webnovel arc8 chapter62

บทที่ 8 ตอนที่ 62 "พลังแห่งความรัก"

ศักยภาพที่แท้จริงของ “ดาบตะวัน” ที่วินเซนต์ใช้แผดเผา “แม่มด” สฟิงซ์ถึงดวงจิตยังคงทำให้สุบารุรู้สึกทึ่งไม่หาย สาเหตุที่แผนการนี้สำเร็จเป็นเพราะว่าวินเซนต์เก็บซ่อนไพ่ตายไว้อย่างมิดชิด

ตั้งแต่ “พิธีกรรมโลหิตชีวิน” ศึกที่เมืองกัวลาล ตอนที่อาราเคียโผล่มา วิกฤติการณ์ที่เมืองเคออสเฟลม การเล่นวิ่งไล่จับกับโอลบาร์ต จนมาถึงศึกที่ขบวนรถมกรพ่วง

วินเซนต์ไม่เคยหยิบไพ่ตายมาใช้เลยสักครั้ง จนกระทั่งสฟิงซ์หรือไม่ว่ามนุษย์ผู้ใดก็ตามต่างก็คาดไม่ถึงว่า “ดาบตะวัน” ยังเป็นตัวเลือกที่เขาใช้งานได้

เรื่องวินเซนต์ยังกั๊ก “ดาบตะวัน” เอาไว้อยู่ ก็เป็นสิ่งที่สุบารุพึ่งได้รับรู้มาสดๆ ร้อนๆ ผ่านการลูปหลังจากที่เริ่มต่อสู้กับสฟิงซ์

ถึงผลลัพธ์จะทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะ แต่สุบารุก็อดสงสัยไม่ได้ว่าวินเซนต์ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไงที่กั๊กไพ่ตายไว้ตอนที่พวกพ้องและตนเองตกที่นั่งลำบาก

เบียทริซทำการร่ายเวทมนตร์รักษาแขนของสุบารุซึ่งถูกสฟิงซ์หักไปก่อนหน้านี้พลางบ่นว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของวินเซนต์คงจะตายด้านไปแล้วเหมือนกับรอสวาล

เบียทริซเริ่มทำการรักษาจามาลต่อทันที ส่วนสปิก้านั้นปลอดภัยดี สุบารุจึงลูบหัวชมเชยผลงานของเธอ

. เท่ากับว่าปัจจุบัน พวกสุบารุมีไพ่ตายไว้กำจัดผีดิบเพื่อหยุดยั้ง “มหาภัยพิบัติ” อยู่ในมือแล้วสองอย่างคือ “กินดารา” ของสปิก้าและ “ดาบตะวัน”

สุบารุพยายามสั่งสอนสปิก้าอย่าไปเอาเยี่ยงอย่างวินเซนต์ที่กั๊กไพ่ตายและปล่อยให้คนอื่นลำบากลำบน ทำเอาวินเซนต์งงว่าพอปราบศัตรูเสร็จก็หาเรื่องกันต่อเฉย

สุบารุมองว่าสภาพแวดล้อมของจักรวรรดิมันไม่ดีต่อการสั่งสอนเด็กเลย สปิก้าควรจะถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนจิตใจดีที่เหมาะสมต่อการเป็นแบบอย่าง เช่น เอมิเลีย เรม เบียทริซ หรือทันซ่ามากกว่า

ส่วนออตโต้กับรอสวาลคงจะต้องกีดกันให้ห่างสปิก้าหน่อย สุบารุไม่แน่ใจด้วยว่าท่านพี่รัมจะเหมาะสมไหม แต่การ์ฟีลน่าจะส่งผลด้านบวก

ระหว่างที่สุบารุมัวแต่พึมพำเรื่องแผนการเลี้ยงเด็ก เบียทริซที่รักษาจามาลเสร็จแล้วก็เรียกทุกคนมารวมตัวกัน แต่ว่าจามาลยังคงหมดสติและนอนนิ่งอยู่

เบียทริซ: ในตอนนี้ถือว่าพ้นขีดอันตรายแล้วกระมัง แต่ว่า การรักษาไปมากกว่านี้จำเป็นต้องใช้เวลาเพิ่มเติม แถมยังขึ้นอยู่กับพลังงานสำรองของเบ็ตตี้ด้วยย่ะ

สุบารุ: พลังงานสำรองของเบียโกะ… หมายถึงมานาที่หลงเหลืออยู่สินะ?

เบียทริซ: ใช่แล้วกระมัง …ถึงจะสามารถดึงมาใช้ได้ฟุ่มเฟือยกว่าปกติเพราะมันเกิดอิเรกุล่าร์(ความผิดปกติ)ขึ้นนิดหน่อยก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากจะพึ่งพามันมากเกินจำเป็นย่ะ

สุบารุ: อิเรกุล่าร์…

อิเรกุล่าร์(ความผิดปกติ)ที่เบียทริซพูดถึงคือปริมาณมานาที่หลงเหลืออยู่มากผิดปกติในร่างของสุบารุ ซึ่งเป็น MP ที่เบียทริซสามารถดึงมาใช้ได้

สุบารุเคยคาดคะเนสาเหตุไว้สองแบบในประเด็นนี้ แพทเทิร์น(รูปแบบ)แรกคือ การเชื่อมต่อกับ “หน่วยรบเพลอาเดส” อาจจะส่งผลโพสิทีฟ(ทางบวก)ต่อร่างกายของสุบารุ

ส่วนแพทเทิร์นที่สองคือการที่สุบารุถูก “ย้อนวัย” ส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นต่อเกทของเขาด้วย แต่ถ้าเป็นแพทเทิร์นนี้ เบียทริซน่าจะรู้สาเหตุไปแล้ว

สุบารุจึงเลือกที่จะมองแง่บวกและเชื่อมั่นว่ามันเป็นผลกระทบจากแพทเทิร์นแรกมากกว่า กระนั้นเขาก็เห็นพ้องกับเบียทริซว่าไม่ควรหวังพึ่งมานาผิดปกติมากเกินจำเป็น

. ปัญหาต่อมาคือใครจะเป็นคนแบกจามาลที่ยังคงหมดสติอยู่ ซึ่งวินเซนต์ชิงออกตัวก่อนใครเลยว่าเขาจะไม่แบกจามาลเด็ดขาด

โดยวินเซนต์อ้างว่าตอนนี้เขาคือคนที่ต่อสู้ได้คล่องตัวที่สุดในกลุ่ม จึงควรมือว่างไว้ก่อน สุบารุเองก็โวยวายเพราะเขาพึ่งตะลุมบอนแคทไฟต์กับสฟิงซ์มาเหมือนกัน

สุดท้ายสปิก้าจึงกลายเป็นคนที่อาสาแบกจามาลเอง ซึ่งเธอสามารถยกร่างของผู้ใหญ่ได้ชิวๆ ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก

วินเซนต์: ――ดูเหมือนว่าการปล่อยให้ข้ามือว่างไว้ก่อนจะได้เห็นผลทันทีเลยล่ะนะ

ตอนนั้นเองที่พวกผีดิบเริ่มโผล่มารวมตัวกันบริเวณถนนที่พวกสุบารุยืนอยู่ นั่นแปลว่ากลไกของเวท “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” ยังคงไม่หยุดทำงาน ถึงแม้ว่าสฟิงซ์ “ควรจะ” ตายไปแล้ว

เบียทริซมองว่าจนกว่าพวกเขาจะทำลายซิสเต็ม(ระบบ)ทิ้ง ประเทศนี้ก็ยังคงนับถอยหลังสู่การล่มสลายตามขีดจำกัดของ “ก้อนศิลา” อยู่ดี

ประเด็นคือระบบที่ว่ามันอยู่ที่ไหน เพราะพวกเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าสฟิงซ์จะเก็บกลไกเวทมนตร์ไว้ที่พระราชวังแก้วผนึกซึ่งเป็นฐานทัพใหญ่หรือเปล่า

วินเซนต์: ――ไม่หรอก อยู่ที่พระราชวังแก้วผลึกไม่ผิดแน่ ไม่ว่าจุดประสงค์ของนัง “แม่มด” คืออะไร หากต้องการเชื่อมต่อกับ “ก้อนศิลา” แล้วล่ะก็ ยังไงก็จำเป็นต้องเข้าถึงแกนกลางของพระราชวังแก้วผลึก… จำเป็นต้องเข้าถึงโมโกร ฮากาเนะ

สุบารุ: โมโกรที่ว่าคือหนึ่งใน “เก้าแม่ทัพเทวะ” ไม่ใช่เรอะ?

วินเซนต์: ถูกต้อง ตอนนี้ถูกทำให้หลับใหลอยู่ในพระราชวังแก้วผลึก แต่ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องเป็นพระราชวังแก้วผลึกถูกทำให้หลับใหล ล่ะนะ

สุบารุ: หลังจากนี้! ยังไงก็ห้ามลืม! อธิบายมาให้ชัดเจนด้วย!

. ถึงแม้จะอยากฟังคำอธิบายให้กระจ่าง แต่เป้าหมายของพวกเขาตอนนี้ควรเป็นจะการมุ่งหน้าไปยังพระราชวังแก้วผลึกก่อน

แต่สุบารุก็ยังกระวนกระวายใจเรื่องความปลอดภัยของเอมิเลียและทันซ่าไม่หาย เนื่องจากเขายังไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบผลลัพธ์ของการส่งสองคนนั้นไปด้วยกันเลย

??: ――อะไรเนี่ย พวกนายทุกคนสะบักสะบอมกันหมดไม่ใช่รึไงนั่น ขนาดคุณจักรพรรดิยังเหงื่อท่วมหน้าผากกับเปื้อนโคลนเลย ทรงงานหนักจนประหลาดใจแท้น้า

ตอนนั้นเองที่เงาดำกระโจนตัวลงมาคั่นกลางระหว่างพวกผีดิบและกลุ่มของสุบารุ จากนั้นก็เดินชิวๆ มาหยุดตรงหน้าสุบารุกับเบียทริซและแบมือให้ดู

ฮาริเบล: สำหรับคนขยันทั้งหลาย… เอ้านี่ ของฝากน่ะ

สิ่งที่อยู่ในมือคือก้อนผลึกขนาดเท่าเหรียญซึ่งภายในมี “แมลงแกนกลาง” อยู่ สุบารุเข้าใจทันทีว่านั่นคือ “แมลงแกนกลาง” ของพวกผีดิบที่อยู่อีกฟากของถนน

ว่าแล้วมนุษย์หมาป่าขนดำ “ฮาริเบล” ก็ขยี้แมลงแกนกลางทิ้งคามือ ส่งผลให้ผีดิบส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนที่ร่างจะสลายกลายเป็นฝุ่น

การที่ฮาริเบลอยู่ที่นี่แปลว่าภารกิจจัดการศัตรูตัวฉกาจที่ขัดขวางเบสต์เพอฟอร์แมนซ์(ศักยภาพสูงสุด)ของทุกคนสำเร็จลุล่วงเรียบร้อยแล้ว

. สุบารุขอบคุณฮาริเบลและขอมอบหมายงานต่อทันที โดยสุบารุอยากให้ฮาริเบลติดตามเขาไปเป็นกำลังเสริมให้เอมิเลียกับทันซ่า

ส่วนเป้าหมายการทำลายระบบเวทมนตร์ในพระราชวังแก้วผลึกนั้น สุบารุกะให้วินเซนต์รับบทหนักไปเองก่อน

สุบารุ: ยังไงที่ปราสาทก็น่าจะมีคุณโอลบาร์ตอยู่ด้วย เพราะงั้นเอมิเลียกับทันซ่าต้องมาก่อน…

วินเซนต์: ช้าก่อน นัตสึกิ สุบารุ นั่นคือการตัดสินใจแบบอิงกลยุทธ์แล้วงั้นหรือ? ถ้าหากมิใช่ล่ะก็――

สุบารุ: ถ้านายยอมฟังกันจะบอกให้ก็ได้! เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเพอฟอร์แมนซ์ของชั้นเฟ้ย!

ฮาริเบล: เดี๋ยวก่อนๆ อย่าพึ่งตีกันเอง อีกอย่าง ศึกทางฝั่งปราสาทน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีผมก็ได้จริงไหม?

สุบารุ: เอ๋?

ฮาริเบล: ถือเป็นตัวอย่างของเรื่องที่ว่า “พลังแห่งความรักนั้นช่างยิ่งใหญ่” ชัดๆ เลยนะเนี่ย

“จอมพิสมัย” กล่าวเช่นนั้นด้วยสีหน้าที่มีทั้งอารมณ์ชื่นชมและเหนื่อยหน่ายใจผสมปนเปกัน

. ตัดไปอีกฝั่ง หญิงสาวผู้ยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวเธอคือ “ยอร์น่า มิชิกุเระ” หรือ “ไอริส” กันแน่ กำลังมองดูการต่อสู้เบื้องหน้าด้วยน้ำตาที่ไหลริน

เด็กสาวมนุษย์กวาง “ทันซ่า” กำลังต่อสู้อยู่กับผีดิบนักดาบเป็นกองทัพในชุดกิโมโนที่หญิงสาวเป็นคนเลือกให้เธอเองกับมือ

ทันซ่าที่หญิงสาวรู้จักเป็นเด็กที่ขาดความมั่นใจแท้ๆ แต่เธอในตอนนี้กลับต่อสู้ได้อย่างมั่นใจ คล่องแคล่ว และทรงพลัง

ทั้งพริสก้า ทั้งจักรวรรดิ ทั้งนครมาร ทั้งทันซ่า ทั้งยูการ์ด ตอนนี้จิตใจของหญิงสาวกำลังสับสนปั่นป่วนไปด้วยเหล่าสิ่งสำคัญในชีวิตหลายชาติภพของเธอ

เพราะงั้น เพื่อปกป้องหญิงสาวที่จิตใจแบกรับภาระหนักหนาจนสู้ไม่ไหว ทันซ่าจึงได้เข้าต่อสู้ด้วยพลังของ “วิชาวิวาห์ดวงจิต” และอีกพลังหนึ่งที่หญิงสาวไม่รู้จัก

ดูเหมือนว่าใครบางคนจะช่วยผลักดันให้ทันซ่าแข็งแกร่งขึ้นในช่วงที่เธอแยกห่างจากหญิงสาวไป

. เอมิเลีย: ทันซ่าจัง!

ทันซ่า: ค่ะ ท่านเอมิเลีย มาถล่มให้ยับกันเลย

เด็กสาวผมเงินที่ต่อสู้ด้วยอาวุธน้ำแข็งคอยใช้เวทมนตร์สนับสนุนทั้งการโจมตีและการตั้งรับให้แก่ทันซ่า ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเข้าขากันเป็นอย่างดี

ร่างแล้วร่างเล่าของ “เซียนดาบซากศพ” ถูกเด็กสาวสองคนประสานงานกันโจมตีทำลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ทว่า…

โลอัน: อา อา อา ขีดจำกัดของคนเป็นเนี่ย มันน่าเศร้าเหลือเกินน้าขอรับ จริงอยู่ว่าใช้พลังได้ไม่เลวเลย แต่จะใช้พลังได้อีกนานแค่ไหนเชียวล่ะ?

เอมิเลีย: โธ่เอ๊ย! เล่นขี้โกงก็อย่าอวดนักสิ!

เมื่อเอมิเลียประกบสองมือลงพื้น “หนามน้ำแข็ง” ก็แพร่ขยายจากถนนและต้นไม้ใบหญ้าพุ่งเข้าไปรัดตรึงแขน ขา และลำตัวของเหล่าผีดิบนักดาบ โดยที่ทันซ่าไม่โดนลูกหลงไปด้วย

ยอร์น่า/ไอริส: ――อึก

ทันซ่า: ท่านยอร์น่า!

อยู่ดีๆ หญิงสาวก็รู้สึกเจ็บอกขึ้นมา ทันซ่าจึงตะโกนเรืยกชื่อเธอด้วยความเป็นห่วง แต่ว่านั่นทำให้เด็กสาวเผลอเผยช่องโหว่ขึ้นมา

โลอัน: เพื่อชัยชนะแล้ว ต้องโลภเข้าไว้ขอรับ!

หนึ่งในร่างแยกของโลอันใช้จังหวะนั้นเตะอัดร่างของทันซ่าจนตัวปลิวไปกระดอนกับพื้นหลายตลบ แต่สุดท้ายทันซ่ากลับตัวกลางอากาศมาลงจอดในสภาพที่คุกเข้าอยู่กับพื้นได้สำเร็จ

. ในตอนนี้ทันซ่ากับหญิงสาวมากองอยู่ที่เดียวกันแล้ว “เซียนดาบซากศพ” จึงรุดหน้าเข้ามาเพื่อกำจัดทั้งสองไปพร้อมๆ กัน

ทันซ่า: ――ท่านเอมิเลีย!

เอมิเลีย: ค่ะ!

ทันซ่ายกขาขึ้นมาตั้งรับคมดาบของผีดิบในทันที เอมิเลียได้เสริมแกร่งรองเท้าเกี๊ยะของทันซ่าให้กลายเป็นรองเท้าเกี๊ยะส้นหนาที่ทำจากน้ำแข็ง

รูปร่างของมันคล้ายกับรองเท้าเกี๊ยะส้นหนาที่ “สีมั่งคั่ง” ยอร์น่า มิชิกุเระ เคยสวมใส่ไม่มีผิด

ทันซ่า: ――ย้ากกกกกกก!!

ทันซ่ากระโดดตีลังกากลางอากาศแล้วใช้ส้นรองเท้าน้ำแข็งอีกข้างหนึ่งตอกใส่ศีรษะของ “เซียนดาบซากศพ” จนร่างอัดกระแทกกับพื้น ก่อเกิดเป็นหลุมทรงกลมที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เมตร

ทันซ่าสะบัดชายกิโมโนอย่างพริ้วไหวขณะที่ผีดิบสลายกลายเป็นฝุ่นไปอีกร่าง เธอหันมายิ้มให้กับหญิงสาวและพยายามจะเอ่ยชื่อ “ยอร์น่า”

เอมิเลีย: ――อึก อย่านะ!

ตอนนั้นเองที่ “เซียนดาบซากศพ” อีกสองร่างปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังหญิงสาว แต่เอมิเลียที่อยู่ห่างออกไปชิงยิงลิ่มน้ำแข็งไปปักทะลุผีดิบสองตัวและเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งเสียก่อน

ทว่า หญิงสาวไม่มีเวลาให้ขอบคุณ เพราะมีผีดิบโลอันอีกตัวปรากฏตัวขึ้นด้านหลังทันซ่าที่ให้หันหน้ามาหาเธอ

ยอร์น่า/ไอริส: ข้าน้อยน่ะ…

ร่างของหญิงสาวที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมขยับในที่สุดก็กลับมาเคลื่อนไหวได้ เธอโอบกอดทันซ่าเอาไว้และพยายามโน้มตัวให้โครงร่างที่ใหญ่กว่าของเธอรับคมดาบของผีดิบแทน

??: ――กะแล้วเชียวว่าคนที่ทำให้เราผู้นี้ประหลาดใจได้เช่นนี้น่ะ ก็คงมีแต่เจ้านั่นแหละนะ

ดาบสีชาดเข้ามาขวางทางคมดาบของ “เซียนดาบซากศพ” เอาไว้ พร้อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังกังวานอยู่ในหูของหญิงสาว

การได้พบกันอีกครั้งของทั้งสองทำให้หัวใจของหญิงสาวรู้สึกราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าเศร้าโศกหรือยินดี ชายที่ใช้ดาบตั้งรับการโจมตีของศัตรูเอื้อมที่ว่างอยู่มาลูบแก้มของหญิงสาว

ยูการ์ด: กระทั่งใบหน้ายามเคร่งเครียดก็ยังน่ารักเลยนะ ดวงดาราของข้า

ยอร์น่า/ไอริส: ใต้เท้า…

ไม่ว่าตอนนี้เธอจะเป็นยอร์น่าหรือไอริส หญิงสาวก็มิอาจกักเก็บความรักอันพรั่งพรูที่มีต่อ “ยูการ์ด วอลลาเคีย” ผู้มีสีผิวและดวงตาราวกับสมัยยังมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป

. จบตอน