webnovel arc8 chapter60

บทที่ 8 ตอนที่ 60 "แม่มด"

โอลบาร์ต: ในที่สุดก็แน่นิ่งเสียที ให้ตายซี่ ทำให้ตาแก่หดหู่ไปหมดเลยน้อ

ณ ห้องบัลลังก์ภายในพระราชวังแก้วผลึก “โอลบาร์ต ดันคลูเคน” กำลังมองดูซากของสิ่งมีชีวิตรูปลักษณ์สยดสยองที่เขาพึ่งลงมือปลิดชีพไป

เดิมทีมันคงเป็นผีดิบแต่ถูกบิดเบือนรูปร่างจนไม่เหลือเค้าเดิม สิ่งเดียวพอช่วยระบุตัวตนได้คงเป็น “ใบหน้า” ของมันกองอยู่บนพื้นห้อง

โอลบาร์ตถูกกำชับมาไม่ให้ฆ่าศัตรูโดยไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้มุสเปลดึงมานาจากแผ่นดินวอลลาเคียมามากเกินไป แต่เขามองว่าสิ่งที่ตนทำคือ “การุณยฆาต”

ปัจจุบันห้องบัลลังก์ของพระราชวังถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสถานที่ทดลองเกี่ยวกับ “ดวงจิต” ระดับความเลวร้ายของการทดลองทำให้โอลบาร์ตหวนนึกถึงพวกคนนอกรีตที่สร้าง “อาราเคีย” ขึ้นมา

พวกมันสังเวยผู้คนไปมากมายเพื่อสร้าง “ผู้เสพวิญญาณ” ที่สมบูรณ์แบบ โดยอ้างว่าทำไปเพื่ออนาคตของจักรวรรดิ และโอลบาร์ตก็เป็นผู้ที่ลงมือสังหารกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยตนเอง

. สิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องบัลลังก์คือการทดลองผสมผสานบางอย่างเข้าไปในดวงจิตของผีดิบที่ถูกคืนชีพขึ้นมาจนทำให้รูปลักษณ์ของผีดิบเปลี่ยนไป

โอลบาร์ตสัมผัสได้ว่าจุดมุ่งหมายของการทดลองไม่ใช่เพื่อช่วยให้ชนะสงครามครั้งนี้ แต่เป็นเพียงการสนอง “ความใคร่รู้” ของผู้ทดลองเท่านั้น

จริงอยู่ว่าโอลบาร์ตมีวิชาที่แทรกแซงโอโดเพื่อย้อนวัยเหยื่อด้วยเช่นกัน แต่วิชาดังกล่าวเป็นการสัมผัสเพียงเปลือกนอกของดวงจิต

แต่การทดลองในห้องแห่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการแทรกแซงดวงจิตในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นหลายเท่า ซึ่งกระทั่งโอลบาร์ตก็ยังจินตนาการถึงจุดประสงค์ที่ว่าไม่ออก

โอลบาร์ต: สังหรณ์ใจไม่ดีเล๊ยยยน้อ ฝ่าบาท ――ดูท่าว่าข้าจะไม่มีโอกาสให้หักหลังจริงๆ นั่นแหละเนอะ?

. ในตอนที่สฟิงซ์เพลี่ยงพล้ำต่อลูกศิษย์ของแม่มดแห่งโลภะเมื่อสมัยสงครามอมนุษย์ เธอไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรเป็นพิเศษ

ตลอด 350 ปีที่ผ่านมา สฟิงซ์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเอาตัวรอดและอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในขณะที่ลูกศิษย์คนนั้นทุ่มเทเวลาในการเตรียมการสังหารเธอโดยเฉพาะ

ถึงแม้จะตระหนักรู้ว่าไม่น่ารอดไปได้ สฟิงซ์ก็ยังฝืนหลบหนีตามสัญชาตญาณ โดยมีภารกิจในการบรรลุวัตถุประสงค์ของผู้สร้างเป็นแรงยึดเหนี่ยวจิตใจ

เพราะงั้น ถึงแม้จะไม่ได้ยึดติดกับชีวิตตัวเองนัก สฟิงซ์ก็ยังหลบหนีเข้าไปยังชั้นใต้ดินของพระราชวังลูกุนิก้าและได้พบเข้ากับชายคนหนึ่งราวกับโชคชะตานำพา

ไรป์: ――แกน่ะยังใช้งานได้อยู่ มีประโยชน์ในการเติมเต็มความปรารถนาของฉันให้เป็นจริง

สิ่งที่สฟิงซ์ได้เห็นจากดวงตาอันเสื่อมทรามของชายคนนั้น คือเปลวเพลิงแห่งความทะเยอทะยานที่ลุกไหม้อย่างโชติช่วง

. สฟิงซ์หลงกลในอุบายของ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” และ “นัตสึกิ สุบารุ” จนเข้าใจผิดว่าวินเซนต์สละสิทธิ์ครองครอบดาบตะวันไปแล้ว

ผลลัพธ์ทำให้แม่มด “สฟิงซ์” ทั้งหมดที่มีอยู่ถูกเปลวเพลิงของดาบตะวันแผดเผา

ทั้งสฟิงซ์ที่เผชิญหน้ากับกลุ่มวินเซนต์ สฟิงซ์ที่รออยู่ในพระราชวังแก้วผลึก สฟิงซ์ที่สังเกตการณ์แต่ละศึกในนครหลวงอยู่ และสฟิงซ์อีกมากมายที่เตรียมจะจู่โจมสถานที่ต่างๆ ในจักรวรรดิ ล้วนแต่ลุกไหม้กันหมด

สฟิงซ์: ――‘มาตรการรับมือ’ จำเป็นค่ะ

เปลวเพลิงของดาบตะวันจะแผดเผาสฟิงซ์จนกว่าดวงจิตจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ดังนั้น ต่อให้เธอจะสังเวยร่างแยกที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด แล้วสร้างร่างใหม่เพิ่มขึ้นมา

เหล่าร่างแยกใหม่ที่ยังคงมีรากฐานมาจากดวงจิตของ “สฟิงซ์” ก็จะติดไฟลุกไหม้ทันทีอยู่ดี สฟิงซ์จึงรู้สึกเหมือนเธอมาถึงทางตัน

ภารกิจของสฟิงซ์กำลังจะปิดม่านลงก่อนประสบผลสำเร็จ จุดจบที่ใกล้เข้ามาถึงทำให้สฟิงซ์นึกย้อนถึงความพ่ายแพ้สมัยสงครามอมนุษย์

ในตอนนั้น “ไรป์ บาริเอล” เข้ามาแทรกแซงและช่วยเธอไว้อย่างเหนือความหมาย แต่ปัจจุบัน “ไรป์ บาริเอล” เสียชีวิตไปแล้ว ปาฏิหาริย์เช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นในครั้งนี้อีก

. สฟิงซ์ 4: ――‘วิเคราะห์’ จำเป็นค่ะ

หนึ่งในร่างแยกของสฟิงซ์จ่อนิ้วชี้ไปที่ใต้กรามก่อนที่จะยิงเวทมนตร์บดขยี้แมลงแกนกลางที่อยู่ภายในกะโหลก ทำการจบชีวิตตัวเองลงก่อนจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

หลังจากนั้นสฟิงซ์ทั่วทั้งสนามรบภายในนครหลวงจักรวรรดิก็พากันฆ่าตัวตายในแบบเดียวกัน

สฟิงซ์ 5: ――‘วิเคราะห์’ จำเป็นค่ะ

สฟิงซ์ 6: ――‘วิเคราะห์’ จำเป็นค่ะ

นี่มิใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการคืนความทรงจำของร่างแยกสฟิงซ์แต่ละตัวให้แก่ดวงจิตหลักเพียงหนึ่งเดียวก่อนที่ความทรงจำจะถูกแผดเผาไปพร้อมกับดวงจิตของร่างแยก

มันคือการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เธอมีเข้าด้วยกัน นำทฤษฎีและการวิเคราะห์จากร่างแยกแต่ละตัวมาเปรียบเทียบเพื่อเฟ้นหามาตรการรับมือ

ถ้าเป็นตัวเธอเมื่อก่อน สฟิงซ์คงจำนนต่อความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไปแล้ว แต่ตัวเธอในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

สฟิงซ์ 7: ――‘ต้านทาน’ จำเป็นค่ะ

สฟิงซ์ 8: ――‘ต้านทาน’ จำเป็นค่ะ

สฟิงซ์ 9: ――‘ต้านทาน’ จำเป็นค่ะ

ผลลัพธ์จากหอรบแต่ละแห่ง การทดลองดวงจิตที่พระราชวังแก้วผลึก ประวัติศาสตร์ตระกูลวอลลาเคีย ผู้เสพวิญญาณ คนนอกจากราชอาณาจักร นักอ่านดารา ลิขิตสวรรค์ มหาภัยพิบัติ

จนกว่าดวงจิตของเธอจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน สฟิงซ์จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการรวบรวมข้อมูลความเป็นไปได้ทั้งหมดมาใช้ในการวิเคราะห์หาทางออก

. ณ คุกใต้ดินของพระราชวังแก้วผลึก ร่างแยกของสฟิงซ์ที่อยู่ต่อหน้าพริสซิลล่าที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้เองก็ลุกไหม้อยู่เช่นกัน

พริสซิลล่าเข้าใจโดยทันทีว่านั่นคือฝีมือของ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” พี่ชายจอมเจ้าเล่ห์ของเธอที่เก็บไพ่ตายไว้จนถึงวินาทีสุดท้าย

พริสซิลล่าทราบดีว่าดาบตะวันมีคุณสมบัติน่ารำคาญอยู่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหลักที่วินเซนต์ไม่ค่อยหยิบมันออกมาใช้ กระนั้นในที่สุดนังแม่มดก็ถูกกำราบลง

พริสซิลล่า: นี่เจ้า ทำอะไรลงไปน่ะ?

สฟิงซ์: ――‘วิเคราะห์’ จำเป็นค่ะ

ดาบตะวันจะฟาดฟันสิ่งที่มันปรารถนาจะฟันและแผดเผาสิ่งที่มันปรารถนาจะเผาเท่านั้น นั่นคือกฎเหล็กที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน

กระนั้นเปลวเพลิงสีแดงฉานกลับหยุดแผดเผาร่างของนังแม่มดไปเสียกลางคัน ทั้งที่แม่มด “สฟิงซ์” ไม่ควรจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องถูกดาบตะวันสังหารได้แท้ๆ

พริสซิลล่า: นี่เจ้า เป็นใครกัน?

ทว่า หากบุคคลที่ถูกดาบตะวันเผากลายเป็นตัวตนอื่นขึ้นมากลางคัน เรื่องที่กล่าวมาก็จะกลายเป็นโมฆะทันที

วินเซนต์สามารถสังหารแม่มด “สฟิงซ์” ได้สำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน แต่แม่มดที่อยู่เบื้องหน้าของพริสซิลล่าตอนนี้มิใช่ “สฟิงซ์” อีกต่อไป

ผิวซีดที่มีรอยแตกและลูกตาสีดำที่มีดวงตาสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ของผีดิบไม่หลงเหลืออยู่ต่อไป รูปลักษณ์ภายนอกเองก็มิใช่สาวน้อยผมสีชมพูอีกแล้ว

บุคคลตรงหน้าพริสซิลล่าคือหญิงสาวผมยาวสีขาวผู้มีดวงตาสีดำที่ดูเฉลียวฉลาด รูปโฉมของเธอสามารถใช้เพียงแค่สีขาวและสีดำวาดขึ้นได้เลย

พริสซิลล่า: นี่เจ้า เป็นใครกัน?

แม่มด(?): ――“แม่มดแห่งโลภะ”

ตัวตนที่แปรเปลี่ยนแก่นของดวงจิตตนเองจนรอดพ้นจากการแผดเผาของดาบตะวันกลายเป็นการจุติครั้งใหม่ของ “แม่มดแห่งโลภะ”

แม่มด(?): จุดประสงค์ของการสร้างสำเร็จลุล่วงแล้ว ――ทีนี้ฉันจะ เติมเต็มจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ของฉันเองบ้างล่ะ

. จบตอน