“โอลบาร์ต ดันคลูเคน” ที่แอบแทรกซึมเข้าไปในพระราชวังแก้วผลึกทำการจี้สกัดจุดใส่กลางลำตัวผีดิบที่เขาพบ ซึ่งทำให้เหยื่อทรุดตัวลงโดยไม่มีการส่งเสียงร้อง
โอลบาร์ตใช้แขนข้างเดียวที่เหลืออยู่รองรับร่างของผีดิบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียงดัง จากนั้นก็ใช้นิ้วเท้าแตะไปที่กำแพงหิน
พอกำแพงหินที่สัมผัสเกิดการกระเพื่อมคล้ายผิวน้ำ ตาเฒ่าก็ทำการดันร่างของผีดิบให้กำแพงดูดเข้าไปกลบฝังอยู่ภายใน
ร่างกายที่ไม่มีเลือดไหลเวียนของพวกผีดิบมันง่ายต่อการเก็บกวาดมาก แต่ปัญหาคือถึงจะฆ่าไป ผีดิบก็คืนชีพกลับมาแทบจะทันทีได้อยู่ดี
แถมผีดิบที่คืนชีพยังมีความทรงจำก่อนตายติดตัวมาด้วย การสังหารพวกผีดิบมั่วซั่วจึงเป็นการช่วยให้ฝั่งศัตรูแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ง่ายขึ้น
ตลอดชีวิตการทำหน้าที่ชิโนบิ เป้าหมายสังหารส่วนใหญ่ของโอลบาร์ตคือพลสอดแนมและผู้ส่งสาร เขาจึงรู้ดีว่าข่าวสารคือปัจจัยสำคัญเพียงใดในศึกสงคราม
ศัตรูที่ไม่สามารถฆ่าทิ้งเพื่อขัดขวางการส่งผ่านข้อมูลเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมาก
แต่ที่จริงชิโนบิเองก็มีวิชาระเบิดร่างตัวเองทิ้งตอนตายแล้วใช้สีควันจากการระเบิดส่งข้อความลับให้พรรคพวกอยู่ด้วย จึงเรียกได้ว่าศีลเสมอกันในแง่นี้
สรุปแล้ว การฆ่าผีดิบมีแต่ข้อเสีย โอลบาร์ตจึงเลือกจี้สกัดจุดให้เป็นอัมพาตแล้วฝังผีดิบกว่า 50 ตัวไว้ในกำแพงพระราชวัง
เพราะตราบใดที่ “แมลงแกนกลาง” ยังไม่ถูกทำลาย พวกผีดิบก็ไม่ขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้ว เคราะห์ดีที่พวกมันยังอุตส่าห์มีจุดสกัดตรงกับร่างกายมนุษย์อยู่
. โอลบาร์ตสังหรณ์ใจว่าตัวการใหญ่ฝั่งศัตรูเลือกวอลลาเคียเป็นเป้าหมายหลังจากกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วว่าวิธีการของตนเห็นผลชะงัดกับประเทศนี้มากที่สุด
ทำให้ผีดิบคืนชีพกลับมาในดินแดนที่แผ่นดินมีประวัติการรบราฆ่าฟันมาอย่างยาวนาน แถมการฆ่าศัตรูที่เป็นผีดิบไปเรื่อยๆ รังแต่จะทำให้ประเทศจบสิ้นลง
แผนการของศัตรูรังสรรค์มาเพื่อแก้ทางวิถีชาวจักรวรรดิอย่างชัดเจน โอลบาร์ตจึงต้องเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวังที่สุดภายในฐานทัพใหญ่ของศัตรู
ปัจจุบันร่างเงาผู้สังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วน ประมุขแห่งชิโนบิ กำลังลอบเร้นอยู่ภายในพระราชวังแก้วผลึก โดยที่กระทั่ง “คำสาปแห่งหนาม” ยังหาตัวเขาไม่เจอ
ภารกิจหลักของโอลบาร์ตคือการเก็บข้อมูลภายในพระราชวังแก้วผลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งของ “สฟิงซ์” ผู้เป็นตัวการใหญ่เบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ”
รวมถึงการปลดปล่อย “มนุษย์โลหะ” โมโกร ฮากาเนะ ที่น่าจะถูกศัตรูคุมขังไว้ และตามหา “ดาบอสูร” กับ “ดาบมายา” เพื่อนำมาคืนให้แก่เซซิลุส
. โอลบาร์ตมองว่าการตามหาคาตานะทั้งสองเล่มของเซซิลุสไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจาก “ดาบอสูร” เผ่นหนีไปแล้ว ส่วน “ดาบมายา” ก็ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่ซ่อน
ตาเฒ่าจึงจดจ่ออยู่ที่การตามหาตัวสฟิงซ์ เพื่อจับกุมเธอแล้วลากตัวกลับไปให้สุบารุกับสปิก้ากำจัดทิ้ง
ทว่า โครงสร้างภายในของพระราชวังถูกเวทมนตร์บางอย่างดัดแปลงจนตำแหน่งของห้อง ขนาดของประตู และลักษณะของโถงทางเดินเปลี่ยนไปหมดเลย
สุบารุที่เสนอแผนให้โอลบาร์ตมาสอดแนมที่นี่ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว โอลบาร์ตจึงประเมินว่าสายตาเฉียบแหลมของเขาอาจจะเป็นภัยในอนาคต
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างวอลลาเคียกับลูกุนิก้าจะเป็นอย่างไร หลังจากที่ “มหาภัยพิบัติ” จบลง ยิ่งไม่มีจิชาอยู่เคียงข้างวินเซนต์แล้วด้วย
โอลบาร์ตยังคงทึ่งและเคืองไม่หายที่จิชาสามารถใช้ทักษะ “ละครโน” ขโมยวิชาหดร่างของโอลบาร์ตไปใช้และยังสวมรอยเป็นวินเซนต์ได้
ถึงแม้โอลบาร์ตจะชื่นชอบการขโมยวิชาของผู้อื่น แต่ตัวเขาก็เกลียดการถูกขโมยวิชาเสียเองเช่นกัน
เนื่องจากตาเฒ่ามองว่าคนหนุ่มสาวควรจะเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้แก่โลก มิใช่เอาแต่ลอกเลียนแบบคนแก่ที่ศักยภาพมาถึงทางตันแล้ว
. อีกเรื่องที่น่าทึ่งคือการที่จิชาสามารถเดินหมากเพื่อสร้างสถานที่วินเซนต์มีชีวิตรอดอยู่ต่อไปโดยที่โอลบาร์ตยังคงภักดีต่อเขาได้สำเร็จ
ปณิธานสูงสุดของโอลบาร์ตคือการจารึกชื่อของเขาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของวอลลาเคียด้วยผลงานที่มิอาจเทียบเคียงได้
ในฐานะชิโนบิที่ทำทุกสิ่งตามที่ผู้อื่นสั่งมาตลอดชีวิตอันยาวนานเกือบ 100 ปี โอลบาร์ตอยากที่จะทำสิ่งตรงกันข้ามกับบทบาทของชิโนบิในบั้นปลายชีวิตของเขา
แทนที่จะตายจากไปเยี่ยงเงามืดที่ไร้ตัวตน โอลบาร์ตอยากที่จะเป็นผู้สังหาร “จักรพรรดิปราชญ์” วินเซนต์ วอลลาเคีย เพื่อสร้างตำนานทิ้งท้ายเอาไว้
ทว่า เนื่องจากวิกฤติการณ์ “มหาภัยพิบัติ” ในปัจจุบัน การหักหลังวินเซนต์ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจนมุมอยู่แล้วมันช่างไร้ความหมาย
ต้องรอให้วิกฤติการณ์จบสิ้นลงก่อน แถมต้องให้จักรวรรดิฟื้นฟูกลับมา โดยที่ไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเขาจะอายุยืนถึงป่านนั้นไหม โอลบาร์ตจึงยอมซูฮกจิชาจากใจจริง
. โอลบาร์ตรุกล้ำเข้ามาจนพบประตูบานใหญ่ที่ปกติมีห้องบัลลังก์อยู่ด้านหลัง ประตูบานนั้นทำให้สัญชาตญาณสองอย่างในร่างของตาเฒ่าตีกัน
สัญชาตญาณดิบร้องเตือนให้เขาไม่ควรเปิดประตู แต่ลางสังหรณ์ในฐานะชิโนบิอาวุโสมันบอกโอลบาร์ตว่าสิ่งที่สำคัญต่อภารกิจแทรกซึมอยู่หลังบานประตูนี้
อาจจะเป็นได้ทั้งสฟิงซ์ โมโกร คาตานะ หรือไม่ใช่อะไรสักอย่างในบรรดานี้เลยก็ได้
โอลบาร์ตเลือกที่จะไม่เปิดบานประตูเข้าไปโดยตรง แต่อ้อมไปตามโถงทางเดิน ออกไปนอกหน้าต่าง แล้วไต่กำแพงไปจนถึงบริเวณที่ห้องบัลลังก์เคยถูกเจาะเป็นรู
โอลบาร์ต: ――เฮ้ยๆ นี่ขนาดตัวข้ายังไม่เคยทำอะไรที่มันเลยเถิดขนาดนี้เลยน้อ
เมื่อประมุขแห่งชิโนบิ “ผู้เฒ่าอำมหิต” แอบมองผ่านรูที่กำแพง เขาก็ได้เห็นผลงานของ “แม่มด(สฟิงซ์)” ในห้องบัลลังก์ที่ทำให้ตนรู้สึกสะอิดสะเอียน
. สถานะของพวกผีดิบนั้นไม่ต่างอะไรจากนักโทษที่ดวงจิตถูกเรียกกลับมาอย่างผิดธรรมชาติและถูกบังคับให้ทำลายจักรวรรดิที่ตนเคยอาศัยอยู่
ยิ่งมีการปรับแต่งจิตใจให้นิสัยต่างไปจากเดิมมากเท่าไร ก็ยิ่งสั่งการผีดิบได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ก็มีข้อเสียคือผีดิบที่กลายเป็นตุ๊กตาโดยสมบูรณ์ย่อมแสดงศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่
เพราะงั้นสฟิงซ์จึงไม่ปรุงแต่งนิสัยของ “จักรพรรดิพุ่มหนาม” และ “มือปืนกระสุนมนตรา” มากนัก เพื่อคงทักษะการต่อสู้ไว้ดังเดิม โดยยอมแลกกับการที่พวกเขามีเจตจำนงเสรีระดับหนึ่ง
นอกจากจำพวกนักรบผู้แข็งแกร่งแล้ว ก็ยังมีผีดิบบางตนอย่าง “ลาเมีย ก็อดวิน” ที่ยอมให้ความร่วมมือกับสฟิงซ์อย่างโดยดีแต่แรก เธอจึงไม่ถูกปรับแต่งนิสัย
ส่วนผีดิบตัวอื่นๆ นอกจากนี้ล้วนแต่กลายเป็นของเล่นที่ถูกย่ำยีความปรารถนา คุณธรรม และความเชื่อในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่จนเละเทะ
“เจ้าสิ่งนั้น” ที่พวกสุบารุกำลังเผชิญหน้าอยู่ก็ไม่ต่างกัน มันถูกช่วงชิงเจตจำนงเสรี ถูกส่งไปต่อสู้จนพังทลายเยี่ยงเครื่องมือ
และไม่ว่าจะต้องเผชิญกับ “ความตาย” กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ดวงจิตของ “เจ้าสิ่งนั้น” ก็ยังคงถูกเรียกกลับมาสิงภาชนะสร้างจากดินร่างใหม่อยู่เรื่อยๆ
. มันช่างน่าอนาถใจที่ “เจ้าสิ่งนั้น” มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการกลายเป็นผีดิบตามที่สฟิงซ์ต้องการทุกประการ
ทักษะต่อสู้พอใช้ได้ เป็นพวกคลั่งไคล้การต่อสู้ แถมช่วงสุดท้ายของชีวิตยังเต็มไปด้วยความเสียใจและความเกลียดชังอันแรงกล้า
โทสะกลายเป็นแรงผลักดันหลักให้ “เจ้าสิ่งนั้น” คืนชีพกลับมาอาละวาดเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าดวงจิตจะฉีกขาดจนลืมเลือนรูปลักษณ์ของร่างกายตัวเองไปแล้ว
มันจึงกลายเป็นตัวตนอัปลักษณ์ที่แขนขางอกยาวมั่วซั่ว ส่วนลำตัวเหนือเพียงผิวหนังบางๆ และกระดูก เป็นได้แค่อสุรกายที่จะถูก “แม่มด” ใช้งานจนกว่าความปรารถนาของนางจะกลายเป็นจริง
ดังนั้น “เจ้าสิ่งนั้น” จึงมีความปรารถนาเหลืออยู่เพียงแค่สิ่งเดียว คือการถล่มจักรวรรดิให้ราบเป็นหน้ากลอง เพื่อที่ตนจะได้ถูกปลดปล่อยจากวังวนนี้
. วินเซนต์: ――อิซเมลแห่ง “เนตรยักษ์”
ตอนนั้นเองที่ “เจ้าสิ่งนั้น” ได้ยินเสียงเรียกที่ทำให้เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะ ซึ่งเปิดจังหวะให้เด็กน้อยสองคนพุ่งเข้ามาสัมผัสส่วนลำตัวของมัน
สุบารุ: อิซเมล!
สปิก้า: อิอาอาอิอาอู(ขอทานล่ะนะคะ)
บางสิ่งที่สำคัญถูกช่วงชิงออกไป แต่มันทำให้แรงกระตุ้นและเหตุผลต่างๆ ที่บังคับให้ “เจ้าสิ่งนั้น” อาละวาดเลือนหายไปด้วยเช่นกัน
สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ภายในภาชนะที่บิดเบี้ยวคือปณิธานที่อยากที่จะทิ้งร่องรอยไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เพื่อทำให้เผ่าพันธุ์ภาคภูมิใจ
ตัวตนในฐานะ “เนตรยักษ์” อิซเมล ยังมิได้เลือนหายไป มันยังคงหลงเหลืออยู่ภายในดวงจิตที่ฉีกขาดยับเยินของเขา
และผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของอิซเมลก็คือชายผมดำผู้มีสายตาเฉียบคมและใบหน้าหล่อเหลา นั่นแปลว่าผู้นำสูงสุดแห่งจักรวรรดิวอลลาเคียยังอุตส่าห์จดจำอิซเมลได้
อิซเมล: ――เกียรติภูมิแห่งหมาป่าดาบ ท่านองค์จักรพรรดิ
. ด้วยการประสานงานระหว่างจามาลที่คอยปัดป้องแขนที่หลอมรวมกับขวาน สุบารุและเบียทริซที่คอยใช้เวทมนตร์เร่งความเร็ว และสปิก้าที่คอยสกัดการโจมตี
พอจังหวะได้ที่ วินเซนต์ก็ประกาศชื่อของ “อิซเมล” ออกมาให้สุบารุกับสปิก้าเข้าไปเผด็จศึกด้วยอำนาจ “กินดารา”
สุบารุเลือกที่จะเชื่อมั่นในวินเซนต์ผู้ไม่เคยขานชื่อของผีดิบเลยสักครั้ง ต่อให้ร่างกายอีกฝ่ายจะบิดเบี้ยวไปจากเดิมแค่ไหน อำนาจของสปิก้าก็น่าจะยังคงได้ผล
อิซเมลกล่าวอะไรสักอย่างที่พวกสุบารุฟังไม่รู้ออกมาทิ้งท้าย ก่อนที่ร่างกายอัปลักษณ์ของเขาจะสลายกลายเป็นฝุ่นไป
เท่านี้ยอดนักรบแห่งเผ่าตาเดียว “เนตรยักษ์” อิซเมล ก็หลุดพ้นจากวังวนนรกแห่งการฟื้นคืนชีพเป็นผีดิบเสียที
เบียทริซคาดเดาว่าที่อิซเมลตกอยู่ในสภาพผิดปกติเช่นนี้ คงเป็นเพราะเขาถูก “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” คืนชีพกลับมาหลายครั้งเกินไป
สุบารุยังคงอึ้งที่วินเซนต์สามารถระบุชื่อของอิซเมลที่รูปลักษณ์บิดเบี้ยวได้ ซึ่งฝั่งวินเซนต์ตอบแค่ว่าตัวเขาจำเป็นต้องรู้จักนักรบที่แข็งแกร่งภายในประเทศไว้ทุกคน
. สุบารุมองขึ้นฟ้าไปเห็นภูเขาน้ำแข็งที่รอสวาลวานให้เอมิเลียช่วยสร้างกำลังร่วงลงมาจากฟ้ากับเมฆที่หมุนวนมารวมกัน
นอกจากนั้นเขายังได้เสียงสายฟ้าคำรนและมองไปเห็นคมดาบที่ผ่าอาคารบ้านเรือนจนแยกอีกด้วย ชัดเจนว่าการต่อสู้ของแต่ละที่ล้วนแต่เข้าสู่ช่วงดุเดือดกันแล้ว
ทั้ง “มือปืนกระสุนมนตรา” “คำสาปแห่งหนาม” และ “มังกรเมฆา” ล้วนแต่เป็นภัยคุกคามร้ายแรง แต่สุบารุได้จัดสรรกำลังรบอย่างเหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละที่แล้ว
มีเพียงแค่เอมิเลียกับทันซ่าที่สุบารุยังไม่ได้ตรวจสอบผลลัพธ์ให้ชัดเจนดีพอ เขาจึงอดเป็นห่วงทางฝั่งสองคนนั้นไม่ได้
ทีแรกสุบารุนึกว่ากลุ่มพวกตนที่ขาดเอมิเลียไปจะรับมืออิซเมลร่างกลายพันธุ์ไม่ไหว แต่ทุกคนก็ร่วมแรงกันเอาชนะมาได้
ที่สำคัญคือจามาลแสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมเกินคาดมาก สุบารุจึงอนุมานว่าสถานการณ์เสี่ยงตายอาจจะช่วยให้จามาลเลเวลลิ่ง(อัพเลเวล)แบบก้าวกระโดด
. สุบารุตั้งใจจะไปสืบเสาะความคืบหน้าของสนามรบแห่งอื่น เพื่อรวบรวมข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูปนี้และในอนาคต
สุบารุ: อีกเดี๋ยวสถานการณ์ศึกคงจะเปลี่ยนแล้ว ถ้าเกิดคุณฮาลิเบลทำสำเร็จล่ะก็ เส้นทางเข้าใกล้พระราชวังแก้วผลึกน่าจะเปิดออก จากนั้นก็――
สฟิงซ์: ――อย่างนี้นี่เอง ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดเหลือเกินนะคะเนี่ย ‘สังเกต’ จำเป็นค่ะ
แต่แล้วตอนนั้นเองที่เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นมา พวกสุบารุหันกลับไปเห็นสฟิงซ์กำลังใช้นิ้วเขี่ยเศษซากของอิซเมลซึ่งร่างกายสลายไปเพราะอำนาจ “กินดารา”
สุบารุ: ――อึก แกมัน
สฟิงซ์: เท่าที่เห็น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแมลงที่เป็นแกนกลางโดยตรงนะคะเนี่ย แมลงไม่มีอะไรให้เกาะเป็นกาฝากเลยตายไป… สูญเสียดวงจิตเหรอ? ช่วงชิง ปล้นชิง ถอนคืน… น่าสนใจมากเลยค่ะ
ผู้บงการเบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ” สฟิงซ์ทำการเลียชิมเศษผงจากซากอิซเมลพลางวิเคราะห์สถานการณ์อย่างไม่ทุกข์ร้อน
เนื่องจาก “มือปืนกระสุนมนตรา” และ “คำสาปแห่งหนาม” เป็นอุปสรรคที่ทำให้พวกสุบารุไม่สามารถเข้าใกล้พระราชวังแก้วผลึกได้
สุบารุถึงได้วานให้โอลบาร์ตย่องเข้าไปตรวจสอบฐานทัพใหญ่ของศัตรูล่วงหน้าก่อน ระหว่างที่พวกสุบารุคอยเก็บกวาดผีดิบรอบๆ เมืองไปพลาง
ทว่า สุบารุไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าตัวการใหญ่อย่างสฟิงซ์จะมาปรากฏตัวที่นี่ด้วยตัวเอง
. สุบารุรีบตั้งสติแล้วกุมมือของเบียทริซกับสปิก้าเอาไว้ จริงอยู่สฟิงซ์ผู้กลายเป็นผีดิบสามารถ “หนีจากความตาย” ได้ แต่นั่นก็ทำให้เธอแพ้ทาง “กินดารา” เช่นกัน
สรุปคือ สุบารุมีโอกาสที่จะจบศึกครั้งนี้ลงตั้งแต่ตอนนี้เลย ถ้าหากว่าเขาสามารถใช้อำนาจ “กินดารา” เล่นงานสฟิงซ์ได้
สุบารุ: สฟิ…
สฟิงซ์: สิ่งที่จำเป็นคือ “ชื่อ” และ “ดวงจิต” ของเป้าหมายที่เข้าคู่กัน แปลกใจเลยค่ะที่ใช้กระทั่งอำนาจบาป “ตะกละ” ด้วย ‘มาตรการรับมือ’ จำเป็นค่ะ
การวิเคราะห์อย่างแม่นยำของสฟิงซ์ทำให้สุบารุเผลอกลืนน้ำลายและอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น
สฟิงซ์อาศัยช่องโหว่เพียงน้อยนิดนั้นชี้นิ้วยิงลำแสงความร้อนหมายเจาะทะลุศีรษะของสุบารุกับสปิก้าไปพร้อมๆ กัน
จามาล: ――บ้ารึไงวะ
ตอนนั้นเองที่จามาลกระโจนตัวเข้ามาขวางลำแสงด้วยดาบคู่ แน่นอนว่าดาบของเขาไม่สามารถกันเวทมนตร์ได้ ลำแสงจึงเจาะทะลุลำตัวของจามาลจนสุบารุได้กลิ่นเนื้อไหม้
. จบตอน