“สงครามอมนุษย์” ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรลูกุนิก้าเมื่อราว 50 ปีก่อนนั้น กลายเป็นสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อเป้าหมายของสฟิงซ์เป็นอย่างมาก
ความบาดหมางระหว่างมนุษย์กับอมนุษย์ที่มาถึงจุดแตกหักทำให้สฟิงซ์สามารถเข้าร่วมสมาพันธ์อมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่อาศัยเผ่าพันธ์ุฮาล์ฟเอลฟ์ของร่างสำเนา
สฟิงซ์ได้กลายเป็นหนึ่งในสามผู้นำของสมาพันธ์อมนุษย์ร่วมกับ “วาลก้า ครอมเวล” นักวางกลยุทธ์เผ่ายักษ์ และ “ลิเบร เฟรมี” นักรบเผ่ามนุษย์งู
ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูดุดัน แต่แท้จริงแล้ววาลก้าเป็นชายผู้เฉลียวฉลาดที่สามารถนำความรู้และเวทมนตร์ของสฟิงซ์ไปประกอบกลยุทธ์จนพิชิตศึกได้มากมาย
“สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” เป็นศาสตร์ต้องห้ามที่ใช้งานยาก ถึงสฟิงซ์จะมีความรู้ แต่ก็ยังขาดข้อมูลวิธีการนำไปใช้งานจริงและขาดแนวทางการดึงประโยชน์ของเวทมนตร์บทนี้ออกมาให้มากที่สุด
วาลก้าจึงมีส่วนช่วยสฟิงซ์อย่างมากในการแสดงให้เห็นถึงยุทธวิธีการนำเวทมนตร์ของเธอไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์สู้รบของจริง
ถึงแม้ว่าสฟิงซ์จะไม่ได้สนใจชัยชนะและยังถูกลิเบรเขม่นด้วยความไม่วางใจอยู่เสมอ แต่สุดท้าย “สงครามอมนุษย์” ก็ได้มอบสิ่งที่ปรารถนาให้แก่เธอมากมาย
หนึ่งในนั้นคือการเข้าใจ “ความรัก” ในช่วงสงครามอมนุษย์ สฟิงซ์ได้เฝ้าสังเกตทั้งฝั่งอมนุษย์และฝั่งมนุษย์จนเข้าใจอารมณ์ยึดติดที่เรียกว่า “ความรัก” มากขึ้น
เธอมั่นใจว่าอารมณ์ที่ว่าคือหนึ่งในสิ่งที่ตนขาดไปจากดวงจิตที่ไม่สมบูรณ์ ภารกิจการแสวงหาเบาะแสอันยาวนานกว่า 350 ปี ในที่สุดจึงกลับมาคืบหน้าเสียที
ทว่า สุดท้ายความประมาทก็ทำให้สฟิงซ์เพลี่ยงพล้ำต่อลูกศิษย์ของแม่มดแห่งโลภะจนภารกิจของเธอเกือบจะต้องสิ้นสุดลง
. สฟิงซ์สามตัวใหม่เล่นงานพวกสุบารุจนยับเยินยกกลุ่ม จามาลกับเบียทริซนอนหมดสติอยู่บนถนน ซึ่งจามาลที่ต่อต้านหนักข้อเป็นพิเศษโดนทรมานอย่างหนักหน่วง
สปิก้าที่ยังคงเจ็บขาถูกสฟิงซ์ตัวหนึ่งกดเอาไว้กับพื้น ส่วนสุบารุก็ถูกพันธนาการแขนสองข้างเอาไว้ แถมยังโดนล้วงเอาซองเก็บยาพิษออกจากปาก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เขากลัวที่สุด
สฟิงซ์ 1: ยาพิษสำหรับฆ่าตัวตายงั้นเหรอ? เป็นการตระเตรียมที่ไร้เหตุผลเสียจริงค่ะ
สฟิงซ์ 2: จะไร้เหตุผลจริงเหรอ? ยามที่มุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบ ย่อมเตรียมใจพร้อมตายกันไว้อยู่แล้ว อีกทั้ง กรณีที่ถูกศัตรูจับตัวได้ มันก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันข้อมูลรั่วไหลค่ะ
สฟิงซ์ 3: แล้วถ้าเป็นสนามรบที่ทำให้เรื่องนั้นไร้ความหมายล่ะ? ควรจะทราบอยู่แก่ใจแท้ๆ ว่าต่อให้จบชีวิตลงที่นี่ ปากก็ไม่ได้ปิดตลอดกาลเสียหน่อยค่ะ
หลังช่วยกันวิเคราะห์แล้วก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี แม่มดสามตนจึงจดจ้องมายังดวงตาของสุบารุอย่างพร้อมเพรียงกัน
สฟิงซ์(x3): ‘ตอบกลับ’ จำเป็นค่ะ
. นอกจากสุบารุที่ถูกพันธนาการแขนและถูกเตะขาให้เข่าทรุดลง อีกคนที่ยังฝืนต่อสู้และพูดจาโอหังใส่แม่มดทั้งสามตนอยู่ก็คือวินเซนต์
ก่อนหน้านี้วินเซนต์พยายามใช้ดาบของจามาลสู้ต่อต้านจนตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บไปทั่วตัว เสื้อผ้าฉีกขาดและเปรอะเปื้อน แถมยังเลือดกบปากจนต้องถ่มออกมาบางส่วน
นอกจากนี้ดาบที่ยืมจามาลมาใช้ยังสูญเสียใบดาบไปแล้วจนเขาต้องโยนมันทิ้ง แต่ที่วินเซนต์สู้ยื้อได้นานขนาดนี้เป็นเพราะสฟิงซ์ยังมีเหตุผลให้ระแวงเขาอยู่
พวกสฟิงซ์ชมเชย “ลาเมีย ก็อดวิน” ว่าเธอมีทักษะการสังเกตอันยอดเยี่ยม ลาเมียสามารถเข้าใจถึงความเป็นจริงของดวงจิตได้ดียิ่งกว่าสฟิงซ์เสียอีก
การใช้สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะสร้างร่างกายขึ้นมาพร้อมกันหลายร่างจากดวงจิตเดียวเองก็เป็นสิ่งที่สฟิงซ์ได้ต้นแบบมาจากลาเมีย
กระนั้น ไม่ว่าจะสร้างร่างแยกขึ้นกี่ร่าง ถ้าหากหนึ่งในร่างแยกถูกเล่นงานโดยอำนาจ “กินดารา” ของสปิก้าหรือ “ดาบตะวัน” สฟิงซ์ก็จบเห่ในคราเดียวได้อยู่ดี
เพราะงั้นสฟิงซ์สองตัวถึงได้จับสปิก้ากับสุบารุแยกกัน ส่วนสฟิงซ์คนสุดท้ายก็เผชิญหน้ากับวินเซนต์โดยคอยระแวงว่าเขายังมี “ดาบตะวัน” อยู่หรือไม่
. ที่ผ่านมาสุบารุได้เห็นพลานุภาพของดาบตะวันมาหลายครั้งผ่านมือพริสซิลล่า แต่เขาไม่เคยเห็นวินเซนต์งัดดาบตะวันออกมาใช้เลยไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเพียงใด
สฟิงซ์ที่เริ่มมั่นใจว่าวินเซนต์ไม่น่าเป็นผู้ถือครองดาบตะวันแล้วกดร่างสุบารุลงให้หน้าทิ่มพื้น ก่อนจะเอ่ยปากเชื้อเชิญต่อ
สฟิงซ์ 3: ช่วยตามมาด้วยกันได้ไหมคะ จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคีย หากไม่ติดขัดอะไร ก็อยากจะพาไปพบคุณน้องสาว พริสซิลล่า บาริเอล ‘วิเคราะห์’ จำเป็นค่ะ
วินเซนต์: จะพาไปพบพริสซิลล่างั้นหรือ? วางแผนอะไรอยู่?
สฟิงซ์ 3: ขอปฏิเสธที่จะตอบค่ะ ‘ไตร่ตรอง’ จำเป็นค่ะ
มันคือข้อเสนอที่ประหลาด แต่สฟิงซ์ได้เสนอหนทางรอดให้แก่วินเซนต์ผู้หมดหนทางที่จะต่อต้าน ทว่า ในฐานะจ่าฝูงแห่งหมาป่าดาบ องค์จักรพรรดิไม่คิดจะยอมให้ใครมาดูหมิ่น
วินเซนต์: ลามปามไร้สาระไปได้ “แม่มด” เอ๋ย ถ้าหากต้องการพูดคุยกับพริสซิลล่าล่ะก็ ต่อให้เจ้าไม่อนุญาตก็จะทำอยู่ดี คิดว่าข้า ――คิดว่าเราผู้นี้เป็นใครกัน?
สฟิงซ์ 3: ――‘ทบทวนใหม่’ จำเป็นค่ะ
สฟิงซ์แลดูผิดหวัง แต่เธอก็ลองเปลี่ยนวิธีโน้มน้าววินเซนต์ใหม่โดยใช้ชีวิตของพวกสุบารุเป็นข้อแลกเปลี่ยน ว่าแล้วสฟิงซ์ตัวที่จับสุบารุอยู่จึงหักข้อศอกขวาของเขาทิ้ง
สุบารุ: อุก อ้ากกกกกก!!
สฟิงซ์ 1: ――‘ทบทวนใหม่’ จำเป็นค่ะ
. กระนั้น ทั้งเสียงร้องโหยหวนของสุบารุและการข่มขู่ว่าจะหักแขนสปิก้าต่อล้วนแต่ไม่สะทกสะท้านวินเซนต์เลยสักนิด สฟิงซ์จึงจำใจต้องถอนหายใจยอมแพ้
ที่จริงเธออยากพาตัววินเซนต์ไปพบพริสซิลล่าแบบเป็นๆ แถมจากการวิเคราะห์รูปแบบที่ผ่านมา ยังมีความเป็นไปได้ที่วินเซนต์จะไม่คืนชีพกลับมาเป็นผีดิบอีก
ในเมื่อเธอพาเขาไปพริสซิลล่าไม่ได้ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือการกำจัดขวากหนามอย่างวินเซนต์ทิ้ง และเธอก็เลือกวิธีที่จะสังหารเขาได้อย่างแน่นอน
สฟิงซ์ทั้งสองตัวที่จับสุบารุกับสปิก้าอยู่ชี้นิ้วไปที่ท้ายทอยของเด็กทั้งสอง จากนั้นสฟิงซ์ตัวสุดท้ายก็ชี้นิ้วเล็งไปทางหน้าอกของวินเซนต์ด้วยเช่นกัน
สฟิงซ์ 3: รบกวนอย่าขยับนะคะ ถ้าหากยังคงเห็นค่าชีวิตพวกเขาอยู่ล่ะก็
วินเซนต์: ――สถุล
ปลายนิ้วของสฟิงซ์ตัวที่เล็งวินเซนต์อยู่เปล่งแสงเพื่อเตรียมยิงเวทมนตร์สังหารเขา หารู้ไม่ว่าสุบารุกำลังรอจังหวะนี้อยู่มาโดยตลอด
สุบารุ: ไปเลย สปิก้า!!
สฟิงซ์ 2: เอ๋?
เมื่อได้สัญญาณ สปิก้าจึงเคลื่อนย้ายมวลสารพาตัวเธอกับสฟิงซ์ตัวที่จับเธออยู่วาร์ปไปโผล่บังวิถีลำแสงของสฟิงซ์ตัวที่เล็งยิงวินเซนต์
จังหวะเดียวกันนั้น เบียทริซที่แสร้งหมดสติและอดทนไม่โต้ตอบกระทั่งตอนที่สุบารุถูกหักแขน ก็ยิงเวทมีเนียใส่สฟิงซ์ตัวที่จับสุบารุอยู่จนกลายเป็นรูปปั้นผลึก
. สถานการณ์พลิกผันในชั่วพริบตา เหลือสฟิงซ์อยู่เพียงแค่ตัวเดียว แต่ว่าพวกสุบารุเองก็ใช้ไพ่ไปหมดในการจู่โจมทีเผลอแล้ว เนื่องจากจามาลยังคงหมดสติ
สฟิงซ์ตัวสุดท้ายตั้งสติแล้วเรียกดาบแสงเวทมนตร์ 10 เล่มออกมาจากมือแต่ละข้างเพื่อเตรียมหั่นพวกสุบารุให้เละเป็นชิ้นๆ หารู้ไม่ว่าเธอเผลอละสายตาจากบุคคลที่ไม่ควรประมาทที่สุด
วินเซนต์: ――ชักดาบ “ดาบตะวัน” วอลลาเคีย
น้ำเสียงสง่าผ่าเผยของชายผู้มีคุณสมบัติของราชาผู้ปกครองเหนือบริวารทั้งมวลดังกึกก้องในหูของทุกคน ณ ที่แห่งนั้น
เขาคือผู้ที่แบกรับโชคชะตาของประชาชนในประเทศและชี้นำผู้คนเหล่านั้น และประกายแสงจากดาบล้ำค่าเล่มสีชาดก็เป็นหลักฐานที่ประจักษ์แจ้ง
สฟิงซ์: ――คุณน่ะ ไม่ควรจะครอบครองสิ่งนั้นอีกต่อไปแล้วนี่
วินเซนต์: เจ้าคนเขลา ――ข้ามิเคยพูดเลยสักครั้งว่าสละสิทธิ์การถือครองดาบตะวันไปแล้ว
วินเซนต์ตั้งใจไม่งัดดาบตะวันออกมาใช้เลยสักครั้ง เพื่อรอดึงมันออกมาจากฟากฟ้าที่เป็นฝักดาบในจังหวะที่เขาจะคว้าชัยชนะเอาไว้ได้
สุบารุ: ในศึกแห่งเล่ห์กลครั้งนี้ พวกเราเป็นฝ่ายชนะ
วินเซนต์: ดูแคลนเกินไปล่ะสินะ ――อุบายจากนักวางกลยุทธ์สองคนของข้าน่ะ
หนึ่งในนักวางกลยุทธ์คือสุบารุที่ประกาศชัยชนะอย่างภาคภูมิใจ ส่วนอีกคนคือจิชาที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนั้นอีกแล้ว ชายผู้คิดค้นแผนที่หลอกได้กระทั่งแม่มดว่าวินเซนต์สูญเสียดาบตะวันไปแล้ว
ทันทีที่วินเซนต์มีดาบตะวันในมือ เขาก็กระโจนตัวด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าที่เคยแสดงออกมา เนื่องจากดาบตะวันมอบสถานะที่คู่ควรให้แก่ผู้ถือครองที่มันเลือก
วินเซนต์: ――ดาบตะวันจักฟาดฟันสิ่งที่ข้าปรารถนา และเผาผลาญสิ่งที่ข้าปรารถนาเท่านั้น
สฟิงซ์พยายามใช้ดาบแสงทั้ง 10 เล่มปัดป้อง แต่ดาบเวทมนตร์ที่สร้างจากแสงกลับลุกไหม้จนสลายไป ขัดกับหลักตรรกะอย่างสิ้นเชิง
สฟิงซ์ยังพยายามกระโจนตัวถอยหลังเพื่อหลบดาบตะวันที่วินเซนต์ฟันเป็นแนวทะแยงเข้ามา ทว่า ปลายเส้นผมเธอสีชมพูของเธอถูกดาบตัดขาดไป
สฟิงซ์: ――อา
วินาทีต่อมาทั่วทั้งร่างของสฟิงซ์ก็ลุกไหม้ และไม่ใช่แค่สฟิงซ์ตัวเดียว สฟิงซ์ตัวที่กลายเป็นรูปปั้นผลึกและสฟิงซ์ที่สลายเป็นฝุ่นก็ลุกไหม้เช่นกัน
ดาบตะวันตัดสินใจแล้วว่าจะแผดเผาแม่มดนามว่า “สฟิงซ์” ดังนั้น จึงไม่มีร่างแยกของสฟิงซ์ตัวใดที่จะเล็ดลอดจากการถูกเผาได้อย่างแน่นอน
เปลวเพลิงแห่งดาบตะวันจะเผาผลาญแม่มดสฟิงซ์ไปจนถึงแก่นของดวงจิตให้สลายหายไป
วินเซนต์: ข้อเสนอในครานี้ ――ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเลยล่ะ จิชา โกลด์
. จบตอน