีกเสาหินที่พุ่งตามลงมาจู่โจมอย่างต่อเนื่อง
เซซิลุสสัมผัสได้ว่า “เซซิลุส” ที่อาราเคียกล่าวถึง ไม่ได้หมายถึงตัวเขา(ในตอนนี้) เพราะงั้นเซซิลุสจึงขุ่นเคืองเป็นอย่างมากที่ตัวเขามิใช่บุคคลที่มอบความหวังให้แก่เธอ
กระนั้น ในซีนตัดสินใจที่สุดแสนสำคัญเช่นนั้น ก็ไม่มีทางที่นาม “เซซิลุส เซ็กมุนต์” จะไม่ได้สื่อถึงตัวเขาอย่างแน่นอน เพราะงั้น…
อัล: ――เซซิลุส! นี่นาย บาดแผลเป็นไง…
เซซิลุส: ตัดสินใจได้แล้วครับ คุณอัล
เซซิลุสเอ่ยเช่นนั้นพลางมัดรวบผมกลับเป็นหางม้าอีกครั้ง ต่อหน้าอัลที่กำลังชูดาบมังกรฟ้าจ่อคอตัวเองด้วยเหตุผลบางประการ
จากนั้นเซซิลุสก็เงยหน้าขึ้นไปเผยรอยยิ้มให้แก่หญิงสาว ――ไม่สิ เงยหน้าขึ้นไปเผยรอยยิ้มให้แก่ “นางเอก” ที่กำลังร่ำไห้และกล่าวต่อว่า…
เซซิลุส: ขอเหล่าผู้ชมบนสรวงสวรรค์เชิญรับชม ――ว่าโลกจะตัดสินใจเช่นไร
. จบตอน