webnovel arc8 chapter59 part1

บทที่ 8 ตอนที่ 59 "สฟิงซ์" พาร์ท 1

“สฟิงซ์” คือผลลัพธ์ที่ล้มเหลวจากการทดลองสร้างร่างภาชนะเพื่อย้ายดวงจิตที่คัดลอกขึ้นมาของ “แม่มดแห่งโลภะ”

สาเหตุหลักที่ล้มเหลวก็เนื่องจากว่าร่างกายของ “ริวซู เมย์เอล” ที่เป็นต้นแบบของภาชนะดันไม่สามารถรองรับดวงจิตของแม่มดแห่งโลภะได้

ในฐานะแม่มดเทียม จุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ของสฟิงซ์คือการทำให้เป้าประสงค์ดั้งเดิมของผู้สร้างบรรลุผล ซึ่งก็คือการกลายเป็น “แม่มดแห่งโลภะ” ที่สมบูรณ์

เพื่อการนั้นแล้ว สัตว์ประหลาดที่ถือกำเนิดจากความผิดพลาดตัวนี้จึงได้พยายามนำพาภัยพิบัติมาสู่โลกอยู่หลายครั้งหลายครา

. ตัดกลับมาปัจจุบัน

จามาล: ――บ้ารึไงวะ

จามาลที่เข้ามาผลักพวกสุบารุถูกเวทลำแสงของสฟิงซ์ยิงทะลุทั้งใบดาบและลำตัวของเขาในคราเดียวจนร่างล้มฟุบลง

สุบารุ: ――จามาล!

สฟิงซ์: เป้าหมายที่เล็งไว้รอดไปได้งั้นเหรอ กระนั้น ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่รับมือต่อได้ค่ะ

ทุกสายตาจดจ้องไปที่สฟิงซ์อย่างระแวดระวัง ระหว่างนั้นเบียทริซก็พยายามเรียกสติสุบารุที่มัวแต่จดจ่ออยู่กับสภาพเจ็บปางตายของจามาล

สฟิงซ์: นึกว่าคุณเป็นสิ่งแปลกปลอมที่จะทำให้แผนการของฉันผิดพลาดเสียอีก คิดผิดไปเองสินะคะ?

เบียทริซตัดสินใจเรียกสปิก้าไปรุมสฟิงซ์ด้วยกันก่อนโดยไม่รอสุบารุ ในขณะที่สปิก้ากระโจนตัวเข้าประชิด เบียทริซก็สร้างลูกศรผลึกขึ้นมาดักทางหนีของสฟิงซ์จากทุกทิศทาง

สฟิงซ์: เอล จิวาลด์

สฟิงซ์ร่ายมนตร์สร้างดาบแห่งแสงขึ้นมา 10 เล่มจากบริเวณปลายนิ้วมือแต่ละนิ้ว เพื่อใช้มันฟันทำลายศรสีม่วงของเบียทริซ จากนั้นก็เล็งฟันสปิก้าต่อ

สปิก้าใช้วิชาเคลื่อนย้ายมวลสารระยะสั้นหลบหนีไปโผล่บนซากอาคารข้างๆ ได้ทันท่วงที แต่การโจมตีที่พลาดเป้าของสฟิงซ์ลอยมาหาพวกสุบารุต่อ

วินเซนต์: เจ้าคนเขลา มัวแต่ตะลึงกับตัวการใหญ่ของศัตรูหรือไงกัน?

เคราะห์ดีที่วินเซนต์ช่วยกดหัวของสุบารุและเบียทริซให้ก้มหลบลำแสงความร้อนได้ทันเวลา

. พวกเขาเสียจามาลในฐานะกำลังรบไปแล้ว เบียทริซรีบลุกขึ้นเตรียมต่อสู้อย่างกระปี้กระเป่า แต่สุบารุกลับนอนฟุบหน้าแน่นิ่งอย่างประหลาด

ทั้งวินเซนต์ เบียทริซ และสปิก้าต่างรู้สึกผิดสังเกต แต่จินตนาการไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น สฟิงซ์จึงกลายเป็นคนแรกที่ตระหนักถึงสาเหตุ

สฟิงซ์: …ทำไม ถึงได้กลืนยาพิษ? ‘อธิบาย’ จำเป็นค่ะ

วินเซนต์: ――อึก นี่เจ้า!

สุบารุทำการกลืนยาพิษที่ซ่อนไว้หลังฟันกรามไปเรียบร้อย เพราะงั้น ถึงแม้วินเซนต์จะรีบกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาเพื่อล้วงมือไปดึงซองเก็บยาพิษออกจากปาก มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

เบียทริซ: ม่ายน้าาาา! สุบารุ!? สุบารุ!?

สปิก้า: ――อูอาอู!?

วินเซนต์: นี่เจ้า นี่มันหมายความเยี่ยงไรกัน!? เสียสติไปแล้วงั้นหรือ!?

สุบารุ: อ่อกๆๆ อั่กๆๆๆ

วินเซนต์: ที่อวดดีว่าจะต่อสู้กับโชคชะตา สุดท้ายกลับทำเช่นนี้เนี่ยนะ!?

สุบารุมิอาจที่จะตอบรับเสียงพิโรธของวินเซนต์ เสียงร่ำไห้ของเบียทริซ และเสียงสิ้นหวังของสปิก้าได้เลย

ฤทธิ์ของยาพิษทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น กระอักเลือดออกจากปาก สูญเสียการควบคุมร่างกายที่ค่อยๆ หลอมละลายจากภายใน

สุบารุ: อ่อกๆ อั่ก…

สฟิงซ์: ‘อธิบาย’ จำเป็นค่ะ

ยัยแม่มดไม่มีวันได้รับคำตอบนั้น เนื่องจาก นัตสึกิ สุบารุ ได้สิ้นชีพลงอีกครั้ง ด้วยสาเหตุการตายที่เขาสัมผัสมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ศึกตัดสินครั้งนี้เริ่มขึ้น

. เส้นทางชีวิตเพื่อบรรลุ “ภารกิจ” ของสฟิงซ์นั้นเต็มไปด้วยขวากหนามในช่วงแรก

ร่างกายที่สร้างจากมานาล้วนทำให้เธอไม่สามารถพัฒนาคุณสมบัติทางกายภาพเพื่อให้ดำรงอยู่ในโลกภายนอกที่มีทั้งสภาพอากาศเลวร้าย สัตว์มาร และมนุษย์ใจทรามได้

ร่างต้นแบบ “ริวซู เมย์เอล” เป็นเผ่าฮาล์ฟเอลฟ์ ทำให้สฟิงซ์ยิ่งตกเป็นเป้าของการดูหมิ่นและเกลียดชังของผู้อื่นมากเป็นพิเศษ

แต่สฟิงซ์ก็ยึดถือคติว่าจะไม่ดัดแปลงรูปลักษณ์ภายนอก เนื่องจากเกรงว่าการดัดแปลงภาชนะที่ผู้สร้างให้มามากเกินไปอาจทำให้ตัวเธอไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ได้

เพื่อความอยู่รอด สฟิงซ์จึงยอมลดตัวไปเป็นทาสของพวกเจ้านายมีฐานะ อาศัยความรู้ที่เธอมีและความทรงจำที่ดีเยี่ยมทำตัวให้เป็นประโยชน์ สร้างคุณค่าให้แก่ตัวเองเพื่อให้ได้รับการปกป้อง

สฟิงซ์อาศัยการหลบซ่อนอยู่ใต้ร่มเงาของผู้อื่นเพื่อเอาตัวรอดอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาประมาณ 150 ปี

× × ×

ถ้าหากมีคนถามว่าสาเหตุการตายลำดับหนึ่งของ นัตสึกิ สุบารุ คืออะไร สุบารุก็สามารถตอบได้อย่างมั่นใจว่าคือ “การฆ่าตัวตายด้วยยาพิษ”

จริงอยู่ว่าประสบการณ์ตายติดต่อกันอย่างต่อเนื่องมากที่สุดของสุบารุเกิดขึ้นที่ยอดปราสาทมณีแดงของนครมารเคออสเฟลม ในช่วงลูปนรก 11 วินาที

แต่ถ้าให้แยกย่อยสาเหตุการตายโดยไม่นับรวมว่าทั้งหมดคือการ “ถูกฆ่าโดยโอลบาร์ต” ก็นับว่าสุบารุตายไปสารพัดรูปแบบในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว

เพราะงั้น จึงอาจพูดแบบอ้อมค้อมได้ว่าผู้ที่มีส่วนในการสังหารสุบารุมากที่สุดในโลกนี้คือ “ปู่นูล” ผู้ที่ผสมยาพิษซึ่งสุบารุเก็บซ่อนไว้ที่หลังฟันกรามขึ้นมา

สุบารุใช้ยาพิษของปู่นูลไปหลายครั้งหลายคราช่วงที่อยู่บนเกาะกินุนไฮฟ์ เพื่อที่จะสร้าง “หน่วยรบเพลอาเดส” ให้ปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน

และปัจจุบัน ในช่วงศึกตัดสินเพื่อชิงนครหลวงจักรวรรดิ ก็เป็นอีกครั้งที่สุบารุตั้งมั่นจะกระหน่ำใช้ยาพิษเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เขาสามารถช่วยชีวิตทุกคนให้รอดกลับมาอย่างปลอดภัย

เพื่อการนั้นแล้ว ต่อให้ต้องตายหรือต้องทุกข์ทรมานอีกกี่ร้อยครั้ง เขาก็จะยอมฝืนทนต่อไป

. หลังจากทรมานราวกับทุกเซลล์ในร่างถูกปั่นจนเละอยู่สักพัก ในที่สุดสุบารุก็ “ตายแล้วกลับมา” ซึ่งจุดเซฟล่าสุดควรจะเป็นตอนที่เขากำลังล้างหน้าอยู่ที่จุดพักรถมังกรก่อนเข้านครหลวง

สุบารุ: ――อึก เฮือก!

จามาล: ――บ้ารึไงวะ

สฟิงซ์: เป้าหมายที่เล็งไว้รอดไปได้งั้นเหรอ กระนั้น ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่รับมือต่อได้ค่ะ

แต่กลายเป็นว่าจุดเซฟได้ขยับเลื่อนมาเป็นช่วงจังหวะที่จามาลเข้ามาผลักตัวเขาจนต้องรับลำแสงเวทมนตร์ของสฟิงซ์ไปแทนเสียแล้ว

นั่นแปลว่าเขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแบ่งสมาชิกทีมกอบกู้จักรวรรดิได้อีกต่อไป ทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้ยืนยันผลลัพธ์ของการส่งเอมิเลียไปช่วยทันซ่าเลยแท้ๆ

สฟิงซ์: นึกว่าคุณเป็นสิ่งแปลกปลอมที่จะทำให้แผนการของฉันผิดพลาดเสียอีก คิดผิดไปเองสินะคะ?

กระนั้นสุบารุก็ไม่มีเวลาให้อ้ำอึ้ง เขาทำการขจัดเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกออกไปจากสมอง เพื่อเตรียมการลองผิดลองถูกรอบใหม่กับสถานการณ์ตรงหน้า

สุบารุ: ――คิดไม่ผิดหรอกว้อย

ที่จริงเขาก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนังแม่มดอย่างชัดเจน กระนั้นปณิธานของสุบารุที่จะกำจัดสฟิงซ์เพื่อหยุดยั้ง “มหาภัยพิบัติ” ก็ยังไม่แปรเปลี่ยน

สุบารุ: ชั้นนี่แหละ คนที่จะทำให้แผนการของแกผิดพลาด ศัตรูโดยธรรมชาติของภัยพิบัติยังไงล่ะ

. ภาชนะที่จะใช้ทักษะวิชาของแม่มดแห่งโลภะได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีแต่เพียงร่างกายของแม่มดแห่งโลภะเองเท่านั้น

สฟิงซ์ที่เป็นเพียงดวงจิตที่ไม่สมบูรณ์ของแม่มดผสมกับร่างต้นที่เป็น “ริวซู เมย์เอล” จึงต้องมาเริ่มต้นเรียนรู้ทุกอย่างจากศูนย์หมด

เธอต้องหัดเดิน หัดหายใจ ต้องทำกระทั่งหัดสั่งให้หัวใจเต้นใหม่ตั้งแต่ต้น และที่เสียเวลายาวนานที่สุดก็คือการหัดใช้เวทมนตร์ใหม่

ในยุคสมัยแรกสุด มีสองอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางภารกิจของสฟิงซ์ อย่างแรกคือรูปลักษณ์ของเผ่าฮาล์ฟเอลฟ์ที่ถูกชิงชังและอีกอย่างคือ “ลูกศิษย์ของแม่มด” ไล่ล่าเธออย่างไม่ลดละ

หลังจากที่กัดฟันเอาตัวรอดและหัดเรียนรู้เวทมนตร์ใหม่แทบตาย สุดท้ายเวทมนตร์แรกสุดที่สฟิงซ์ทำได้กลับเป็นแค่เพียงการจุดไฟดวงเล็กๆ ที่ปลายนิ้ว

ในฐานะภาชนะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกลายเป็นแม่มดแห่งโลภะ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง สฟิงซ์ต้องใช้เวลาฝึกฝนนานกว่า 150 ปีกว่าที่จะเธอจะเริ่มมีคุณสมบัติคู่ควรในฐานะ “แม่มด”

× × ×

จามาล: ――บ้ารึไงวะ

สฟิงซ์: เป้าหมายที่เล็งไว้รอดไปได้งั้นเหรอ กระนั้น ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่รับมือต่อได้ค่ะ

เบียทริซ: สุบารุ! จดจ่อเรื่องตรงหน้า…

สุบารุ: เบียทริซ! รักษาจามาลที!

เบียทริซ: ――เฮือก เข้าใจแล้วย่ะ!

สุบารุ “ตายแล้วกลับมา” อีกรอบ คราวนี้เขายอมสละกำลังรบของเบียทริซไปทุ่มเทกับการรักษาจามาลแทน จากนั้นก็สั่งการสปิก้าให้เข้าปะทะกับสฟิงซ์ทันที

สฟิงซ์: เอล จิวาลด์

เมื่อเห็นสปิก้ากระโจนเข้าหาอย่างรวดเร็ว สฟิงซ์จึงร่ายเวทเสกดาบแสงสิบเล่มออกมาเตรียมผ่าร่างของเด็กสาว แต่สุบารุชิงเก็บดาบของจามาลที่ตกอยู่บนพื้นมาเขวี้ยงใส่นังแม่มดเสียก่อน

ดาบแสงสิบเล่มของสฟิงซ์ผ่าดาบที่เขาขว้างใส่ขาดกระจุยอย่างง่ายดาย แต่นั่นช่วยสร้างช่องโหว่ให้สปิก้าวาร์ปหลบการโจมตีระลอกสองไปโผล่บนซากอาคารข้างๆ ได้ทัน

ลำแสงความร้อนที่เล็งใส่สปิก้าลอยมาหาสุบารุที่อยู่ด้านหลังแทน แต่ในทุกลูป วินเซนต์จะโผล่มาช่วยกดศีรษะเขาให้หลบได้ทันเสมอ

วินเซนต์: เจ้าคนเขลา มัวแต่ตะลึงกับตัวการใหญ่ของศัตรูหรือไงกัน?

สุบารุ: ไม่ว่าจะแพทเทิร์นไหน ก็เป็นจักรพรรดิที่หาเรื่องเก่งเสมอต้นเสมอปลายเชียวนะ!

วินเซนต์มองว่าจามาลคงกลับมาเป็นกำลังรบในศึกนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ซึ่งสุบารุก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากรักษาชีวิตของจามาลไว้ให้ได้รอดกลับไปเจอน้องสาว

สุบารุทำการซื้อเวลาและดึงความสนใจด้วยการประกาศต่อหน้าสฟิงซ์ว่าเขาจะเป็นคนที่สังหารเธอเอง

สฟิงซ์ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้นั้น เนื่องจากเธอทราบดีว่าพวกสุบารุสามารถแก้ทางสัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะด้วยการแทรกแซงดวงจิตได้

สฟิงซ์: ――ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ‘ตรวจสอบ’ จำเป็นค่ะ

จู่ๆ สฟิงซ์ก็ฉีกยิ้มออกมาชวนน่าขนลุก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสุบารุไม่ค่อยได้เห็นคุณริวซูที่หน้าตาเหมือนกันแสดงอารมณ์เท่าไรนัก

สฟิงซ์ทักวินเซนต์ขึ้นมาเพื่อขอคำยืนยันว่าเขาคือ “จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคีย” ใช่หรือไม่ สุบารุเดาจุดประสงค์อีกฝ่ายไม่ออก แต่อย่างน้อยการสนทนานี้ก็ช่วยซื้อเวลาเพิ่มให้เบียทริซรักษาจามาล

พอวินเซนต์ยืนยันตัวตนของเขา สฟิงซ์ก็เอ่ยชื่อของ “พริสซิลล่า บาริเอล” และนามเดิมของเธอ “พริสก้า เบเนดิกต์” ขึ้นมาต่อ ซึ่งทำให้วินเซนต์ส่งสายตาขุ่นเคืองใส่นังแม่มด

จนถึงปัจจุบัน สุบารุก็ยังคงไม่ทราบตำแหน่งของพริสซิลล่าและยอร์น่าเลย แต่การที่วิชาคงคงของทั้งสองยังส่งผลอยู่ แปลว่าอย่างน้อยทั้งคู่ก็ยังไม่ตาย

สฟิงซ์: คุณคือพี่ชายของเธอไม่ผิดแน่ใช่ไหมคะ? ‘มั่นใจ’ จำเป็นค่ะ

. หลังจากที่เริ่มใช้งานเกทของร่างกาย “ริวซู เมย์เอล” เพื่อใช้งานเวทมนตร์ได้แล้ว สฟิงซ์ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายต่อไป

พอผ่านพ้นไป 150 ปี ในที่สุดสฟิงซ์ก็พร้อมที่จะสานต่อภารกิจในการกลายเป็นภาชนะของ “แม่มดแห่งโลภะ” เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของผู้ที่สร้างเธอขึ้นมา

ดวงจิตที่ไม่สมบูรณ์ทำให้ข้อมูลที่มีมันเลือนลาง เธอจึงเริ่มจากการออกสำรวจค้นคว้าเกี่ยวกับ “แม่มดแห่งโลภะ” โดยอาศัยข้อมูลจากตำนานและหนังสือต่างๆ

สฟิงซ์เดินทางค้นคว้าข้อมูลไปทั่วโลกอยู่เป็นร้อยปี แต่กลับแทบไม่พบเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลย

เนื่องจากมีองค์กรนามว่า “ลัทธิบูชาแม่มด” ที่พยายามลบข้อมูลเกี่ยวกับแม่มดตนอื่นนอกจาก “แม่มดแห่งความริษยา” ให้หายไปจากประวัติศาสตร์อยู่ ทั้งที่นั่นมันขัดต่อจุดประสงค์ตอนที่ก่อตั้งองค์กรอย่างชัดเจน

สุดท้ายสฟิงซ์ก็เปลี่ยนแนวทางใหม่มาเป็นหาทาง “เติมเต็มดวงจิต” ส่วนที่ขาดหายไปของเธอให้สมบูรณ์ เนื่องจากว่าเดิมทีดวงจิตของสฟิงซ์ก็เป็นสิ่งที่คัดลอกมาจาก “แม่มดแห่งโลภะ” อยู่แล้ว

แต่หลังจากที่เสียเวลาค้นคว้าอีกเป็นร้อยปี สฟิงซ์ก็ยังมาถึงทางตันอยู่ดี โดยต้นเหตุของความยุ่งยากมาจากข้อมูลที่ขัดแย้งกันอย่างน่าประหลาดเกี่ยวกับ “แม่มดแห่งโลภะ”

ตามข้อมูลที่สฟิงซ์ค้นเจอ “แม่มดแห่งโลภะ” ชอบมอบภูมิปัญญาเพื่อช่วยเหลือผู้คนและมักเข้าแทรกแซงประวัติศาสตร์ ทว่า “แม่มดแห่งโลภะ” ในความทรงจำอันเลือนลางของเธอเองกลับชอบหลีกเลี่ยงผู้คน

เวลาได้ผ่านพ้นไปเกินกว่า 300 ปี ในตอนที่สฟิงซ์ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนวิธีการเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของผู้สร้าง

. ตัดกลับมาปัจจุบัน ที่ผ่านมาสุบารุเคยเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็มีคนยืนยันว่าวินเซนต์กับพริสซิลล่าเป็นพี่น้องกันเสียที

นั่นแปลว่าบัลลังก์จักรพรรดิของวินเซนต์อาจสั่นคลอนได้ หากข้อมูลเรื่องที่พริสซิลล่าผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ยังชีวิตอยู่หลุดออกไป

สุบารุรู้ซึ้งทันทีว่าที่ผ่านมาวินเซนต์ต้องปวดหัวขนาดไหน นับตั้งแต่ตอนที่พริสซิลล่าปรากฏตัวที่เมืองกัวลาล แถมเธอยังไปสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้มีสิทธิ์ชิงบัลลังก์ที่ลูกุนิก้าอีกต่างหาก

มิหนำซ้ำ พริสซิลล่ายังหยิบเอา “ดาบตะวัน” วอลลาเคีย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเชื้อพระวงศ์มาใช้แบบไม่คิดจะปิดบังอยู่เสมอ

ทำเอาสุบารุเริ่มสงสัยว่าเธอเคยตั้งใจปิดบังตัวตนบ้างไหม แต่ประเด็นเรื่องพี่น้องเชื้อพระวงศ์และดาบตะวันทำให้เขาเอะใจขึ้นมาอีกอย่าง

สุบารุ: ถ้าเป็นงั้นจริง ไม่ใช่ว่านายควรจะเป็นคนที่ถือครอง “ดาบตะวัน” หรอกเรอะ?

วินเซนต์: …

แทนที่จะโต้ตอบอย่างอหังการเหมือนทุกที วินเซนต์กลับนิ่งเงียบไป ไม่ยอมเถียงกลับ นั่นหมายความว่า…

× × ×

จามาล: ――บ้ารึไงวะ

พอรีเซ็ตกลับมาหลายรอบ สุบารุเริ่มคิดเล่นๆ ว่าถ้าหากจามาลไม่เข้ามาบังลำแสง บางทีจุดเซฟอาจจะย้อนไปไกลกว่านี้ ทำให้พวกตนมีเวลาเตรียมรับมือสฟิงซ์มากขึ้น

จุดเซฟปัจจุบันทำให้กลุ่มสุบารุเสียกำลังรบไปสองคนโดยทันทีที่เริ่มต่อสู้ คนแรกคือจามาลที่เลี่ยงการบาดเจ็บไม่ได้ คนที่สองคือเบียทริซที่ต้องรักษาจามาล

ทว่า ในเมื่อผลลัพธ์มันลงเอยเช่นนี้ไปแล้ว สุบารุก็จะไม่ยอมปล่อยให้การเสียสละของจามาลต้องสูญเปล่าอย่างเด็ดขาด

สฟิงซ์: เป้าหมายที่เล็งไว้รอดไปได้งั้นเหรอ กระนั้น――

สุบารุ: เคยโดนเอ็งเอารองเท้าให้แดก แต่ว่า เท่านี้ก็ถือว่าเจ๊ากันนะ! ――เบียทริซ! รักษาจามาลที!

เบียทริซ: ――เฮือก เข้าใจแล้วย่ะ!

สุบารุขัดบทพูดของสฟิงซ์ก่อนจะสั่งการให้สปิก้าบุกโจมตี ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนลูปก่อนหน้า สปิก้าวาร์ปหนีไปโผล่ที่ซากอาคาร วินเซนต์ช่วยกดศีรษะเขาเพื่อหลบลำแสง

สุบารุกล่าวท้าทายสฟิงซ์ว่าเขาสามารถฆ่าเธอได้ ซึ่งนังแม่มดตอบรับด้วยการฉีกยิ้มน่าขนลุกและเบี่ยงประเด็นการสนทนาไปเป็นเรื่องวินเซนต์แทน

สฟิงซ์: มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่ ‘ยืนยัน’ จำเป็นค่ะ คุณที่อยู่ตรงนั้นน่ะ――

สุบารุ: ――หมอนี่ชื่อ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” จักรพรรดิของประเทศแห่งนี้ เรื่องนั้นกับเรื่องที่ว่าเป็นพี่ชายของพริสซิลล่าน่ะ คิดไม่ผิดหรอกเฟ้ย

ทั้งสฟิงซ์และวินเซนต์ต่างดวงตาเบิกกว้างด้วยคำตอบที่เหนือความคาดหมายของสุบารุ จังหวะนั้นคือช่องโหว่สำคัญที่สปิก้าใช้จู่โจมทันที

สปิก้าพุ่งเข้าประชิดตัวสฟิงซ์อย่างคล่องแคล่วดุจแมวตอนล่าเหยื่อ จากนั้นก็ง้างมือเตรียมตะปบด้วยความรุนแรงที่เทียบเคียงกับอุ้งมือของเสือ สิงโต หรือกระทั่งหมี

ทว่า สฟิงซ์กลับปัดป้องการโจมตีสุดแรงเกิดของสปิก้าไว้ได้ด้วยแขนข้างเดียวอย่างง่ายดาย

สฟิงซ์: ประหลาดใจไหมคะ? ความพ่ายแพ้ของฉันสมัย “สงครามอมนุษย์” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดประสบการณ์ด้านศิลปะการต่อสู้ค่ะ เมื่อคำนึงถึงเรื่องนั้น ฉันถึงได้มาเริ่มต้นเรียนรู้จากหนึ่งใหม่ค่ะ แต่ถึงอย่างงั้น――

สปิก้า: อูว!?

สฟิงซ์: ยังไงร่างสำเนานี้ก็มีขีดจำกัดของทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วย “ครรลองสายธาร” อยู่ดีค่ะ

สฟิงซ์ทำการจับสปิก้าทุ่มกลางอากาศอย่างพริ้วไหว โดยเล็งให้ศีรษะของเด็กสาวดิ่งลงไปโหม่งโลก โชคดีที่สปิก้าพลิกตัวกลับเอาเข่าลงพื้นเหมือนแมวได้ทัน

. สปิก้า: อาอู!?

แต่พอสปิก้ากำลังจะกระโจนตัวหนีเพื่อทิ้งระยะห่าง ชายแขนเสื้อข้างขวาของเธอก็ถูกสฟิงซ์คว้าเอาไว้เสียก่อน

ในเมื่อไร้ทางหนี เด็กสาวสองคนจึงใช้แขนข้างเดียวที่เหลืออยู่แลกหมัดและดวลศิลปะการต่อสู้ระยะประชิดกันอย่างดุเดือด

ศิลปะการต่อของสฟิงซ์เน้นการปัดป้องด้วย “มวยอ่อน” แต่ก็มีแอบผสมการยิงเวทมนตร์จากปลายนิ้วมือเพื่อสวนกลับด้วยเช่นกัน

เบียทริซยังคงรักษาจามาลไม่เสร็จ แต่ด้วยความร้อนรน สุบารุจึงคว้าแส้ “กิลตีวิป” ออกมาและวิ่งเข้าช่วยเสริมทัพสปิก้าโดยไม่สนคำเตือนของวินเซนต์

สุบารุเหวี่ยงแส้ด้วยความเร็วและความรุนแรงมากที่สุดเท่าที่ร่างกายวัยเด็กของตนจะทำได้ มันเลื้อยเข้าไปหาแผ่นหลังของสฟิงซ์ดุจอสรพิษ

สุบารุ: ――เฮ้ย

ทว่า สฟิงซ์กลับคว้าแส้ของสุบารุด้วยมือขวาอย่างง่ายดาย สฟิงซ์ในตอนนี้เข้าใจอารมณ์ที่เรียกว่า “ความห่วงใย” และ “ความร้อนรน” จนสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้แล้ว

แต่ในเมื่อสฟิงซ์ใช้มือซ้ายจับชายแขนเสื้อของสปิก้าและใช้มือขวารับแส้ แขนทั้งสองข้างควรจะถูกผนึกจนเกิดช่องโหว่ขึ้น

ทว่า สปิก้ากลับเป็นฝ่ายที่เข่าทรุดและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากว่าน่องซ้ายของเธอถูกลำแสงที่ยิงออกมาจาก “ตาขวา” ของสฟิงซ์เจาะทะลุ

สฟิงซ์: “การร่ายเวทมนตร์จำเป็นต้องใช้นิ้วมือหรือเครื่องมือช่วยสนับสนุน” ผู้ที่ไม่รู้จักเวทมนตร์ดีมักจะเข้าใจผิดเช่นนั้นค่ะ

สุบารุ: สปิก้า ――เหวอออ!?

สฟิงซ์หมุนตัวพลางกระชากแส้เพื่อลากตัวสุบารุมาล้มคะมำอยู่ข้างๆ สปิก้า เด็กทั้งสองกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของสฟิงซ์ที่ลอยอยู่เบื้องบน

สฟิงซ์: ――ทำไม ถึงได้ยิ้มเหรอคะ?

สุบารุ: เพราะว่าทุกอย่างจนถึงตอนนี้มันเข้าแผนเป๊ะเลยไงล่ะ

ทันใดนั้นสุบารุก็ปล่อยมือจากแส้ จากนั้นก็ชี้ปลายนิ้วชี้ไปทางสฟิงซ์คล้ายกับว่ากำลังเล็งกระบอกปืนอยู่

สุบารุ: ――มีเนีย!

สฟิงซ์: ――‘ทบทวนใหม่’ จำเป็นค่ะ

ศรสีม่วงถูกยิงออกมาจากปลายนิ้วของสุบารุ ทั้งระยะห่างและความประมาทของเธอเองส่งผลให้แท่งผลึกสีม่วงปักทะลุดวงตาข้างขวาของสฟิงซ์

สุบารุ: คิดว่าชั้นเป็นเด็กเปรตที่มีดีแค่ความฉลาดหรือไง ทุกคนมักจะเข้าใจผิดกันแบบนั้นแหละเฟ้ย

สุบารุเป็น “ผู้ใช้ศาสตร์วิญญาณ” ซึ่งแปลว่าตัวเขาก็สามารถยืมใช้เวทมนตร์ของเบียทริซได้เช่นกัน โดยมีข้อจำกัดที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ในระยะมองเห็นของเบียทริซเท่านั้น

. ไพ่ตายของสุบารุยิงเข้าเป้าอย่างที่คาดหวัง ร่างของสฟิงซ์เริ่มถูกเคลือบให้กลายเป็นรูปปั้นผลึก ที่เหลือคือต้องใช้อำนาจ “กินดารา” ของสปิก้าเผด็จศึก

ว่าแล้วสปิก้าจึงช่วยพยุงสุบารุให้ลุกขึ้น ทั้งสองต่างเจ็บหนักทั้งคู่ แต่ไม่ว่าสุบารุจะลองรีเซ็ตไปกี่ครั้งก็ลดอาการบาดเจ็บให้น้อยลงกว่านี้ไม่ได้แล้ว

นี่คือลูปที่ผลลัพธ์ดีที่สุดในปัจจุบัน ไม่มีพวกพ้องตาย สฟิงซ์ถูกไล่ต้อน อาการบาดเจ็บของสปิก้าสามารถทดแทนด้วยการให้สุบารุช่วยเป็นขาอีกข้างได้

สฟิงซ์: เป็นคนที่เคยมองอุบายของวาลก้าออก ‘ชมเชย’ จำเป็นค่ะ

สฟิงซ์ที่หน้าซีกหนึ่งกลายเป็นผลึกแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะใช้มือขวาทำนิ้วเป็นปืนเลียนแบบสุบารุโดยชี้ปลายนิ้วชี้ไปที่ใต้กรามของตนเอง

สฟิงซ์เตรียมที่จะเป่าหัวตัวเองทิ้งเพื่อใช้ความตายหลบหนีกลับไปวางแผนรับมือใหม่ ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะไล่ต้อนสฟิงซ์ได้จนมุมขนาดนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกแน่

จามาล: ――ไอ้โง่เอ๊ยยยยย!!

ตอนนั้นเองที่จามาลหยิบดาบของเขามาเขวี้ยงไปตัดแขนซ้ายของสฟิงซ์ขาดกระเด็น ที่จริงเบียทริซแค่แสร้งตีเนียนว่าการรักษายังคงใช้ต้องเวลาอีกสักพักนั่นเอง

กระนั้น สฟิงซ์ก็ยังเหลือแขนขวาอีกข้างไว้ยิงเวทมนตร์ฆ่าตัวตายอยู่ดี เธอคิดเช่นนั้นจนกระทั่งรู้ตัวว่ามีชายอีกคนแอบมายืนรอรับดาบที่จามาลเขวี้ยง

สฟิงซ์: ‘ชมเชย’ จำเป็นค่ะ

วินเซนต์: ไม่จำเป็นหรอก

องค์จักรพรรดิผมดำไม่คอยท่า เขาตวัดดาบของจามาลที่รับไว้อย่างแม่นยำฟันแขนขวาของสฟิงซ์ขาดตั้งแต่ส่วนหัวไหล่ ร่างที่เสียสมดุลของนังแม่มดร่วงลงพื้นทันที

. สุบารุ: ชัยชนะเป็นของพวกเราแล้ว

สฟิงซ์: …นั่นสินะคะ ขอยอมรับเลยดีกว่า ฉันเป็นฝ่ายแพ้ค่ะ

กว่าจะไล่ต้อนสฟิงซ์จนมุมเช่นนี้ สุบารุต้องลองผิดลองถูกและใช้กลยุทธ์มามากมาย เขายังแอบระแวงการยิงเวทจากดวงตา แต่ใบหน้าของสฟิงซ์ก็กลายเป็นผลึกไปครึ่งซีกแล้ว

สุบารุ: สฟิงซ์

สุบารุทำการประกาศนาม ซึ่งเป็นเงื่อนไขการใช้อำนาจกินดารา จากนั้นเขาก็ช่วยพยุงสปิก้าที่บาดเจ็บให้เอื้อมมือสัมผัสร่างของสฟิงซ์เพื่อปิดฉาก

??: ――จิวาลด์

ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีขาวก็ขยี้กะโหลกของสฟิงซ์ให้ระเหิดหายไป ร่างของนังแม่มดแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นก่อนที่สปิก้าจะทันใช้อำนาจ

สฟิงซ์ 1: จากที่เห็น ได้ข้อสรุปว่านี่คือสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติเลยค่ะ ‘ตอบสนอง’ จำเป็นค่ะ

สฟิงซ์ 2: ผลของ “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” มีประโยชน์ก็จริง แต่ก็น่าหงุดหงิดที่ไม่สามารถแบ่งปันข้อมูลได้ทันทีค่ะ ‘พัฒนา’ จำเป็นค่ะ

สฟิงซ์ 3: ก่อนหน้านั้น ควรให้สำคัญกับการกำจัดพวกเขาก่อนดีกว่านะคะ ‘จัดการ’ จำเป็นค่ะ

กลายเป็นว่าตัวการที่ทำพวกสุบารุเสียโอกาสสำคัญไม่ได้มีแค่คนเดียว แค่ได้เห็นพวกมันอยู่พร้อมหน้ากันเช่นนั้น พวกสุบารุอ้ำอึ้งจนไปต่อไม่เป็นแล้ว

สฟิงซ์(x3): ――‘ต่อสู้’ จำเป็นค่ะ

แม่มดสฟิงซ์ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อยจำนวน 3 ตนกล่าวขึ้นพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่จะรายล้อมกันเข้ามาจัดการพวกสุบารุที่จนปัญญาจะตอบโต้

. อ่านต่อพาร์ท 2