webnovel arc8 chapter63

บทที่ 8 ตอนที่ 63 "ปาฏิหาริย์ที่เก็บไว้ในริมฝีปาก"

คมดาบของฮาริเบลทำให้ “ยูการ์ด วอลลาเคีย” ได้ลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ในอกเขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เนื่องจากว่ายังไม่ทันได้ใช้เวลาพลอดรักกับไอริสเท่าที่ควร

ฮาริเบล: เรื่องการใช้คาตานะแบบเนี้ย ตัวผมนี่ระดับมือสมัครเล่นของแท้เลยล่ะ เหวี่ยงดาบไปแค่ทีเดียวก็รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกผลาญไปหมด

สีหน้าของฮาริเบลทำให้ยูการ์ดนึกถึงมนุษย์หมาป่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยมองยูการ์ดด้วยสายตาแบบเดียวกัน ระหว่างนั้นฮาริเบลก็พึมพำราวกับว่าเป้าหมายบางอย่างสำเร็จลุล่วง

ยูการ์ด: ――ความหลงผิดของผีดิบล่ะ?

ตอนนั้นเองที่ยูการ์ดรู้สึกตัวว่าความรู้สึกหมกมุ่นและมุ่งร้ายต่อคนเป็นมันเลือนหายไป ที่ผ่านมาเขาคอยกดอารมณ์นี้ไว้ด้วยความรักอันแรงกล้าที่มีต่อไอริสมาโดยตลอด

กระนั้นยูการ์ดก็ไม่สามารถขัดขืนจอมบงการผู้คืนชีพเขาขึ้นมาได้เลย จนกระทั่งฮาริเบลได้ใช้ “ดาบอสูร” มุราซาเมะตัดเอาความรู้สึกหมกมุ่นเหล่านั้นทิ้งไป

. ยูการ์ด: ดังนั้น สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ภายในตัวเรายามนี้จึงมีเพียงความรู้สึกที่มีต่อดวงดาราของข้า

ตัดกลับมาปัจจุบัน ยูการ์ดที่ทั้งสีผิวและสีตากลับคืนมาเป็นดังเดิมสมัยมีชีวิตอยู่กำลังกล่าวเช่นนั้นต่อ “ไอริส=ยอร์น่า” พลางสัมผัสมือไปที่แก้มของเธอ

ฝั่ง “เซียนดาบซากศพ” เองก็จดจ้องยูการ์ดที่บุกรุกเข้ามาขัดการต่อสู้ของเขาอย่างตื่นเต้น แต่ยูการ์ดไม่อยากจะเสียเวลาที่ตนมีอยู่จำกัดกับผู้อื่นที่ไม่ใช่ไอริส

ทันซ่า: ไปให้พ้น!

ตอนนั้นเองที่ทันซ่ากระโจนตัวออกจากอ้อมกอดของไอริส/ยอร์น่าเพื่อใช้ส้นเท้าน้ำแข็งเตะอัดผีดิบนักดาบ ทว่า โลอันใช้ฝักดาบตั้งรับลูกเตะของทันซ่าไว้ได้

เอมิเลีย: ฮึ่ยย่าห์!

แต่พอโลอันกำลังแสยะยิ้มได้ใจอย่างเริงร่า เอมิเลียที่ลอบเข้ามาจากด้านหลังก็ใช้ค้อนน้ำแข็งทุบเขาจนเละตั้งแต่หัวจรดเท้า

จนถึงตอนนี้เอมิเลียกับทันซ่าช่วยกันโค่น “เซียนดาบซากศพ” ไปกว่า 50 รอบแล้ว แต่ความสามารถการคืนชีพของผีดิบทำให้พวกเธอไม่สามารถเผด็จศึกอย่างเด็ดขาดได้

. ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ปะทะกับผีดิบนักดาบต่อ ทันซ่าก็เปิดฉากโจมตียูการ์ดด้วยส้นเท้าน้ำแข็งเสียก่อน แต่ฝั่งยูการ์ดนั้นยกด้ามจับของ “ดาบตะวัน” มากันไว้ได้

ยูการ์ด: ――หืม เป็นการจู่โจมที่อัดแน่นด้วยอารมณ์ไม่สมกับเป็นเด็กเลยนะ เพื่อเห็นแก่อนาคตของชาติ จะไม่ถือสาความเสียมารยาทก็แล้วกัน

ทันซ่า: ช่วยออกไปให้ห่างจากท่านยอร์น่าด้วยค่ะ

ไอริส/ยอร์น่า: ทะ…ทันซ่า! ทำอะไร… ทำอะไรกับใต้เท้าน่ะ!

ไอริส/ยอร์น่ารีบขอโทษยูการ์ดแทนทันซ่า แต่ว่าทางยูการ์ดนั้นไม่ได้ติดใจอะไร พอทันซ่าได้เห็นการสนทนาระหว่างทั้งสอง เธอก็เข้าใจว่ายูการ์ดมิได้มีเจตนาร้ายอยู่เลย

ตอนนั้นเองที่เอมิเลียวิ่งกลับมาสมทบและเตือนสติทุกคนว่ายังไม่ใช่เวลาคุยเล่น แถมเธอยังตรงปรี่เข้าไปทักยูการ์ดราวกับว่าแยกมิตรศัตรูออกได้ทันที

เอมิเลีย: คุณเป็นฝั่งเดียวกับพวกเราใช่ไหม?

ยูการ์ด: คิดเช่นนั้นได้เลย

เอมิเลีย: โล่งอกไปที! คุณน่ะแกร่งม้ากมากเลยใช่ไหมล่ะ! ขอพึ่งพาหน่อยนะ!

ยูการ์ด: เข้าใจแล้ว เชื่อมือได้เลย

ไอริส/ยอร์น่า: ใต้เท้า ร่างกายนั่น…

ยูการ์ด: น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงถ่านไฟคุที่กำลังจะมอดไหม้จนไม่เหลือ …แต่ว่า ก่อนจะถึงเวลาที่มันจะมอดไหม้ ทั้งกายและใจของเราผู้นี้ถือเป็นของเจ้า

ไอริส/ยอร์น่า: ――ค่ะ ใต้เท้า

. “เซียนดาบซากศพ” ที่ก่อนหน้านี้ถูกกำจัดไปหมดเริ่มผุดขึ้นมาจากผืนดินทีละคนคล้ายแมลงที่แตกรังหลังมีคนเผลอไปพลิกก้อนหิน

โลอันจดจ่อไปที่”ดาบตะวัน” วอลลาเคียในมือของยูการ์ด ซึ่งเป็นหนึ่งในเทวสมบัติอุปกรณ์มนตราเช่นเดียวกับ “ดาบมายา” และ “ดาบอสูร” ที่ลูกชายของเขาถือครอง

แม้ตัวเขาจะเคยเห็น “ดาบตะวัน” มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ประดาบกับผู้ถือครองมาก่อน เลือดนักสู้ในร่างโลอันจึงเดือดพล่านไปหมด

ไอริส/ยอร์น่าสัมผัสได้ถึงความน่าขนลุกที่ยากจะอธิบายจาก “เซียนดาบซากศพ” ซึ่งจิตใจทั้งหลงผิดและยึดติดยิ่งกว่าผีดิบตัวใด

ทันซ่าช่วยกุมมือที่สั่นเทาของไอริส/ยอร์น่าไว้ระหว่างที่ยูการ์ดบอกเอมิเลียว่าเขาขอเผชิญหน้ากับกองทัพโลอันที่เพิ่มจำนวนขึ้นมาเป็น 20 คนเพียงลำพัง

เอมิเลีย: แต่ว่า ถ้าหากมีแค่คุณ…

ยูการ์ด: ――“ยูการ์ด วอลลาเคีย” นั่นคือนามของเราผู้นี้

เอมิเลีย: วอลลาเคีย… ถ้างั้นก็

โลอัน: ยูการ์ด วอลลาเคีย… นี่หรือว่าจะเป็น “จักรพรรดิพุ่มหนาม” งั้นหรือขอรับ?

ยูการ์ด: มิเคยเรียกตัวเองเช่นนั้นเลย มีผู้อื่นทึกทักเรียกตัวเราเช่นนั้นกันเอาเอง ก็ถือเป็นคำเรียกที่เหมาะสมกับตัวเราสมัยขึ้นครองบัลลังก์ล่ะนะ คงจะเหลือบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลังได้ไม่ยาก

โลอัน: ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า! เหลือเชื่อเหลือเกิน! จักรพรรดิรุ่นที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวรรดิเทวาวอลลาเคีย การได้พบพานกับบุคคลเช่นนั้น… แสดงว่ากระผมยังมีโอกาสอยู่สินะขอรับ!

. “เซียนดาบซากศพ” เปล่งรังสีดาบอย่างรุนแรง ท่าทางว่าการได้เผชิญหน้ากับ “จักรพรรดิพุ่มหนาม” จะช่วยดึงจิตต่อสู้ของเขาออกมายิ่งกว่าเดิมแทนที่จะเกรงกลัว

โลอัน: หากกระผมโค่นฝ่าพระบาทลงได้ จะได้รับ “ดาบตะวัน” มาหรือเปล่า?

ยูการ์ด: จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อดาบยอมรับว่าเหมาะสมเท่านั้น แต่ว่า ไม่คิดจะยอมยกให้ง่ายๆ หรอก

โลอัน: โฮ่

ยูการ์ด: มีบริวารมากมายยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อทำให้ดาบเล่มนี้คู่ควรที่จะอยู่ในมือของเราผู้นี้

เมื่อสิ้นสุดคำพูด ต่างฝ่ายต่างใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาในการย่นระยะห่าง 10 เมตรเพื่อเข้าประชิดคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด

ร่างแยกของโลอันทั้ง 20 ร่างกระจายตัวแบ่งกลุ่มย่อยออกเป็น 4 กลุ่ม ก่อนที่จะรุมตวัดดาบกระหน่ำเข้ามาจากสี่ทิศดุจกังหันลม

มันคือวายุดาบแสนป่าเถื่อนที่บุคคลธรรมดาผู้ขัดเกลาวิชาดาบของตนไปถึงระดับหัวแถวได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดเข้าสู่ระดับที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก

. เอมิเลียและทันซ่าอ้าปากค้างด้วยความตกตลึง แต่ไอริส/ยอร์น่านั้นเชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขาว่าการประดาบครั้งนี้จะจบลงภายในการแลกดาบเพียงครั้งเดียว

ประกายแสงจาก “ดาบตะวัน” เผาผลาญดาบทั้ง 20 เล่มของเหล่าโลอันให้มอดไหม้ในพริบตา

ภายในการตวัดดาบครั้งเดียว “ราชาแห่งหนาม” สามารถปลดอาวุธทั้งหมดและเฉือนลำคอของหนึ่งในร่างแยกได้สำเร็จ

โลอัน: เพียงแค่นี้มันยัง ――เฮือก

ผีดิบนักดาบหลงมั่นใจว่าเขายังเหลืออีก 19 ร่างที่ต่อสู้ได้ ส่วนร่างที่ถูกเฉือนคอตายไป ก็มีครั้งหน้าให้กลับมาใหม่เสมอ ทว่า…

ไอริส/ยอร์น่า: จบแล้วเจ้าค่ะ

พริบตาต่อมาร่างของโลอันที่ถูกฟัน รวมถึงอีก 19 ร่างที่เหลือก็มีไฟลุกติดเป็นหมู่คณะ เนื่องจาก “ดาบตะวัน” ได้จุดประกายเพลิงที่รากฐานดวงจิตของ “เซียนดาบซากศพ” ไปแล้ว

ผีดิบนักดาบส่งเสียงร้องโหยหวน เมื่อมีร่างใดร่างหนึ่งถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน โลอันก็พยายามสร้างร่างใหม่ขึ้นมาแทนที่ แต่ร่างแยกใหม่เองก็ถูกไฟลุกท่วมร่างอยู่ดี

โลอันกลิ้งตัวทับซากขี้เถ้าจากร่างแยกของตัวเขาเองร่างแล้วร่างเล่า จนในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าเปลวเพลิงแห่ง “ดาบตะวัน” ไม่มีทางดับมอดลงได้

โลอัน: อา… อา… ไอ้เวรเอ๊ย ต้องมาจบลง แค่นี้เองงั้นเหรอ… เฮือก!

เปลิวเพลิงเผาไหม้ลำคอจนโลอันร่างนั้นลงไปนอนชักดิ้นชักงอ “เซียนดาบซากศพ” เอื้อมมือขึ้นสู่ท้องนภาในวาระสุดท้ายก่อนที่จะกลายเป็นเถ้าถ่าน

. ไม่มีร่างแยกของผีดิบโลอันโผล่มาให้เห็นในบริเวณนั้นอีกต่อไป ไอริส/ยอร์น่าจึงอธิบายให้ทันซ่ากับเอมิเลียเข้าใจว่าเปลวเพลิงคงแผดเผาดวงจิตของเขาจนมอดไหม้ไปแล้ว

เอมิเลียรู้สึกยินดีที่พวกตนเป็นฝ่ายชนะ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าหม่นหมองต่อความตายของผีดิบนักดาบเช่นกัน

เมื่อก่อนไอริส/ยอร์น่าเองก็มีนิสัยไม่ต่างจากเอมิเลีย แต่พอเวียนว่ายตายเกิดหลายชาติภพ เธอก็จำใจต้องละทิ้งความใจอ่อนเช่นนั้นไป

ยูการ์ด: ――ดวงดาราของข้า

ไอริส/ยอร์น่า: ใต้เท้า หนามมัน…

ไอริส/ยอร์น่าพึ่งมารู้ตัวถึงความผิดปกติ นั่นคือผลกระทบของ “คำสาปแห่งหนาม” ที่ควรจะผูกติดอยู่กับดวงจิตของยูการ์ดแม้กระทั่งหลังความตายมันหายไป

หนามไม่ได้ผูกรัดหัวใจของไอริส/ยอร์น่า เอมิเลีย หรือทันซ่าเลยสักคน ราวกับว่ายูการ์ดได้เป็นอิสระจาก “คำสาปแห่งหนาม” แล้ว

ไอริส/ยอร์น่า: คำสาปถูกคลายออกแล้วงั้นหรือเจ้าคะ?

ยูการ์ด: ――ไม่ใช่หรอก “คำสาปแห่งหนาม” มิได้ถูกคลาย แต่ยังคงอยู่ คำสาปเพียงแค่มิได้อยู่กับตัวเราผู้นี้แล้ว หากแต่ถูกถ่ายโอนไปยังผู้อื่นแทน

ไอริส/ยอร์น่า: …ถูกถ่ายโอน? เรื่องแบบนั้น…เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ด้วยงั้นหรือเจ้าคะ?

ยูการ์ด: เจ้านั่นทำให้มันเป็นไปได้ มันมิใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในยุคสมัยที่เราผู้นี้มีชีวิตอยู่ ในเมื่อเวลาผ่านพ้นไปนับแต่ตอนนั้น ภูมิปัญญามากมายก็ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน โลกมันช่างวิเศษเหลือเกิน

น้ำเสียงของยูการ์ดบ่งบอกชัดเจนว่าเขารู้สึกซาบซึ้งต่อผู้ที่คลายคำสาปมากเพียงใด ยอร์น่าเองก็ปลื้มปิติที่ความปรารถนาอันยาวนานของเธอกลายเป็นจริง

. ทันซ่า: ท่านยอร์น่าคะ บุคคลนี้คือใคร

ไอริส/ยอร์น่า: ทันซ่า ท่านผู้นี้คือฝ่าพระบาทยูการ์ด วอลลาเคีย… เป็นคน… เป็นบุคคลเจ้าปัญหาผู้เป็นที่รักของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ

ทันซ่ามีอึ้งไปเล็กน้อย แต่พอหายลังเล เธอก็หันไปมองยูการ์ดแล้วแนะนำตัวต่อ

ทันซ่า: ชื่อว่า “ทันซ่า” ค่ะ ทำหน้าที่เป็นจางวางของท่านยอร์น่าค่ะ

ยูการ์ด: งั้นเองหรือ ทันซ่า ช่วงที่เราผู้นี้ไม่อยู่ เจ้าเป็นคนช่วยดูแลดวงดาราของข้าเองสินะ ซาบซึ้งใจอย่างมาก

เพียงแค่ได้เห็นยูการ์ดแลกเปลี่ยนคำพูดกับทันซ่าในระยะห่างที่หากเป็นเมื่อก่อนคงมีแต่ตัวเธอที่ทำได้ ไอริส/ยอร์น่าก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา

เอมิเลีย: ฉันชื่อเอมิเลีย แค่เอมิเลียเฉยๆ น่ะ ยูการ์ด ยังพอช่วยเราต่อไหวไหม?

ยูการ์ด: แน่นอนสิ ผู้ที่ปลดปล่อยเราผู้นี้จากหนามที่ทรมานเรามาอย่างยาวนาน… “กรูวี่ กัมเล็ต” ได้ฝากฝังบางสิ่งเอาไว้ เราผู้นี้ ต้องทำหน้าที่ทดแทนเจ้าหมอนั่น

ไอริส/ยอร์น่า: กรูวี่… ท่านคนนั้นเองสินะ ผู้ที่ปลดปล่อยใต้เท้าจากคำสาป…

หลังได้ทราบชื่อของผู้มีพระคุณต่อเธอ ยูการ์ดก็เรียกไอริส/ยอร์น่าเพื่อบอกย้ำเตือนเรื่องสำคัญอีกครั้ง

ยูการ์ด: เราผู้นี้อยากที่จะมอบทั้งกายและใจให้แก่เจ้า ที่พูดไปเช่นนั้นมิได้โกหก เพราะงั้น――

ไอริส/ยอร์น่า: ต่อให้ไม่บอก ก็จะขอไปด้วยเจ้าค่ะ ――ไม่อยากจะอยู่ห่างกันแม้เพียงชั่ววินาทีเดียวอีกแล้วเจ้าค่ะ

จนกว่าเธอจะสูญเสียเขาไปอีกครั้ง ไอริส/ยอร์น่าปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจว่าจะกักเก็บปาฏิหารย์นี้ไว้ที่ริมฝีปาก

. “โลอัน เซ็กมุนต์” ได้กลิ่นดวงจิตของตนเองลุกไหม้ ถึงแม้ว่าร่างกายที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปแล้วก็ตาม

เปลวเพลิงที่ไม่มีวันดับสูญนี้ได้เปลี่ยนทุกร่างแยกที่โลอันฝืนสร้างขึ้นใหม่ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน และมันจะไม่มีวันดับลงจนกว่าจุดจบจะมาถึง

มันเป็นเปลวเพลิงที่โดนน้ำไม่ดับและไม่ลุกลามไปเผาอย่างอื่นนอกจากร่างกายของเขา ต่อให้ตัดชิ้นส่วนร่างกายที่ลุกไหม้ทิ้ง ส่วนที่เหลือก็จะติดไฟตามอยู่ดี

ดวงจิตของ “โลอัน เซ็กมุนต์” กำลังจะถูก “ดาบตะวัน” แผดเผาจนวอดวายก่อนที่เขาจะไปถึงปลายทาง ซึ่งก็คือการบรรลุ “ดาบสุราลัย”

โลอันตัดสินใจวิ่งหนีออกมาให้ไกลจากสนามรบ หนีให้ห่างจาก “จักรพรรดิพุ่มหนาม” ทุกครั้งที่ท่อนล่างของเขาไหม้เกรียมเป็นถ่าน โลอันจะเชือดคอตัวเองทิ้งเพื่อไม่ให้เสียเวลาเริ่มเดินก้าวต่อไป

เขาออกวิ่ง ลุกไหม้เป็นถ่าน ฆ่าตัวตาย สร้างร่างแยกใหม่ ทำแบบนี้วนเวียนไปเรื่อยๆ เพื่อยื้อเวลาก่อนที่ดวงจิตจะมอดไหม้จนหายไป

โลอัน: อะไรกันละเนี่ย… กระผมยัง…มีโอกาสอยู่…อย่างที่คิดเลย

โลอันเชื่อมั่นว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงบททดสอบด่านต่อไปเพื่อที่จะช่วยให้ตัวเขาย่างก้าวเข้าใกล้ “ดาบสุราลัย” มากยิ่งขึ้น

. เปลิวเพลิงที่ลุกไหม้บนเทียนย่อมร้อนแรงที่สุดก่อนที่มันจะดับมอดลง โลอันในปัจจุบันรู้แจ้งถึงรูปลักษณ์ของดวงจิตตนเองมากกว่าที่เคย หลังจากที่สัมผัสความตายมาหลายครั้งหลายครา

โลอันปรารถนาอย่างแรงกล้สที่จะบรรลุ “ดาบสุราลัย” ให้จงได้ ต่อให้เขาจะเหลือเวลาได้บรรลุเพียงแค่ 1 วินาทีก่อนที่ดวงจิตจะดับสลายไปก็ตาม

ดังนั้น เพื่อการนั้นแล้ว…

??: ――แหมๆๆ เห็นมีใครกำลังวิ่งแทบเป็นแทบตายอยู่ ไม่นึกเลยว่าจะโผล่มาแบบตัวไหม้ด้วย! นี่มันช่างเป็นผลงานแสดงที่ตระการตาอะไรเช่นนี้เนอะครับ

โลอันรู้สึกซาบซึ้งต่อผลกรรมที่ช่วยมอบปาฏิหาริย์นี้แก่ตัวเขา เนื่องจากว่าน้ำเสียงที่ได้ยินและบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าทัศนวิสัยที่ลุกไหม้คือเป้าหมายที่โลอันตั้งใจจะมุ่งหน้าไปหาก่อนที่ดวงจิตจะมอดไหม้พอดี

ทั้งโลอันที่ทั่วร่างกำลังลุกไหม้และหนุ่มน้อยที่กำลังอุ้มเด็กสาวผิวสีน้ำตาลอยู่ต่างฉีกยิ้มที่แสนผิดเพี้ยนไม่เข้ากับสถานการณ์แบบเดียวกันออกมา

เซซิลุส: ตอนนี้พึ่งจะเคยคิดแบบนี้กับคุณพ่อเป็นครั้งแรกเลย ――ไม่เกลียดเลยครับ ชอบด้วยซ้ำ

. จบตอน