“พาลาดิโอ้ มาเนสค์” คือหนึ่งในผู้เข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์จักรพรรดิรุ่นที่ 77 ที่ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” เป็นผู้ชนะ
ใน “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” ครั้งนั้น พาลาดิโอ้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ “ลาเมีย ก็อดวิน” ซึ่งเป็นตัวเต็งอีกคนหนึ่ง
สุดท้ายพาลาดิโอ้ก็ถูกวินเซนต์กับพริสก้ารวมหัวกันกำจัด คงเป็นเพราะความสามารถของเขาอันตราย โดยพาลาดิโอ้เชื่อมั่นว่าความพ่ายแพ้ในตอนนั้นไม่ใช่ความผิดของเขาเลย
ทุกอย่างมันเป็นความผิดของ “ลาเมีย” ที่ด่วนตายจากไปแต่เนิ่นๆ จนกระแสลมเปลี่ยนทิศทางกะทันหันต่างหาก
พาลาดิโอ้: ให้ตายสิ สุดท้ายก็เป็นแค่น้องสาวไร้คุณค่าที่ดีแต่ปากล่ะนะ
กระทั่งตอนที่ลาเมียบุกจู่โจมขบวนรถมกรพ่วง ทั้งที่พาลาดิโอ้อุตส่าห์ให้เธอยืมใช้ “เนตร” ของตน สุดท้ายลาเมียก็เพลี่ยงพล้ำและตายจากไปอย่างน่าสมเพชอีกรอบ
. ปัจจุบัน พาลาดิโอ้ที่คืนชีพกลับมาเป็นผีดิบกำลังมองดูภาพรวมของสนามรบด้วยดวงตาสีทอง “สามดวง” พลางลูบมือไปตามเส้นผมหยักศกสีเขียวของตน
บทบาทของเขาคือการบัญชากองทัพผีดิบไปถล่มนครป้อมปราการ “การ์คลา” ให้ราบ มันคือภารกิจที่พาลาดิโอ้ได้รับมอบหมายในฐานะผู้ถูกเลือกจากสวรรค์
ดวงตาที่สามบนหน้าผากของพาลาดิโอ้คือ “เนตรมาร” เอกลักษณ์ของผู้มีสายเลือดของเผ่าเนตรมาร
ในอดีตกาลเผ่าเนตรมารเคยเป็นผู้นำของเหล่ามวลมนุษย์ เพราะว่าสวรรค์ได้ประทาน “พรคุ้มครอง” ให้แก่ทั้งเผ่าพันธุ์ ทำให้พวกเขามีพลังพิเศษเหนือสามัญ
ทว่า ในภายหลัง ผู้ที่เกรงกลัวพลังของเผ่าเนตรมารได้ขับไล่และกีดกันพวกเขา พาลาดิโอ้จึงต้องการกอบกู้สถานะที่ยิ่งใหญ่ในอดีตของเผ่าพันธุ์กลับคืนมา
เพื่อการนั้นแล้ว พาลาดิโอ้จะทำลายจักรวรรดิของพวกขี้ขลาดที่วินเซนต์สร้างขึ้นให้สิ้นซาก แล้วค่อยสร้างมันขึ้นมาใหม่เพื่อขึ้นปกครองด้วยตนเอง
พาลาดิโอ้เกลียดชังวินเซนต์และพริสก้าเป็นที่สุด สองคนนั้นแหกธรรมเนียมอันยาวนานของพิธีกรรม เป็นพวกอ่อนแอและเจ้าเล่ห์ที่รวมหัวกันเพื่อความอยู่รอด
. สำหรับพาลาดิโอ้นั้น องค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคือ “จักรพรรดิพุ่มหนาม” ยูการ์ด วอลลาเคีย ผู้ปกครองจักรวรรดิด้วยความเจ็บปวดและความกลัว
การผูกรัดหัวใจของผู้คนด้วยหนามเพื่อประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ในฐานะองค์จักรพรรดินั้น ถือเป็นรูปแบบการปกครองในอุดมคติที่พาลาดิโอ้นับถือเป็นแบบอย่าง
ถึงแม้เนื้อหาในฉบับหลังๆ ของเรื่องเล่าจะระบุว่ายูการ์ดมีความรักกับเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา แต่พาลาดิโอ้เชื่อว่านั่นเป็นเพียงการแต่งเติมเนื้อหาจากข่าวลือโง่เง่าที่ไม่มีมูล
หากพาลาดิโอ้ได้ขึ้นครองบัลลังก์หลังทุกอย่างจบลง เขาจะสั่งให้เผาทำลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “จักรพรรดิพุ่มหนาม” ฉบับที่มีการใส่สีตีไข่เหล่านั้นให้สิ้นซาก
ว่าแล้วพาลาดิโอ้จึงหลับตาลงสองดวงและจดจ่อสมาธิไปที่ “เนตรมาร” บนหน้าผากซึ่งมอบทัศนวิสัยที่มองเห็นทุกสิ่งในสนามรบจากเบื้องบน ราวกับว่ามองผ่านดวงตะวัน
จริงอยู่ว่าพาลาดิโอ้มีกองทัพผีดิบที่ไม่มีวันตายใต้อาณัติ แต่เขาไม่คิดจะสู้โดยการส่งกองทหารบุกเข้าไปทางประตูหน้าเพียงอย่างเดียว
เนตรมารของพาลาดิโอ้มองเห็นกระทั่งสภาพความเป็นไปภายในเมืองการ์คลา เขาจึงรู้ชัดว่าการป้องกันทุ่มเทไปที่ประตูหน้าหมด ส่วนคนที่อยู่ตามมุมเมืองส่วนอื่นเป็นเพียงผู้อพยพที่ต่อสู้ไม่ได้
พาลาดิโอ้: ได้เวลาสั่งสอนให้พวกโง่เง่าได้รู้ซึ้งว่านั่นเป็นเพียงภาพมายาที่แสนเปราะบางและไม่ยั่งยืน ――โลกที่พวกเจ้าเห็นด้วยตาสองดวงน่ะ มันช่างคับแคบจนรู้สึกสมเพชเลยล่ะ
ว่าแล้วพาลาดิโอ้จึงเปิดใช้พลังติดตัวของเผ่าเนตรมารอีกอย่าง ซึ่งคือการติดต่อผ่าน “โทรจิต” กับใครก็ตามที่เขามีชิ้นส่วนร่างกาย เช่น เส้นผมหรือเล็บมือ อยู่กับตัว
พาลาดิโอ้: ――ส่งฝูงผีดิบมกรบินออกไป ไอ้พวกที่จดจ่ออยู่แต่การป้องกันปราการน่ะ จะสั่งสอนให้สำเหนียกเองว่าจักรพรรดิสู้รบเยี่ยงไร
. ผู้ส่งสาร: ――หน่วยมกรบินข้าศึกบินอ้อมหุบเขาใหญ่ด้านหลังป้อมปราการใหญ่และลุกร้ำเข้ามาในเขตน่านฟ้าของป้อมปราการแล้ว! ทหารข้าศึกกำลังจะถูกปล่อยตัวลงมา ผีดิบจะบุกเข้ามาในตัวเมืองแล้วขอรับ!
ตัดกลับไปทางศูนย์บัญชาการของเมืองการ์คลาซึ่งผู้ส่งสารพึ่งวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์ เซรีน่าวิเคราะห์ได้ทันทีว่าผู้บัญชาการของศัตรูคือพาลาดิโอ้
พาลาดิโอ้คือหนึ่งในศัตรูที่ฝั่งเซรีน่าระวังไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เนื่องด้วยความสามารถการมองเห็นช่องโหว่ของแนวป้องกันจากเนตรมารของเขา
กระนั้นการโจมตีจุดบอดที่การป้องกันหละหลวมเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้แปลกใหม่ในศึกบุกตีเมือง ทุกอย่างจึงเป็นไปตามธีโอรี่(ทฤษฎี)ที่ออตโต้คาดการณ์ไว้
ระหว่างที่เซรีน่ามึนงงเรื่องที่เขาใช้ศัพท์ที่ไม่คุ้นหู ออตโต้ก็ส่งสัญญาณให้เบลสเต็ตซ์สั่งการคนส่งสารต่อตามที่ได้ตระเตรียมกันเอาไว้
เบลสเต็ตซ์: ส่งคำสั่งไปยังพวกเขา ――ว่าถึงตา “สเปเชี่ยลฟอร์ซ” ออกโรงแล้ว
. “นักขี่มกรบิน” คือทรัพยากรที่มีค่าสำหรับฝั่งผีดิบอย่างมาก เนื่องจากจำเป็นต้องคืนชีพทั้งนักขี่และมกรบินให้ถูกคู่ มิเช่นนั้นจะใช้การไม่ได้
พาลาดิโอ้จึงได้เก็บนักขี่มกรบินที่มีอยู่น้อยไว้ใช้ในปฏิบัติการสำคัญ ซึ่งสามารถพลิกผลแพ้ชนะของการสู้รบครั้งนี้ได้เลย
[พาลาดิโอ้: ――ส่งฝูงผีดิบมกรบินออกไป ไอ้พวกที่จดจ่ออยู่แต่การป้องกันปราการน่ะ จะสั่งสอนให้สำเหนียกเองว่าจักรพรรดิสู้รบเยี่ยงไร]
พอได้รับโทรจิตจากผู้บัญชาการ นักขี่มกรบินและมกรคู่หูก็บินอ้อมหุบเขาที่สูงและอันตรายเพื่อลักลอบเข้าเขตน่านฟ้าของนครป้อมปราการได้สำเร็จ
สิ่งที่นักขี่มกรบินและผีดิบมกรอีกเป็นร้อยตัวกำลังลากอยู่คือ “เรือเหาะมกรบิน” ซึ่งภายในบรรจุทหารผีดิบอยู่เต็มลำ
นักขี่มกรบิน: ไปเลย
เมื่อสิ้นเสียง เรือเหาะทั้งลำก็ถูกปล่อยลงไปสู่เมืองการ์คลาเบื้องล่าง มันคือวิธีการเคลื่อนทัพที่ใช้ได้เฉพาะกรณีที่ทหารเป็นผีดิบที่ไม่กลัวความตายเท่านั้น
กุสตาฟ: ――พวกกระผมน่ะ!!
ทาสดาบ: แกร่งที่สุด! แกร่งที่สุด! ――แกร่งสุดยอด!!
ทันใดนั้นเอง กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ซ่อนตัวอยู่ตามแนวหุบเขาก็กระโจนขึ้นไปบนเรือเหาะกำลังที่ร่วงลงมาและบดขยี้ทหารผีดิบพร้อมทั้งเรือเหาะให้เละเป็นเศษไม้
. “กุสตาฟ มอเรโล” และสมาชิกหน่วยรบเพลอาเดสจำนวนหนึ่งถูกมอบหมายให้เป็นกองกำลังพิเศษที่เรียกว่า “สเปเชี่ยลฟอร์ซ”
หน้าที่ของพวกเขาคือการเก็บตัวและรอสัญญาณอยู่เงียบๆ ระหว่างที่พวกพ้องคนอื่นกำลังต่อสู้อยู่ที่แนวหน้า เพื่อรอปฏิบัติภารกิจสุดอันตราย
พวกผีดิบจำเป็นต้องปักอาวุธของพวกมันไว้กับเรือเหาะ เพื่อใช้เป็นที่จับช่วยยึดเหนี่ยวไม่ให้ปลิวหลุดตอนที่เรือเหาะกำลังร่วงหล่น
นั่นกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้พวกมันไม่พร้อมตั้งรับการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบของพวกกุสตาฟที่กระโจนตัวขึ้นเรือเหาะไปอาละวาด
ในกลุ่ม “สเปเชี่ยลฟอร์ซ” ไม่ได้มีเฮียอิน ไวส์ หรืออิโดร่าอยู่ด้วย กุสตาฟเป็นผู้คัดเลือกพวกทาสดาบรุ่นเก๋ามาเป็นสมาชิกเองกับมือโดยอิงจากความสามารถเป็นหลัก
กุสตาฟ: ――โอ้ววววว!
โจซโล: ส่งกระต่ายมาฆ่าหมาป่าชัดๆ
เฟมเมล: พวกข้าน่ะคือสายลม ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จับตัวสายลมไม่ได้!
มิลแซ็ค: คุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! มาสู้กันสิ มาสู้กัน! เสี่ยงชีวิตนี่แหละโคตรมันส์!!
โจซโลจอมสันโดษ รวมถึงนักรบเลือดร้อนเฟมเมลและมิลแซ็คได้คว้าอาวุธบุกขึ้นเรือเหาะไปไล่บดขยี้ผีดิบร่วมกับกุสตาฟ
. ผลจากอำนาจ “คอร์ ลีโอนิส” ได้เสริมแกร่งเหล่าทาสดายผู้เจนศึกให้กลายเป็นนักรบผู้ดุดันที่สามารถต่อสู้ได้กระทั่งบนเรือเหาะที่กำลังร่วงหล่น
ที่จริงสถานการณ์เสี่ยงอันตรายช่วยดึงศักยภาพของพวกเขาให้ออกมาสูงยิ่งกว่าปกติด้วยซ้ำ ทาสดาบเหล่านี้จึงถูกคัดเลือกมาเป็นสมาชิก “สเปเชี่ยลฟอร์ซ”
ถึงแม้ภารกิจของพวกเขาจะอันตรายในระดับที่อาจเรียกได้ว่าฆ่าตัวตาย แต่ “บอส” แห่งหน่วยรบเพลอาเดสได้กำชับมาแล้วว่าห้ามให้มีใครตายเด็ดขาด
ว่าแล้วกุสตาฟจึงคว้าอาวุธที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา 4 อันแล้วใช้มันบดขยี้ศีรษะของผีดิบ 4 ตัวพร้อมกันทันที
ปกติกุสตาฟกดจิตต่อสู้ของตนไว้และคอยรักษาวินัย เนื่องจากเขาไม่ชอบแสดงความป่าเถื่อนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าหลายแขนออกมา
แต่เฉพาะในครานี้เท่านั้นที่กุสตาฟจะยอมปลดปล่อยความป่าเถื่อนที่เขาชิงชังออกมาให้เต็มที่เพื่ออาละวาดทำลายเรือเหาะของศัตรูให้ราบคาบ
กุสตาฟ: ――พวกกระผมน่ะ!!
ทาสดาบ: แกร่งที่สุด! แกร่งที่สุด! ――แกร่งสุดยอด!!
. กลยุทธ์ส่งเรือเหาะที่บรรจุทหารผีดิบบินอ้อมภูเขากิลโดเรย์เพื่อปล่อยลงสู่กลางเมืองนั้นไม่ใช่แผนการที่แย่เพียงแต่ว่ามันเป็นการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของผีดิบแบบตรงตัวเกินไป
เหล่ามันสมองประจำศูนย์บัญชาการเมืองการ์คลาจึงสามารถพลิกกลับสถานการณ์วิกฤติได้อย่างง่ายดายด้วย “สเปเชี่ยลฟอร์ซ” ที่เตรียมไว้เป็นมาตรการรับมือล่วงหน้า
แถมเซรีน่ายังส่งหน่วยมกรบินของเธอไปตามเก็บกวาดผีดิบนักขี่มกรของศัตรูที่ปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าให้ราบคาบอีกต่างหาก
ตามที่เซรีน่าได้ยินมา สาเหตุการตายของพาลาดิโอ้สมัยที่มีชีวิตอยู่ก็มาจากการที่เขายึดติดในแผนการแบบตรงตามตำราเกินไปนี่แหละ
จริงอยู่ว่า “พาลาดิโอ้ มาเนสค์” คือหนึ่งในรายชื่อของศัตรูที่พวกเซรีน่าเฝ้าระวังไว้ แต่ว่าพาลาดิโอ้จะเป็นภัยก็ต่อเมื่อมีผู้อื่นช่วยดึงศักยภาพจากเนตรมารของเขาออกมาเท่านั้น
ยามที่พาลาดิโอ้ตัวคนเดียว เขาไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเนตรมารของตนได้อย่างเต็มที่เลย ไม่เหมือนคราวที่เขาร่วมมือกับ “ลาเมีย ก็อดวิน” โจมตีขบวนรถมกรพ่วง
ชัดเจนว่าในแง่ความสามารถบัญชาการ ฝั่งการ์คลากำลังนำหน้าพวกผีดิบอยู่ และอีกไม่นานพาลาดิโอ้คงจะเริ่มเดินหมากก้าวต่อไปแล้ว
เซรีน่า: งัดไพ่ตายที่เก็บไว้ออกมาใช้แล้วสินะ ――แต่การใช้กำลังรบแบบสิ้นเปลืองอย่างต่อเนื่องน่ะรังแต่จะนำไปสู่ความพ่ายแพ้นะ
. มังกรอสูรเกล็ดสีดำปรากฏกายขึ้นที่เหนือน่านฟ้า มันส่งเสียงคำรามกึกก้องโดยไม่สนใจธนูที่ปักอยู่ตามปีก นามของมันคือมังกร “สามเศียร” วาลเกรน
ก่อนหน้านี้วาลเกรนเคยพ่ายแพ้ต่อ “จอมพิสมัย” แต่ในเมื่อฮาลิเบลไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย วาลเกรนจึงกลายเป็นไพ่ตายของฝั่งผีดิบอย่างไม่ต้องสงสัย
พาลาดิโอ้รีบส่งวาลเกรนออกมาต่อทันทีหลังแผนเรือเหาะอ้อมภูเขาล้มเหลว โดยกะว่าฝั่งการ์คลาจะไม่มีเวลารวมกลุ่มกำลังพล แต่นั่นก็ยังคงเป็นแผนการที่ตรงตามตำราเกินไป
“คาฟม่า อิรูลุกซ์” กู่ร้องอย่างห้าวหาญพลางเรียกเถาวัลย์หนามใหญ่ยักษ์ออกมาจากกำแพงเมือง เถาววัลย์หนามพวยพุ่งขึ้นฟ้าขึ้นไปผูกรัดปีกของมังกรอสูรเอาไว้
แน่นอนว่าคาฟม่าทำได้เพียงพันธนาการเป็นการชั่วคราว อีกไม่นานพละกำลังของมังกรก็คงจะดิ้นหลุดจากเถาวัลย์หนามได้
คาฟม่า: แต่ว่า หน้าที่ของตัวเราคือการซื้อเวลา 1 วินาทีนี้ไว้!
คาฟม่าตะโกนท้าทายวาลเกรนในขณะที่ทั่วร่างมีเส้นเลือดปูดเหมือนลายจุดและเลือดกำเดาไหลทะลัก เจ้ามังกรคงรำคาญมันจึงคำรามสวนกลับ
ยุลิอุส: ――อัล คราวเซเลีย
ตอนนั้นเองที่ “ผู้เยี่ยมยอด” ยิงประกายแสงสีรุ้งพุ่งขึ้นไปใส่ศีรษะทางด้านขวาของมังกรสามหัวจนหัวของมันกุดหายตั้งแต่โคนไปหนึ่งหัว
ทาริตต้า: เตรียมยิงด้วยค่ะ!
หัวหน้าของ “ชนเผ่าชูดราค” ไม่คอยท่า เธอยิงลูกศรสอยดวงตาสองข้างของหนึ่งในสองหัวมังกรที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พร้อมสั่งการลูกน้องต่อทันที
สาวเผ่าชูดราคสองคนเข้าประจำที่ คนหนึ่งใช้สายตากะระยะเล็ง ส่วนอีกคนดึงสายคาดของคันธนูยักษ์ซึ่งปกติต้องใช้แรงของ 10 คนในการดึง
คูนา: เล่น…มันเล๊ยยย!!
โฮลี่: เข้าเป้าแน่นอน!!
ศรลูกใหญ่พุ่งแหวกอากาศไปเข้าเป้าอย่างแม่นยำ ศีรษะของวาลเกรนข้างที่ตาบอดไปแล้วจึงถูกยิงทำลายตั้งแต่ส่วนกรามขึ้นไป
ถึงแม้จะเหลือเศียรตรงกลางแค่หัวเดียว วาลเกรนก็ยังคงรวบรวมความร้อนภายในร่างเพื่อเตรียมปลดปล่อยลมหายใจทำลายล้าง
ตอนนั้นเองที่มังกรอสูรเผลอสบตากับใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงขอบหน้าต่างของป้อมปราการที่มันเตรียมจะทำลายด้วยเปลวเพลิง
รัม: ――เอล ฟูล่า
หญิงสาวคนนั้นใช้เวทวายุที่แหลมคมและเรียบง่ายตัดเศียรสุดท้ายของวาลเกรน “สามเศียร” ทิ้ง เป็นอันปิดฉากไพ่ตายของฝั่งผีดิบ
. พาลาดิโอ้: บ้าน่า …บ้าน่า บ้าน่า บ้าน่า บ้าน่า บ้าน่า บ้าน่า บ้าน่า บ้าน่า!
พาลาดิโอ้ที่ได้เห็นความพ่ายแพ้ของมังกรอสูรผ่านเนตรมารถึงกับข่วนเส้นผมตัวเองด้วยความเดือดดาล
พาลาดิโอ้: ทำไมกัน! ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงอ่านแผนการของข้าได้! …มังกรอสูร “สามเศียร” บ้าบออะไรกัน!
แผนการลอบโจมตีด้วยเรือเหาะมกรบินถูกแก้ทางอย่างรวดเร็ว ส่วนมังกรอสูรวาลเกรนที่เคยอาละวาดในราชณาจักรลูกุนิก้าจนเป็นที่เกรงขามก็ดันถูกตัดสามหัวทิ้งอย่างง่ายดาย
พาลาดิโอ้: ทำไมพวกเจ้ามันถึงโง่เง่าได้เพียงนี้! แค่ทำหน้าที่ในฐานะมือและเท้าของข้ายังทำมิได้เลยงั้นเหรือ!
ทั้งหน่วยซุ่มโจมตี มังกรอสูร และกองทัพผีดิบที่ตีเจาะปราการด้านหน้าไม่ได้เสียทีล้วนแต่เป็นตัวถ่วงที่ช่วยอะไรพาลาดิโอ้ไม่ได้เลย
กลับกันทั้งวินเซนต์ พริสก้า และลาเมียต่างมีบริวารที่มีฝีมืออยู่ข้างกายทั้งนั้น
นั่นแหละคือความแตกต่าง พาลาดิโอ้แค่ขาดองค์ประกอบภายนอก ตัวเขามิได้ด้อยกว่าสามคนนั้นเลย
ที่จริงเจ้าพี่น้องสามคนที่เอาแต่พึ่งพาบริวารถือเป็นความขายหน้าของราชวงศ์ด้วยซ้ำ ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงอย่าง “จักรพรรดิพุ่มหนาม” ไม่จำเป็นต้องมีบริวารข้างกาย
พาลาดิโอ้: ใครก็ได้เสนอคำแนะนำมาซะ! แล้วเดี๋ยวข้าจะจัดการให้เอง!
พาลาดิโอ้ยอมกัดฟันเพื่อลดตัวลงมาถามความเห็นจากกองทัพผีดิบทั้งที่เจ้าตัวไม่อยากจะพึ่งพาใคร แต่ในเมื่อฝั่งศัตรูเล่นตุกติกอยู่เรื่อย พาลาดิโอ้ก็ต้องเปลี่ยนแนวทางบ้าง
พาลาดิโอ้: ไม่มีใครเลยงั้นหรือ! ส่งเสียงหน่อยสิ! มิเช่นนั้นล่ะก็…
??: ――ถ้างั้นก็ ขออนุญาตหน่อยนะ
บุคคลหนึ่งเดินฝ่ากลางดงผีดิบออกมา พาลาดิโอ้สัมผัสได้เลยว่าบรรยากาศของคนๆ นี้ต่างจากผีดิบตัวอื่นอย่างชัดเจน
พาลาดิโอ้: เจ้าทำอะไรได้บ้างล่ะ?
หญิงสาวผมขาว: นั่นสินะคะ …ก่อนอื่นก็ แสดงให้เห็นเลยดีกว่า
“หญิงสาวผมขาว” ที่อยู่เบื้องหน้าพาลาดิโอ้กล่าวเช่นนั้นพลางฉีกยิ้มและยื่นมือขึ้นสู่ท้องนภา
. ตัดไปทางฝั่งศูนย์บัญชาการ พอได้เห็นมังกรอสูร “สามเศียร” ที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันร่างสลายกลายเป็นฝุ่น อนาสตาเซียก็โล่งใจขึ้นมาเป็นกอง
เอคิดน่า(จิ้งจอก): ――อานา!!
แต่อยู่ดีๆ “เอคิดน่า” วิญญาณเทียมที่อาศัยอยู่กับเธอมานานกว่า 10 ปี ก็ตะโกนเรียกอนาสตาเซียระหว่างที่จดจ้องไปยังท้องฟ้าเหนือป้อมปราการ
ดวงตาของอนาสตาเซียที่ชำเลืองมองตามเอคิดน่าไปเบิกกว้างขึ้นโดยทันทีเช่นกัน เนื่องจากภาพอันน่าเหลือเชื่อตรงหน้า
อนาสตาเซีย: นั่นมัน…ดวงดาวเหรอ?
ที่ความสูงเหนือยิ่งกว่าตอนที่ฝูงมกรบินบินข้ามภูเขากิลโดเรย์และเหนือยิ่งกว่าตอนที่มังกรอสูร “สามเศียร” โบยบิน ――ดวงดาวกำลังร่วงหล่นลงมาสู่เมืองการ์คลา
ไม่ใช่เพียงแค่อนาสตาเซียและเอคิดน่า ทั้งออตโต้ เบลสเต็ตซ์ และเซรีน่าต่างก็พากันอ้ำอึ้งไปหมด มีเพียงเซรีน่าที่ยังพอพึมพำอะไรต่อได้
เซรีน่า: บรรยากาศเปลี่ยนไปแล้ว ――ไม่ว่าจะลงเอยด้วยชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ บทสรุปก็ใกล้มาถึงแล้วล่ะ
. พาลาดิโอ้: ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ดีมาก ใช่แล้ว ต้องอย่างนี้สิ! นี่แหละภาพที่ข้าอยากเห็น!
พาลาดิโอ้หัวเราะชอบใจเมื่อได้เห็นประกายแสงแห่งดวงดาวที่กำลังร่วงหล่นลงมาสู่สนามรบเบื้องล่าง
พาลาดิโอ้: สมควรมาอยู่ภายใต้ข้าเป็นอย่างยิ่ง! ต้องเพิ่มเจ้าเข้ามาเป็นบริวารของข้าเสียแล้ว! บอกชื่อมาสิ!
เมื่อหญิงสาวผมขาวหันหน้ากลับมา พาลาดิโอ้ก็พึ่งสังเกตเห็นว่าเธอคนนี้ไม่มีคุณลักษณะภายนอกของผีดิบอยู่เลย แต่แล้วเธอกลับช่วยเหลือเขาเสียอย่างนั้น
หญิงสาวทำการโค้งหัวคำนับก่อนที่จะตอบคำตอบที่พาลาดิโอ้เอ่ยถามไปเมื่อครู่ว่า…
แม่มดแห่งโลภะ: พอดีกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจนิดหน่อย เลยไม่รู้ว่าควรเรียกชื่อตัวเองว่าอะไรดีน่ะค่ะ แต่สำหรับในตอนนี้… เรียกว่า “แม่มดแห่งโลภะ” ไปก่อนละกัน
. จบตอน