“เซซิลุส เซ็กมุนต์” นั้นเป็น “นักอ่านดารา” เขาคือดารานำแสดงเด่นของโลกใบนี้ เขาคือตัวตนหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน
แต่ที่สำคัญสุด “เซซิลุส เซ็กมุนต์” ก็คือ “เซซิลุส เซ็กมุนต์” นั่นคือความจริงที่มิอาจแปรเปลี่ยนได้ ต่อให้ร่างของเขาจะถูกย้อนวัยให้เด็กลง
ไม่ว่าคนอื่นจะพูดถึงตัวเขาคนเก่าสมัยเป็นผู้ใหญ่ว่าอย่างไร เซซิลุสคนนั้นก็กลายเป็น “บีฟอร์ เซซิลุส” ไปแล้ว
ณ ปัจจุบัน มี “เซซิลุส เซ็กมุนต์” เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น
เซซิลุส: ขอเหล่าผู้ชมบนสรวงสวรรค์เชิญรับชม ――ว่าโลกจะตัดสินใจเช่นไร
เซซิลุสใช้เศษผ้ามัดรวบผมเป็นทรงหางม้าพลางป่าวประกาศให้ผู้ชมได้รับรู้ว่าเวทีกำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ซีนถัดไป
เซซิลุส: จะว่าไปแล้ว ทุกคนนี่ว่าง่ายกันกว่าที่คิดนะครับเนี่ย กลับมาจ้อกันเหมือนทุกทีเลยก็ได้ครับ
『●●■▼●■●!』『▼■■――』『■■■■■!!』『▲■■▲●●●■▲●●▲▼■●▲■■●●●』『●■●●■■■!』『――▲▼▲』『●●▲▼▲●●』『■●▲●■■●●▲■●! ●■●! ▲▼■!』『●●■■■▼●■――』
เสียงของเหล่าผู้ชมที่แสนคุ้นเคยกลับมาดังต่อทันที หลังจากที่เซซิลุสสั่งให้พวกเขาเงียบไปก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
เซซิลุส:――เห็นทีจะได้เวลาเอาคืนอีกฝ่ายที่ดูถูกเรากันแล้วนะครับ
อัล: ――เซซิ
ทันใดนั้นเองที่ประกายแสงพุ่งเจาะทะลุใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มของเซซิลุสเป็นรูต่อหน้าต่อตาอัล จนอีกฝ่ายขานชื่อเขาด้วยความแตกตื่น
ทว่า นั่นเป็นเพียงภาพติดตาเท่านั้น เนื่องจากเซซิลุสตัวจริงออกวิ่งไปก่อนแล้ว อัลจึงยั้งมือไว้ได้ทันก่อนที่จะกดดาบมังกรฟ้าบั่นคอตัวเอง
. ภาพติดตาของเซซิลุสเตือนอัลทิ้งท้ายให้ถอยไปห่างๆ ก่อนที่มันจะระเบิดออกพร้อมกับเสียงที่พึ่งดังตามมาทัน พื้นถนนหลายเมตรบริเวณนั้นถูกประกายแสงทำลายจนพินาศ
อัล: อุหวาาาา!?
เซซิลุสสร้างโรงละครจินตภาพขึ้นมาในสมอง โดยจินตนาการตัวเขาเองอยู่กลางเวที ถึงแม้ว่านักแสดงจะไม่เห็นทุกอย่างบนเวที แต่ก็ต้องรู้จักทุกซอกทุกมุมของเวทีอยู่เสมอ
เซซิลุสทำการเก็บข้อมูลจากสิ่งรอบข้าง ทั้งเสียงระเบิด เสียงร้องของอัล ตำแหน่งที่อัลยืนอยู่เมื่อครู่ ลักษณะการโจมตีของศัตรู
จากนั้นเขาก็ทำการจำลองตำแหน่งของสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาบนเวทีภายในหัวได้อย่างแม่นยำ โดยที่ไม่จำเป็นต้องหันกลับมามองเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่เซซิลุสทำอยู่คงสามารถเรียกได้ว่าเป็น “การขยายมุมมองจินตภาพภายในสมอง” ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสรรสร้างผลงานแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดให้โลกได้รับชม
ปัจจุบันรูปลักษณ์ของ “นางเอก(อาราเคีย)” กำลังบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ มีศิลาผลึกมนตรางอกออกจากแขนลามไปถึงไหล่ของเธอจนกลายเป็นปีกที่เปล่งประกาย
อีกสิ่งที่เด่นเตะตาก็คือวัตถุรูปร่างคล้ายสายสะพายเปล่งแสงที่ลอยอยู่ข้างกายของนางเอก ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือศิลามนตราที่ประกอบกันเป็นสายที่มีพื้นผิวแบนระนาบ
สายสะพายเวทมนตร์ที่กำลังแหวกว่ายอากาศคล้ายผ้าไหมที่ถูกลมพัดอันนี้ก็คือประกายแสงที่จู่โจมเซซิลุสก่อนหน้านี้นั่นเอง
. สายศิลาผลึกพุ่งแหวกห้วงอากาศเข้ามาหาเซซิลุสอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาหงายศีรษะหลบพลางใช้ลิ้นเลียสัมผัสสายศิลาผลึกที่มีรูปลักษณ์คล้ายขนมลูกกวาด
เซซิลุส: ――แผล่บ อย่างงี้นี่เอง รสชาติมันแปลกจริงแท้ เหมือนกับอัญมณีรึเปล่านะ?
ตอนที่พึ่งเริ่มต่อสู้ อาราเคียเน้นโจมตีด้วยการยิงเพลิงและแสง แล้วพอผ่านไปสักพัก เธอก็เปลี่ยนมาใช้เสาหินและอวัยวะที่สร้างจากดิน
พอถึงจุดไคลแมกซ์ อาราเคียก็ปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้เวทมนตร์อีกครั้ง เธอถึงได้มีเจ้าวัตถุประหลาดที่เป็นเหมือนกับสายสะพายอัญมณี
ปกติฝ่ามือคมมีดของเซซิลุสที่ใช้สะบั้นด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาดนั้นสามารถผ่าปราการเหล็กให้ขาดครึ่งได้เลย แต่มันกลับฟันอาราเคียไม่เข้าสักนิด
นั่นเพราะว่าอาราเคียในตอนนี้มีกลไกป้องกันตัวเองที่สร้างขึ้นจากอัญมณีที่มีระดับความแข็งสูงเป็นพิเศษ สรุปแล้ว นางเอกผู้เป็นคู่ต่อสู้ของเซซิลุสก็คือ…
เซซิลุส: ――เทพีแห่งมณีเพชร!!
อาราเคียเปิดฉากยิงสายเพชรจากปีกนางฟ้าเข้าใส่เซซิลุสทันที สายเพชรจำนวนทั้งหมด 12 เส้นกระหน่ำเข้ามาล้อมรอบเขาจากทุกทิศทาง
แค่โดนสายเพชรพวกนี้กระแทกเส้นเดียวก็ถึงตายแล้ว อาณาเขตรอบตัวเซซิลุสจึงกลายเป็นพื้นที่แห่งความตาย ไร้ซึ่งเส้นทางหนี ไม่ต่างจากการต้องหลบเม็ดฝนท่ามกลางวายุ
แต่แล้วเซซิลุสก็ยังอุตส่าห์แสดงทักษะหลบหลีกสายเพชรอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะอาศัยร่างกายเตี้ยแคระของเขาลอดหนีผ่านช่องว่างเล็กๆ ออกไปได้
เซซิลุสถือว่านั่นเป็นชัยชนะของร่างปัจจุบัน เพราะถ้าหากเป็นร่างผู้ใหญ่เขาคงหลบหนีด้วยวิธีเดียวกันมิได้
. เพื่อไม่ให้ผู้ชมเบื่อหน่ายไปเสียก่อน เซซิลุสทำการเกียร์เชนจ์(เปลี่ยนเกียร์)เพื่อปรับจูนคุณสมบัติของร่างกายตนเองต่อทันที
เซซิลุสเริ่มทำการคัต(ตัด)ประสาทรับรู้บางส่วนของตนที่ไม่จำเป็นต่อการต่อสู้ออกไป เช่น ความเจ็บปวด รสชาติ และกลิ่น
เขาตัดประสาทการมองเห็นสีจนเห็นโลกเป็นเพียงสีโมโนโครม(ขาวดำ) และตัดประสาทการแยกแยะเสียงบางส่วนออกจนไม่ได้ยินเสียงหัวใจตนเอง เสียงผู้ชม และเสียงระเบิดจากการโจมตีของศัตรูอีกต่อไป
ร่างกายของเซซิลุสเข้าสู่สถานะพร้อมต่อสู้อย่างเต็มตัว ในขณะจิตมุ่งอยู่ที่การประมวลความคิดเพื่อเปิดม่านของโรงละครมุมมองจินตภาพในสมอง
เซซิลุส: ――เอาล่ะ
ผลลัพธ์ของการเร่งความเร็วในการประมวลความคิดทำให้เซซิลุสเหมือนได้มองเห็นตัวเองที่กำลังดิ้นรนหลบสายเพชรจากมุมมองเบื้องบนภายในโลกที่ไร้สีสันและทุกอย่างอยู่ในสถานะสโลโมชั่น
แน่นอนว่าเซซิลุสไม่สามารถคงสถานะนี้ไว้ตลอดได้ เรื่องราวมันต้องดำเนินต่อไปข้างหน้าเสมอ ผู้ชมถึงจะรู้สึกบันเทิงเริงใจ
. เซซิลุสพยายามนึกให้ออกว่าอาราเคียมีความสัมพันธ์เช่นไรกับตัวเขา เพราะว่าเธอรู้จัก “บีฟอร์ เซซิลุส” อย่างแน่นอน แต่จะว่าเป็นแฟนคลับก็คงไม่ใช่
ไม่ว่าคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร เซซิลุสก็ไม่รู้สึกสนใจ “บีฟอร์ เซซิลุส” อยู่ดี เพราะว่าตัวเขาในปัจจุบันถูกแยกตัวตนออกมาเป็น “อาฟเตอร์ เซซิลุส” ไปแล้ว
และคุณนางเอกเธอก็มองว่า “บีฟอร์ เซซิลุส” กับ “อาฟเตอร์ เซซิลุส” เป็นคนละคนกันเช่นเดียวกับเขา
ตอนนั้นเองที่มี “อนาเธอร์เซซิลุส” ปรากฏตัวขึ้นมาอีกคนหนึ่ง บางทีสมองของเซซิลุสอาจจะสร้างตัวเขาอีกคนมาช่วยถกว่าจะแพลนการกำกับเรื่องราวต่อไปอย่างไรดี
เซซิลุส 1: เอาเหอะ คิดซะว่าเป็นผลลัพธ์จากการรับรู้ถึงทักษะเพ่งสมาธิที่เพิ่มขึ้น จนเห็นภาพตัวแทนของการเร่งความเร็วความคิดก็แล้วกัน ที่สำคัญกว่าคือตอนนี้เราควรถกเรื่องนางเอกกันนะครับ
เซซิลุส 2: แทนที่จะคุยเรื่องนางเอก เรื่องแสตนซ์(ท่าที)ของเธอที่มีต่อตัวผมน่าจะสำคัญกว่านะครับ อย่างกรณีบอสกับคุณทันซ่าที่แน่นอนว่ามองยังไงก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครสำคัญของเรื่องกับนางเอก เพราะมันขาดเคมิสทรี่(เคมี)ที่ไม่ได้มีด้วยกันมาแต่แรก
เซซิลุส 1: ถ้างั้นจะบอกว่าผมกับเธอคนนั้นมีเคมิสทรี่ร่วมกันงั้นเหรอ?
เซซิลุส 2: นั่นสิเนอะ แล้วไหงถึงได้ตัดสินใจเลือกเธอเป็นนางเอกแต่แรกล่ะ
เซซิลุส 1: อารมณ์พาไปแหละ
เซซิลุส 2: อารมณ์พาไปหรอกเรอะ~
สองเซซิลุสถกกันจนได้ข้อสรุปว่าอาราเคียเพรียกหา “บีฟอร์ เซซิลุส” เนื่องจากเธอไม่คิดว่า “อาฟเตอร์ เซซิลุส” มีความสามารถที่มากพอเฉกเช่นตัวเขาคนเดิม
เพราะงั้นสิ่งที่เซซิลุสคนปัจจุบันต้องทำก็คือการก้าวข้ามตัวเขาในอดีต ซึ่งทั้งสองเซซิลุสต่างก็เห็นพ้องต่อหลักการนั้น
. ในขณะที่เซซิลุสสองคนกำลังจะทะเลาะกันว่าใครคือดวงวิญญาณจริงที่จะได้กลับเข้าร่างหลัก เวลาในโลกจริงก็เดินต่อ ตัดจบการวิวาทไปอย่างรวดเร็ว
สายเพชรมรณะที่รุมจู่โจมเซซิลุสจากทุกทิศทางนั้นเคลื่อนไหวประหลาดเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต ราวกับว่าทั้ง 12 เส้นมีจิตใจเป็นของตัวเอง
ต่อให้ใช้ฝ่ามือคมมีดผ่า มือของเซซิลุสนี่แหละที่จะถูกเฉือนเสียเอง เพราะเจ้าสายเพชรเรืองแสงมันคมยิ่งกว่าดาบ “โอนิบามิ” แสนรักของโลอันเสียอีก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาราเคียคือศัตรูระดับฮาร์ด กระนั้นเธอก็ยังร้องขอให้เซซิลุสฆ่า
นั่นแปลว่าอาราเคียเชื่อมั่นว่าเซซิลุสคนเก่าสามารถหลบหลีกและฝ่าวงล้อมสายเพชรเหล่านี้เข้ามาสังหารเธอได้
แต่เซซิลุสในปัจจุบันนั้นคือ “เพอร์เฟค เซซิลุส” ที่สร้างขึ้นมาจากการผสานตัวตน “อาฟเตอร์ เซซิลุส” เข้ากับ “อนาเธอร์ เซซิลุส”
เซซิลุสแสดงความสามารถการเคลื่อนไหวทุกวิถีทางเพื่อหลบหลีกสายเพชร ทั้งเอียงคอหลบ บิดลำตัว ไขว้ขาสลับข้าง โน้มตัว ก้มต่ำ
เซซิลุส: นี่มันการเล่นพันด้ายด้วยแสงชัดๆ!
ตอนนั้นเองที่สายแสงมรณะทั้ง 12 เส้น ผสานรวมกันเป็นรูปร่างคล้าย “โตเกียวทาวเวอร์” แบบที่สุบารุเคยแสดงให้เซซิลุสเห็นผ่านการเล่นพันด้าย
สายเพชรแต่ละเส้นสร้างขึ้นจากมานาปริมาณมหาศาล มันจึงสามารถแยกส่วน รวมเข้าหากัน ยืดออก หรือกลับคืนสู่รูปร่างดั้งเดิมได้ดังใจ
. เซซิลุส: ผมจะต้องก้าวข้ามตัวผมเอง
ระหว่างที่กระโจนตัวข้าม “โตเกียวทาวเวอร์” เซซิลุสคนปัจจุบันก็ปฏิญาณที่จะแสดงผลงานสุดตระการตาเพื่อก้าวข้าม “บีฟอร์ เซซิลุส” ที่คงเน้นการแต่หลบหลีก
ตอนนั้นเองที่ “โตเกียวทาวเวอร์” ระเบิดออกเพื่อแยกส่วนออกจากกันและกลับคืนเป็นมานา
อาราเคียไม่รอช้า เธอใช้สายเพชรที่แยกส่วนใหม่กระหน่ำยิงซ้ำใส่เซซิลุสที่ลอยอยู่กลางอากาศจากเบื้องล่างต่อทันที
เซซิลุสจึงเปิดใช้มุมมองจินตภาพและทำการเกียร์เชนจ์เพื่อปรับจูนคุณสมบัติทั้งร่างของตนอีกครั้ง
การเห็นสี คงเดิมไว้ การได้ยิน คงเดิมไว้ ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดและการสัมผัส เปิดใช้งานใหม่ ในขณะที่ฉีกยิ้มยิงฟันออกมาเพื่อปิดบังอาการเจ็บแปลบ
จากนั้นเซซิลุสก็เริ่มมองหา “กุญแจ” จะนำพาเรื่องราวไปสู่หน้าต่อไปด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมจนยืดเวลา 1 วินาทีออกเป็น 100 วินาทีได้
เซซิลุส: ――เจอแล้ว
สิ่งที่เซซิลุสค้นพบหลังเพิ่มประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสสุดขีดคือก้อนหินเพียงก้อนเดียวที่ลอยขึ้นมากลางอากาศเนื่องจากแรงระเบิด
เขายืดปลายนิ้วเท้าไปสัมผัสมันและใช้หินก้อนนั้นเป็น “แท่นเหยียบ” เพื่อดีดตัวกลางอากาศ จนสามารถหลบหลีกสายเพชรได้พ้น
เซซิลุสทำการแสดงกายกรรมผาดโผนกลางเวหาที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์และสามัญสำนึก ด้วยการใช้ทั้งเศษไม้ เศษกระจก และก้อนขี้เถ้าเป็นแท่นเหยียบในการกระโจนตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
. สายเพชรทั้ง 12 ประกอบโครงร่างขึ้นมาใหม่ขณะที่ไล่ตามเซซิลุสขึ้นมาบนฟ้า พวกมันบิดม้วนรวมกันเป็นเกลียวและแยกส่วนปลายออกคล้ายปากของพืชกินแมลงที่เตรียมงับเหยื่อ
เซซิลุส: ตู้ม
ก่อนที่จะถูกกลีบของบุปผาเพชรเขมือบ เซซิลุสที่เร่งความเร็วจนได้ที่แล้ว ได้ทำการถีบเท้าใส่ “กำแพงเสียง” บนห้วงอากาศเพื่อดีดตัวกลับลงมาเบื้องล่าง
เนื่องจากเซซิลุสชัตเอาท์ประสาทการได้ยินของตัวเองไป เขาจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่อัลกับอาราเคียคงจะแสบแก้วหูจากปรากฏการณ์กำแพงเสียงระเบิด(โซนิคบูม)น่าดู
เซซิลุสลงถึงพื้นด้วยแรงกระแทกและความเร็วดุจอสนีบาตได้สำเร็จ แต่ต้องแลกกับการที่ขาขวาตั้งแต่ช่วงเข่าลงไปตกอยู่ในสภาพเละยับเยิน
กระนั้นเซซิลุสก็รู้สึกชื่นใจราวกับว่าผู้ชมกำลังกระหน่ำปรบมือสรรเสริญผลงานแสดงของตน เขาจึงฝืนทนลากเท้าก้าวเดินต่อไป
เซซิลุส: ――สิบก้าว
เซซิลุสคำนวณระยะห่างระหว่างตัวเขากับนางเอกบนท้องฟ้า จากนั้นกระโจนตัวก้าวแรกแบบยาวๆ เพื่อหลบกลีบบุปผาเพชรที่กระจายออกเป็นละอองเกสร
เซซิลุส: ――เก้าก้าว
มิติรอบข้างเซซิลุสบิดเบี้ยวก่อนที่เสาหินจะโผล่พรวดออกมา แต่เซซิลุสก็ยังใช้ขาขวาออกแรงดีดตัวลอดผ่านช่องว่างออกมาได้
เซซิลุส: ――แปดก้าว
ลูกบาศก์หินทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสหลายก้อนโผล่พรวดออกจากผืนดินและถูกเหวี่ยงเข้ามาหาเซซิลุส เขาจึงรีบใช้ขาซ้ายดีดตัวจากหนึ่งในลูกบาศก์ที่พุ่งเข้ามา
เซซิลุส: ――เจ็ดก้าว หกก้าว ที่เหลือข้ามไป!
“อาฟเตอร์ เซซิลุส” ตัดสินใจรีเซ็ตจำนวนก้าวใหม่เพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์นอกเหนือความคาดหมาย จากนั้นก็ร่นระยะห่างจนเกือบถึงศูนย์ในพริบตา
อีกเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็จะไปถึงนางเอกจอมดื้อรั้นที่ไม่อยากให้ผู้ใดเข้าใกล้นอกเสียจากเซซิลุสคนเก่าในความทรงจำของเธอแล้ว
. เซซิลุส: ――สองก้าว!!
เซซิลุสใช้ฝ่ามือคมมีดผ่าเสาหินที่ขวางทางอยู่ออก จากนั้นก็ใช้สัญชาตญาณคำนวณระยะห่างจากนางเอกที่ซ่อนตัวอยู่หลังสิ่งกีดขวางได้เป็น 10 เมตรอย่างแม่นยำ
ขณะที่เซซิลุสชื่นชมผลงานตัวเองด้วยการนึกภาพผู้ชมทำแสตนดิ้งโอเวชั่น(การยืนขึ้นปรบมือ)ภายในโรงละครจินตภาพ สายเพชรเรืองแสงทั้ง 12 ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
สายเพชรเริ่มแบ่งตัวออกเป็น 2 เท่า เริ่มจาก 24 เป็น 48 เป็น 96 เป็น 192 เป็น 384 และยังเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จนเซซิลุสยังยอมแพ้ที่จะนับจำนวน
สายเพชรเรืองแสงจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าดุจน้ำตก แถมเส้นทางหลบหนีของเซซิลุสยังถูกเสาหินขวางกั้นไว้หมดแล้ว
ถึงตาย หลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตาย หลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตาย หลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตาย หลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตาย หลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตาย หลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตาย หลีกเลี่ยงมิได้
กระทั่งสัญชาตญาณของเซซิลุสที่เพิ่มประสิทธิภาพประสาทสัมผัสถึงขีดสุดยังหาความเป็นไปได้อื่นไม่พบ หนทางเดียวที่เขาจะรอดไปได้ คือต้องไขว่คว้าปาฏิหาริย์เท่านั้น
ปาฏิหาริย์แบบเดียวกับที่ขาขวาของเขายังคงไม่ขาด ปาฏิหาริย์แบบเดียวกับที่เขายังไม่ตายจากแผลฉกรรจ์ที่หน้าอก ปาฏิหาริย์แบบเดียวกับที่เขายังคงมุ่งมั่นจะช่วยนางเอกผู้ร่ำไห้
และเมื่อเซซิลุสเอื้อมมือขึ้นไปบนฟ้าเพื่อไขว่คว้าปาฏิหาริย์ ก็มีอุปกรณ์ประกอบฉากหล่นลงมาเข้ามือเขาในจังหวะเวลานั้นพอดี
. อัลเดบารันต้องรีเซ็ตไปกว่า 12,288 ครั้ง กว่าที่เขาจะค้นพบบทบาทที่เหมาะสมกับตนบนเวทีแห่งนี้
ตั้งแต่ที่เซซิลุสมัดรวบผมเป็นทรงหางม้า ความเร็วของการต่อสู้ก็เร่งเกียร์สูงขึ้นไปอีก จนอัลหาโอกาสเข้าไปแทรกแซงไม่ได้อีกเลย
มิหนำซ้ำ พออาราเคียเปลี่ยนวิธีการโจมตีมาเป็น “สายเพชรเรืองแสง” ที่เฉียบคมขึ้นกว่าการปล่อยมานามั่วซั่วก่อนหน้า พลังทำลายของเธอก็รุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน
แค่ลูกหลงจากการโจมตีเพียงอย่างเดียวก็ฆ่าอัลที่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ตายไปเกิน 2,000 ครั้งแล้ว
แต่ครั้นจะทิ้งให้เซซิลุสรับมือคนเดียว เจ้าหนุ่มน้อยก็จะถูกสายเพชรสังหารก่อนไปถึงตัวอาราเคีย เพราะงั้นอัลถึงพยายามหาหนทางแทรกแซงสุดชีวิต
แล้วหลังจากที่ตายไปเป็นพันๆ รอบ อัลก็ค้นพบว่าถ้าหากเขารอดจากลูกหลงการโจมตีไปได้สักพัก เซซิลุสจะไปยืนอยู่ต่อหน้าอาราเคียแล้วชูมือขึ้นฟ้า
อัลต้องตายไปอีกเป็น 100 ครั้ง กว่าจะสังเกตเห็นว่านิ้วทั้ง 5 ของเซซิลุสกำลังกางอยู่ ไม่ได้ตั้งท่าเตรียมใช้ฝ่ามือคมมีดแบบสุดกำลังหรือกำหมัด
อัลลองคำนึงถึงความเป็นไปได้อื่นแล้ว เช่น เซซิลุสอาจจะเซอไพรส์อีกฝ่ายด้วยการใช้เวทมนตร์ แต่สุดท้ายมือของเซซิลุสก็นิ่งเฉยไม่ยอมทำอะไร
ร่างของเขาจึงถูกสายเพชรเรืองแสงที่แบ่งตัวออกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนหายไป พร้อมกับอัลที่โดนลูกหลงไปด้วย
. เนื่องด้วยความเร็วของการต่อสู้ อัลที่หาคำตอบไม่ได้เสียทีจึงสะสมจำนวนการตายพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
แถมอาราเคียกับเซซิลุสที่สู้กันอยู่ก็ไม่มีใครหันมาสนใจอัลด้วยซ้ำ เขาเป็นเพียงคนนอกที่มิอาจไปแทรกแซงการวิวาทของสองคนนั้นได้ แม้จะตายเป็นพันๆ ครั้ง
แต่แล้วอัลก็เริ่มคำนึงถึงความเป็นไปได้ใหม่จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของเซซิลุส ทุกวิธีการรับมือที่เซซิลุสงัดมาใช้ล้วนแต่เป็นการเก๊กเท่อวดผู้ชมทั้งสิ้น
อัลจึงได้ดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อเอาตัวรอดไปจนถึงช่วงเวลานั้น เพื่อหาวิธีเข้าใกล้ให้ได้มากพอ และเพื่อหาตำแหน่งยืนที่เหมาะสมในการขว้างสิ่งนั้นให้แก่เซซิลุส
อัล: ――ลุยเลย เจ้าดารานำแสดงเด่น
มันเป็นการดิ้นรนที่แสนยาวนานและยากลำบาก แต่ก็ไม่ได้มากเท่ากับจำนวนดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ดี เพราะงั้นถึงไม่มีใครจำเป็นต้องรับรู้เรื่องนั้นก็ได้
หลังจากผ่านไปกว่า 12,288 ครั้ง ในที่สุดอัลก็สามารถโยน “ดาบมังกรฟ้า” ไปเข้ามือเซซิลุสได้สำเร็จ
. ครั้งหนึ่ง “โกดังแลกของเถื่อน” ในนครหลวงลูกุนิก้าเคยเป็นสนามต่อสู้ระหว่าง “นักดาบเทวา” ไรน์ฮาร์ด วาน แอสเทรอา กับ “นักล่าเครื่องใน” เอลซ่า แกรนฮิลเต้
อาวุธที่ไรน์ฮาร์ดใช้ในศึกครั้งนั้นเป็นเพียงดาบคุณภาพต่ำที่ผลิตเป็นจำนวนมาก แต่เขากลับสามารถใช้มันในการปล่อยสุดยอดวิชาดาบซึ่งทำให้ศึกรู้ผลออกมาได้
แน่นอนว่าดาบคุณภาพต่ำย่อมมิอาจทนรับการใช้วิชาดาบจากมือไรน์ฮาร์ดได้ มันจึงสลายกลายเป็นผงหลังตวัดไปเพียงเพลงดาบเดียว
กระนั้น หากเทียบกับการถูกแขวนอยู่ในโกดังเก่าๆ ให้ฝุ่นเกาะหรือสนิมเขรอะแล้ว การแหลกสลายไปในมือของ “นักดาบเทวา” อาจจะดีต่อดาบทื่อๆ เล่มนั้นกว่า
ดังนั้น ถ้าหากไรน์ฮาร์ดสามารถเปลี่ยนดาบดาษดื่นเล่มหนึ่งให้กลายเป็นอาวุธสุดทรงพลังได้ แปลว่านักดาบที่มีฝีมือทัดเทียมกับเขาย่อมสามารถทำได้เช่นกัน
. เซซิลุส: ――สุดยอดเลยครับ คุณอัล
เซซิลุสจินตนาการไม่ออกเลยว่าอัลต้องก้าวข้ามอุปสรรคที่ดูเป็นไปไม่ได้มากมายขนาดไหนกว่าที่จะส่งดาบมังกรฟ้ามาเข้ามือเขาในจังหวะพอดิบพอดี
เบื้องหน้าของเซซิลุสคือประกายแสงแห่ง “ความตาย” ที่ร่วงกระหน่ำลงมาดุจฝนดาวตกที่แสนงดงาม
ผู้ชมบางคนอาจจะมองว่านั่นคือฉากตายที่เหมาะสมกับยอดนักแสดงอย่างเซซิลุส แต่สำหรับเจ้าตัวเองนั้น มันยังไม่ถึงเวลา นี่มิใช่ฉากปิดม่านที่เขาจินตนาการเอาไว้
เซซิลุส: เอนดิ้ง(ฉากจบ)แบบนั้นน่ะขอเขียนแก้ใหม่นะครับ
ดาบมังกรฟ้ามีขนาดค่อนข้างใหญ่หากเทียบกับขนาดตัวเขา กระนั้นเซซิลุสกลับสามารถตวัดดาบด้วยทักษะที่ช่ำช่องราวกับเคยใช้งานมันมาเป็นล้านรอบ
สาเหตุคือวินาทีที่เซซิลุสสัมผัสดาบมังกรฟ้า เขาก็ได้เปิดใช้งานโรงละครมุมมองจินตภาพเพื่อฝึกฝนกวัดแกว่งดาบทั้งวันทั้งคืนจนแทบสำลักเลือดจากปาก
แต่แทนที่จะเล่าช่วงเวลาน่าเบื่อเหล่านั้น เซซิลุสขอข้ามไปเล่าผลลัพธ์เลยดีกว่า
. ประกายอัสนีที่เหนือกว่าขีดจำกัดของดาบมังกรฟ้าถูกฟาดฟันออกมาปัดเป่าฝนดาวตกที่ร่วงกระหน่ำลงมา พร้อมกับเสาหินที่ขวางทางหนีของเซซิลุสก่อนหน้านี้
ณ วินาทีนี้ เพลงดาบของเซซิลุสได้ก้าวข้าม “ผู้เสพวิญญาณ” อาราเคีย รวมถึง “ก้อนศิลา” มุสเปล ผู้เป็นดั่งผืนปฐพีแห่งจักรวรรดิวอลลาเคียทั้งมวล
ดวงตาของเซซิลุสกับอาราเคียจดจ้องกันชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะยิงสายเพชรเส้นที่ 13 ซึ่งเก็บซ่อนไว้เป็นไพ่ตายออกมา
กระนั้นเซซิลุสก็ยังอุตส่าห์เอียงคอหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด จึงมีแค่ส่วนติ่งหูข้างขวาเท่านั้นที่ถูกกระซวกหายไป
เซซิลุส: ――หนึ่งก้าว
เซซิลุสใช้ขาซ้ายดีดตัวขึ้นไปหาอาราเคียบนฟ้าด้วยความเร็วดุจสายฟ้า แต่แล้วสายเพชรที่เขาหลบไปเมื่อครู่กลับระเบิดออกและส่งแรงกระแทกมาโดนศีรษะ
. เมื่อได้สติอีกที เซซิลุสก็มาโผล่ที่ห้องทำงานซึ่งมีแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้ามา ที่จริงตัวเขาเป็นคนความทรงจำดีแท้ๆ แต่กลับไม่คุ้นเคยกับห้องนี้เลย
เซซิลุสยังคงจำเหตุการณ์ก่อนหน้าได้ว่าเขาพึ่งใช้ดาบมังกรฟ้าฟันสวนห่าฝนสายเพชรของอาราเคียจนดาบของอัลสลายไป งานนี้คงต้องไปขอให้สุบารุช่วยชดเชยค่าเสียหาย
ตอนนั้นเองที่ “เซซิลุส” ในวัยผู้ใหญ่เดินเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยชายในอาภรณ์สีขาวทั้งตัวซึ่ง “เซซิลุส” วัยผู้ใหญ่เรียกเขาว่า “จิชา” อย่างสนิทสนม
เซซิลุสคนปัจจุบันไม่สามารถสื่อสารหรือสัมผัสตัวสองคนในห้องได้เลย เขาจึงได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่ตนเห็นอยู่คือความทรงจำของ “เซซิลุส” คนเดิม
ถึงแม้ว่าเขาจะมองตัวเองคนเก่าเป็นไรวัล(คู่แข่ง)ที่อยากก้าวข้าม แต่เซซิลุสก็ภูมิใจที่ตนเองในอนาคตเติบโตมาหล่อเหลาและดูดีสมเกียรติดารานำแสดงเด่น
การที่เซซิลุสสามารถเห็นความทรงจำนี้ได้ แปลว่าความทรงจำของเซซิลุสคนเก่าไม่ได้หายไป มันแค่เพียงถูกปิดผนึกไว้เท่านั้น
สรุปคือเนื่องจากเซซิลุสในโลกจริงกำลังจะตาย สมองของเขาเลยพยายามดึงความทรงจำบางส่วนกลับคืนมา เพื่อหาหนทางโกงความตาย
แสดงว่าสมองอาจจะอยากให้เขาได้เห็นตอนที่ตนเองถูกจิชา “ย้อนวัย” เผื่อว่าจะมีคำใบ้ถึงวิธีการกลับคืนเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นอะไรที่เห่ยมากในมุมมองเซซิลุส
เนื่องจากว่าการกลับเป็นผู้ใหญ่ก็เท่ากับการยอมแพ้ที่จะก้าวข้ามตัวเองคนเก่าและทำให้แอสซิส(การช่วยเหลือ)ของอัลที่เล่นบทบาทสมทบได้อย่างยอดเยี่ยมเกินคาดต้องสูญเปล่า
. อ่านต่อพาร์ท 2