การเปลี่ยนแปลงดวงจิตส่งผลให้ร่างภาชนะของสฟิงซ์เบื้องหน้าพริสซิลล่ากลายเป็น “แม่มดแห่งโลภะ” ได้สำเร็จ ราวกับเป็นลิขิตสวรรค์ของพวกนักอ่านดารา
“ดวงจิตกับกายเนื้อเกี่ยวเนื่องกันแบบมิอาจแยกได้” คือกฎเหล็กของโลกนี้ที่กระทั่งสิ่งไร้มวลสารอย่างวิญญาณยังต้องยึดตาม
เมื่อใดก็ตามที่ดวงจิตกับกายเนื้อไม่เข้ากัน กายเนื้อจะถูกบังคับให้ปรับสภาพตามดวงจิตเพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมชาติดังกล่าว ศาสตร์แห่งชิโนบิหรืออาคมผนึกแห่งการเกิดใหม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ทว่า ศาสตร์ชิโนบิอาศัยทักษะความเชี่ยวชาญในการปรับแต่งดวงจิต ส่วนอาคมผนึกนั้น ผู้ใช้วิชาจำเป็นต้องมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับเหยื่อสังเวยมหาศาลที่ต้องใช้
เนื่องจากไม่สามารถใช้สองวิธีข้างต้นได้ สฟิงซ์จึงหันมาใช้ “มหาภัยพิบัติ” สร้างผีดิบนับไม่ถ้วนขึ้นมาเป็นหนูทดลองเพื่อทำการศึกษาวิจัยดวงจิตแทน
. สฟิงซ์รู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วว่า “มหาภัยพิบัติ” จะเกิดขึ้น เธอจึงเดิมพันดูว่าแผนการของตนจะควรค่าแก่การกลายเป็น “มหาภัยพิบัติ” ตามคำทำนายไหม
สุดท้ายสฟิงซ์ก็ประสบความสำเร็จ แต่กว่าจะมาถึงจุดนั้น เธอต้องเสี่ยงเดิมพันกับปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากมาย กระทั่งยอมตายให้ตัวเองกลายเป็นผีดิบ
แถมยังโชคดีที่ในบรรดาผีดิบมีผู้ที่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงดวงจิตของตนอย่าง “ลาเมีย ก็อดวิน” และ “เนตรยักษ์” อิซเมลอยู่ สฟิงซ์จึงนำมาเป็นต้นแบบได้
มิหนำซ้ำ “ดาบตะวัน” ที่ควรจะสังหารเธอดันกลายเป็นชนวนสุดท้ายที่กดดันให้สฟิงซ์รีบวิเคราะห์ทุกตัวเลือกที่มีเพื่อเอาตัวรอดอีกต่างหาก
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปเป็นผลมาจากการปรับแต่งดวงจิตให้ใกล้เคียงตอนมีชีวิตอยู่ ดังนั้น แท้จริงแล้วสฟิงซ์ก็ยังคงมีสถานะเป็นผีดิบอยู่ดี
พริสซิลล่าชื่นชมผลงานของสฟิงซ์ที่สามารถดิ้นรนเอาตัวรอดมาได้ ทำเอาสฟิงซ์เกิดความรู้สึกประหลาดและตัดสินใจว่าเธอไม่ควรฟังพริสซิลล่ามากไปกว่านี้
เมื่อเห็นความดื้อดึงนั้น พริสซิลล่าจึงเปิดเผยความจริงเบื้องหลังสาเหตุที่สฟิงซ์มุ่งหมายทำลายจักรวรรดิและไม่ยอมฆ่าพริสซิลล่าเสียทีออกมา
พริสซิลล่า: เจ้าน่ะ จงใจปล่อยให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้เห็นจุดจบของจักรวรรดิ เหตุใดต้องทำเช่นนั้นน่ะหรือ? ก็เพื่อที่จะให้ข้าพเจ้าได้เห็นประเทศบ้านเกิดล่มสลายจนหัวใจของข้าพเจ้าแตกสลายยังไงเล่า ――รากฐานทั้งหมดมาจากความเกลียดชังอันไร้ก้นบึ้งที่มีต่อตัวข้าพเจ้า
สรุปแล้ว จุดประสงค์หลักสองอย่างของแม่มดสฟิงซ์ คือ การเปลี่ยนแปลงดวงจิตให้กลายเป็น “แม่มดแห่งโลภะ” และการชำระความแค้นที่มีต่อ “พริสซิลล่า บาริเอล”
. ตัดกลับไปทางอัลเดบารันซึ่งกำลังพบเจอกับบุคคลที่เขาไม่ควรจะได้พบ บรรยากาศรอบตัวหญิงสาวผมขาวกำลังบิดเบี้ยวราวกับว่าเธอกำลังเตรียมใช้เวทมนตร์บางอย่าง
อัล: ――เอคิดน่าาาาาาาา!!
อัลที่เดือดดาลทำการเขวี้ยงดาบมังกรฟ้าที่สร้างจากหินไปหา “แม่มดแห่งโลภะ” ที่ลอยอยู่กลางอากาศทันที
แม่มดแห่งโลภะ: ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่เรียกฉันด้วยชื่อนั้นอยู่ด้วย ‘อธิบาย’ จำเป็นค่ะ
นังแม่มดเอียงตัวหลบดาบหินที่หมุนควงเข้ามาอย่างง่ายดาย โดยที่ใบดาบไม่ได้เฉี่ยวโดนเลยด้วยซ้ำ ทว่า…
อัล: เอาไปแดกซะ!
ดาบหินเปล่งแสงและระเบิดออกตามคำสั่งของอัล มันกระจายออกเป็นเศษหินแหลมคมจำนวนมหาศาลที่ปลิวเข้ามาหมายบาดร่างของนังแม่มดให้เจ็บหนัก
การวางแผนล่วงหน้าหลายจังหวะและการใช้มานาจำนวนน้อยที่สุดเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือวิธีการต่อสู้ที่อัลถนัด เพราะว่าเขาเคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องทำเช่นนั้นเพื่อความอยู่รอด
นังแม่มดลอยตัวอยู่กับที่และปล่อยให้สายลมจากเวทมนตร์เหาะเหินที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ปัดเป่าเศษหินให้เองโดยอัตโนมัติ
แต่อัลอาศัยจังหวะชั่วครู่ที่เธอหันไปสนใจทางอื่นใช้เวทปฐพีสร้างแท่นยืนจากผืนดินที่งอกเงยขึ้นมาเพื่อใช้มันเป็นจุดจัมพ์(กระโดด)เข้าประชิดนังแม่มด
. อัลเปลี่ยนหินจากแท่นกระโดดส่วนหนึ่งให้กลายเป็นดาบมังกรฟ้าเล่มที่สองด้วย การสร้างดาบจากเศษหินนั้นทั้งใช้มานาน้อยกว่าและเรียนรู้ง่ายกว่าการสร้างวัตถุจากเวทอัคคีหรือวารีมากโข
อัลที่เข้าประชิดสำเร็จตวัดดาบมังกรฟ้าเต็มแรงด้วยความเกลียดชัง นี่เป็นการโจมตีที่ระบบออโต้การ์ดของเวทมนตร์เหาะเหินไม่สามารถช่วยป้องกันได้
แม่มดแห่งโลภะ: ขอชื่นชมแนวคิดในการชดเชยฝีมือที่ไม่เพียงพอด้วยความคิดสร้างสรรค์ค่ะ แต่ ‘ฝีมือ’ จำเป็นค่ะ
อัล: อ่อก!
ทว่า นังแม่มดใช้มือเปล่ารับใบดาบของอัลไว้ได้อย่างง่ายดายก่อนที่จะเตะอัดหน้าท้องเต็มๆ จนเขาร่วงกลับลงไป
อัลม้วนตัวลงจอดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คอหักได้ทันท่วงที แต่การเคลื่อนไหวอันน่าเหลือเชื่อของนังแม่มดทำให้เขาอึ้งจนสับสนไปหมด
“แปลกชะมัด นี่มันไม่น่าเป็นไปได้”
เอคิดน่าที่อัลรู้จักมีความสามารถทางกายภาพเข้าขั้นห่วยแตก ต่อให้เธอจะเข้าใจภาคทฤษฎีมากเพียงใด ก็ไม่เคยเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ได้สำเร็จเลยสักครั้ง แค่ท่าหกสูงก็ทำไม่ได้แล้ว
อัล: ไม่ใช่อาจารย์… ไม่ใช่เอคิดน่างั้นเหรอ?
แม่มดแห่งโลภะ: ความประหลาดใจของทางนั้นน่าสนใจดีนะคะ แม้ว่าคิดตามปกติแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เถอะ แต่คุณน่ะรู้จักผู้สร้างของฉัน ――ได้ไงกันคะ?
. “แม่มดแห่งโลภะ” มีใบหน้าและเสียงเหมือนกับเอคิดน่าไม่มีผิด แต่นังแม่มดคนนี้ยังขาดความใคร่รู้อันไร้ก้นบึ้งเฉกเช่นเอคิดน่าตัวจริง
อัลจึงได้ข้อสรุปว่าเธอไม่น่าใช่คนเดียวกับ “แม่มดแห่งโลภะ” ที่เขารู้จัก
แม่มดแห่งโลภะ: ปฏิเสธที่จะตอบงั้นเหรอคะ นอกเสียจากที่เป็นผู้ติดตามของพริสซิลล่า บาริเอลแล้ว อยากจะรู้ให้ได้ว่าคุณเป็นใครกันแน่ค่ะ――
เซซิลุส: ――อา ถ้างั้นล่ะก็ เสียใจด้วยครับ คงเป็นไปไม่ได้แล้วแหละ
ในขณะที่นังแม่มดชี้นิ้วไปหาอัลที่ลุกแทบไม่ไหว เซซิลุสที่อุ้มอาราเคียอยู่ในมือก็ปรากฏกายที่ด้านหลังเธอดุจสายฟ้าแลบและใช้ “ดาบมายา” ตัดหัวนังแม่มดทิ้งทันที
เซซิลุสแลบลิ้นใส่แม่มดแห่งโลภะที่ศีรษะขาดกระเด็นด้วยความหมั่นไส้ เพราะก่อนหน้านี้นังแม่มดได้ดูถูกเขาไว้ว่าไม่สามารถฆ่าตัวเธอได้
แม่มดแห่งโลภะ: ――‘วิเคราะห์’ จำเป็นนะคะ
พริบตาหลังจากที่ศีรษะของนังแม่มดฉีกยิ้มเยาะเย้ย บรรยากาศที่อยู่รอบกายร่างไร้หัวของเธอก็เกิดการบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงงกลายเป็นสีขาวโพลน
× × ×
แม่มดแห่งโลภะ: ปฏิเสธที่จะตอบงั้นเหรอคะ นอกเสียจากที่เป็นผู้ติดตามของพริสซิลล่า บาริเอลแล้ว อยากจะรู้ให้ได้ว่าคุณเป็นใครกันแน่ค่ะ――
เซซิลุส: ――อา ถ้างั้นล่ะก็ เสียใจด้วยครับ คงเป็นไปไม่ได้… หวาๆๆๆๆๆ หวา!?
ก่อนที่เซซิลุสจะทันได้ตัดศีรษะของนังแม่มด ก็มีกำแพงดินโผล่พรวดขึ้นมาขวางกั้นเสียก่อน เซซิลุสจึงดีดตัวจากกำแพงดินมาลงจอดตั้งตัวใหม่
เซซิลุส: เดี๋ยวสิๆ คุณอัล! อยู่ดีๆ จะขวางกันทำไมครับเนี่ย! เมื่อกี้ควรจะเป็นฉากที่ตัวผมซึ่งโดนดูถูกไว้ตอนแรกได้แสดงฝีมือสุดเจ๋งให้เห็นไม่ใช่เหรอ! พวกออเดียนซ์(ผู้ชม)เขาบูอิ้ง(ส่งเสียงโห่)กันใหญ่แล้วครับเนี่ย!
อัล: โทษทีที่แย่งฉากเด่นไป แต่ปล่อยให้ทำงั้นไม่ได้หรอกเฟ้ย เพราะถ้าขืนปล่อยเอาไว้ ทุกคนคง… หรืออย่างน้อยแค่ตัวชั้นคงโดนเป่ากระจุยไปแล้วล่ะนะ
แม่มดแห่งโลภะ: ――หืม
อัลรู้ตัวแล้วว่านังแม่มดวางกลไกเวทมนตร์ประเภท “เดดแมนสวิตช์” ซึ่งจะทำงานทันทีที่เธอถูกฆ่าเอาไว้ มันจะส่งผลให้บรรยากาศที่บิดเบี้ยวรอบตัวเธอเกิดระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรง
หลังลูปมาแล้วกว่า 53 รอบ อัลได้ข้อสรุปว่าเดดแมนสวิตช์ของนังแม่มดไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขารับมือได้ ทั้งกำแพงดินหรือชุดเกราะหินต่างก็ป้องกันแรงระเบิดไม่ไหว
จริงอยู่ที่เซซิลุสรวมถึงอาราเคียที่เขาอุ้มอยู่อาจจะรอดไปได้ แต่ตัวอัลเองนั้นไม่มีโอกาสรอดเลย
. อัลถามนังแม่มดว่าเธอเป็นใครกันแน่ ซึ่งก็ได้คำตอบแบบเดิมว่า “แม่มดแห่งโลภะ” ที่เป็นฉายาของเอคิดน่าอยู่ดี
เซซิลุสจึงช่วยอธิบายว่าแม่มดคนนี้คือผู้บงการเบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ” ผู้เป็นตัวการที่คืนชีพเหล่าผีดิบกลับคืนมา ทำเอาอัลแอบเขินที่เข้าใจสถานการณ์ช้ากว่าเซซิลุส
อัล: ปัญหามันอยู่ที่… รูปลักษณ์ของเอ็งนี่แหละ …นอกเสียจากว่าอาจารย์ทำอะไรไม่เข้าเรื่องไว้อีกแล้ว ก็คิดความเป็นไปได้อื่นไม่ออกเลยว้อย!
แม่มดแห่งโลภะ: เรื่องที่ว่าคุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับผู้สร้าง ‘ยืนยัน’ คงจะต้องจำเป็นค่ะ
อัลไม่มีทางยอมรับนังตัวปลอมคนนี้เป็น “แม่มดแห่งโลภะ” อย่างเด็ดขาด เพราะเขารู้ซึ้งดีว่า “แม่มด” มิใช่ฉายาที่ควรมอบให้ใครอย่างสะเปะสะปะ
แม่มดแห่งโลภะ: ไม่ได้กระหายที่จะอวดอ้างความสำเร็จหรอกนะคะ แต่พอโดนหมิ่นว่าการที่ฉันมาถึงจุดนี้มันง่ายก็แอบหงุดหงิดเอาเรื่องค่ะ
อัล: หนวกหูว้อย ตายไปสักร้อยรอบก่อนค่อยมาพล่าม ――เริ่มต้นการทดลองทางความคิดใหม่ ตั้งค่าอาณาเขตใหม่
อัลทำการปรับค่าเมทริกซ์ใหม่ จากนั้นก็จ้องเขม็งไปยังนังผู้หญิงน่ารำคาญและเปิดเผยให้เซซิลุสทราบว่าเป้าหมายหลักของเธอคือการสังหาร “อาราเคีย”
. หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่สฟิงซ์วางเอาไว้ อาราเคียที่โดนเธอปั่นหัวให้กลืนกิน “ก้อนศิลา” เข้าไป ควรจะทนรับพลังไม่ไหวจนร่างระเบิดออก
แต่ทุกอย่างก็ดันผิดแผนเนื่องจาก “วิชาวิวาห์ดวงจิต” ของพริสซิลล่าและดาบ “มาซายูเมะ” ของอัสนีสีฟ้า รวมถึงตัวอาราเคียเองที่อดทนไว้ได้นานเกินคาด
ปัจจุบัน “ก้อนศิลา” มุสเปลถูก “ดาบมายา” สะกดเอาไว้ภายในร่างของอาราเคีย ชีวิตของเธอจึงมีค่าเท่ากับชีวิตของมุสเปล
เนื่องจากจุดจบอันโหดร้ายของอาราเคียจะนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิ รวมทั้งเป็นการทรมานจิตใจของพริสซิลล่าไปด้วยในตัว
พริสซิลล่าข่มว่าการได้เห็นประเทศที่เคยทอดทิ้งไปถูกทำลายไม่ทำให้เธอเสียใจหรอก สฟิงซ์จึงตอกกลับว่าเดี๋ยวก็ได้เห็นดีกันว่าคำพูดของพริสซิลล่ามีน้ำหนักสักเพียงใด
ว่าแล้วสฟิงซ์จึงทำการดีดนิ้วและเปลี่ยนภาพที่ฉายอยู่บนกระจกมนตราวารีบนไม้คทาของเธอ ซึ่งเผยให้เห็นว่าดวงดาวกำลังร่วงหล่นลงมาสู่ดินแดนแห่งหมาป่าแห่งนี้
. ตัดกลับมาทางพวกอัล เซซิลุสกำลังปลาบปลื้มอยู่กับสถานการณ์อันตรายเบื้องหน้า ในการเผชิญหน้ากับนังแม่มดที่ลอยอยู่บนฟ้าสูงเกินกว่าที่เซซิลุสจะขึ้นไปหาง่ายๆ
แม่มดแห่งโลภะ: ――อัล โกอา
ลูกไฟโลกันตร์ขนาดยักษ์ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าตามคำร่ายเวท แต่เซซิลุสใช้ “ดาบมายา” ผ่าลูกไฟขาดครึ่งไปพร้อมกับหมู่เมฆอย่างง่ายดาย
ผลลัพธ์เกิดเป็นการระเบิดที่ย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานอีกครั้ง แต่การกระหน่ำโจมตีของนังแม่มดยังพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
แม่มดแห่งโลภะ: ‘โกอา’ ‘เอล โกอา’ ‘อุล โกอา’ ‘อัล โกอา’
เพื่อตอบโต้ลูกไฟปริมาณมหาศาลร่วงหล่นลงมาเป็นห่าฝน เซซิลุสจึงจำเป็นต้องวางร่างของอาราเคียลงก่อนเพื่อตั้งท่าจับดาบและฟันส่งคมดาบระยะไกลสวนกลับไปรัวๆ
จริงอยู่ว่าเซซิลุสไม่ได้รับริสค์(ความเสี่ยง)สูงสุดจากการใช้มาซายูเมะ แต่เขากับตัวดาบก็ตกลงกันไว้ว่าจะไม่ใช้รีซอร์ส(ทรัพยากร)ที่มีอยู่เกินขีดจำกัด
อีกทั้งการแลกดาบสวนกับเวทมนตร์ของนังแม่มดอาจจะทำให้ศึกนี้ยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น แถมอัลยังกำชับไม่ให้เซซิลุสฆ่านังแม่มด เพราะจะเกิดการระเบิดที่ครอบคลุมทั่วบริเวณ
เซซิลุสประเมินว่าอัลน่าจะพูดจริง เนื่องจากว่าเขามองเห็นบรรยากาศที่บิดเบี้ยวรอบตัวแม่มด แถมเซซิลุสยังทราบดีว่าอัลมีพลัง “เห็นนิมิต” คล้ายกับสุบารุ
. เซซิลุสโยนอาราเคียให้อัลรับไว้แทนเพื่อให้มือเขาว่าง แต่นังแม่มดยิงเวทมนตร์ลำแสงความร้อนออกจากนิ้วโดยเล็งไปหาอาราเคียที่อัลอุ้มอยู่ทันที
แต่อัลก็ยังอุตส่าห์หลบลำแสงได้อย่างฉิวเฉียดในท่วงท่าที่ดูซุ่มซ่ามจนไม่น่าจะหลบพ้น นั่นเป็นการยืนยันว่านังแม่มดหมายเอาชีวิตอาราเคียอย่างชัดเจน
เซซิลุสวิ่งเข้าไปรับตัวอาราเคียจากอัลต่อทันที จากนั้นก็เร่งความเร็วจนเกือบเท่าสายฟ้าเพื่อทิ้งระยะห่างออกมา
แต่ทันใดนั้นก็มีกระจกวารีจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นรอบเส้นทางวิ่งของเซซิลุส กระจกเหล่านั้นสะท้อนลำแสงความร้อนที่นังแม่มดยิงออกมาจนพุ่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศ
เซซิลุสทำการเต้นรำเพื่อหลบหลีกลำแสงด้วยท่วงท่ามากมาย ทั้งโน้มตัว ถ่างขา ก้มตัว และย่างก้าวข้าม พอเป็นมุมที่หลบไม่ได้ เขาก็ใช้ “ดาบมายา” สะท้อนลำแสงกลับไปหากระจกวารี
แม่มดแห่งโลภะ: ――การกลายเป็นศัตรูของโลกทั้งใบมันคือแบบนี้แหละค่ะ
แต่เมื่อกระจกวารีแตกกระจายเป็นเศษหินและหยดน้ำ นังแม่มดก็ทำการแช่แข็งละอองน้ำเหล่านั้นเพื่อผนึกร่างของเซซิลุสไว้ทันที
ทว่า มานาที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างของเซซิลุสปะทุขึ้นมาราวกับสายฟ้าฟาด ส่งผลให้น้ำแข็งรอบตัวเขาละลายหายไปในพริบตา จนหนุ่มน้อยกลับมาวิ่งต่อได้อย่างไม่เสียจังหวะ
. เมื่อเซซิลุสเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง เขาก็ได้เห็นนังแม่มดที่ลอยตัวอยู่เบื้องบนและ “ดวงดาว” ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าที่ความสูงเหนือขึ้นไปอีก
แม่มดแห่งโลภะ: ――อัล ชาริโอ้
ต่อหน้าจอมเวทที่เรียกได้กระทั่งดวงดาว มาซายูเมะที่เหน็บไว้กับเอวสั่นสะท้านเนื่องจากว่ามันอยากที่จะกิน “ความฝัน” ที่พึ่งงอกเงยขึ้นมาจากผู้ถือครอง
เซซิลุส: ――น่าสนใจดีนี่
“ผ่าดวงดาวซะ” ประกายแสงที่ร่วงหล่นเอ่ยต่อเขา
“ผ่าดวงดาวซะ” ดาบคู่ใจที่เหน็บไว้กับเอวเอ่ยต่อเขา
“ผ่าดวงดาวซะ” เหล่าผู้ชมมากมายพากันลุกขึ้นยืนและเอ่ยต่อเขาเช่นนั้น
“ผ่าดวงดาวซะ” ดวงจิตของเซซิลุส เซ็กมุนต์บอกตนเองเช่นนั้น
เซซิลุสวางร่างของอาราเคียบนพื้นเรียบจากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมมาสอดไว้ช่วยรองใต้ตัวเธอ เพราะว่าหลังจากนี้กระทั่งตัวเธอจะไม่หลงเหลืออยู่ในสติสัมปะชัญญะของเขา
จากนี้ไปจะเหลือเพียง “ความฝัน” ที่นำพาดวงจิตไปยังจุดที่สูงกว่านี้ สิ่งอื่นใดล้วนแต่จะกลายเป็นอดีต
. เซซิลุสถอนหายใจและชัก “ดาบมายา” ออกจากฝัก ดาบมนตราเล่มนี้จะกลืนกิน “ความฝัน” ของผู้ถือครองและทำให้ “เรื่องในฝัน” กลายเป็นจริง
ในชั่ววินาทีนี้ เซซิลุสลืมเลือนกระทั่งการหายใจ การกระพริบตา และการเต้นของหัวใจ เพื่อจดจ่อสมาธิให้กลายเป็นหนึ่งกับดาบ
นังแม่มดพยายามร่ายเวทขัดขวางสมาธิของเซซิลุส แต่ตัวเขาในตอนนี้ตัดประสาทรับรู้ทั้งมวลทิ้งไปจนไม่ว่าดิน น้ำ ลม หรือไฟก็ไม่กระทบต่อสมาธิ
พลังทำลายของดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมานั้นส่งผลตั้งแต่ที่มันยังไม่กระแทกพื้นโลก บรรยากาศรอบตัวเซซิลุสเลยถูกเผาไหม้
เซซิลุสเงยหน้าขึ้นมามองดวงดาวที่ร่วงหล่นอย่างปิติยินดี เนื่องจากว่าเขาค้นพบคำตอบที่จะช่วยให้ใช้งาน “ดาบมายา” ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว
คำตอบนั้นคือ “ตำแหน่งของดวงจิต” ซึ่งตัวเขาพึ่งได้แตกฉานผ่านการการประดาบครั้งสุดท้ายกับ “โลอัน เซ็กมุนต์” ผู้เป็นบิดา
เซซิลุส: ――นักดาบ เซซิลุส เซ็กมุนต์
“อัสนีสีฟ้า” ประกาศนามออกมาอย่างห้าวหาญพร้อมกุม “ดาบมายา” ไว้ด้วยมือและแขนที่ขนาดกลับมายาวคู่ควรกับฐานะตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิวอลลาเคียและดารานำแสดงเด่น
. “สายฟ้าฟาดผ่าประกายดาวจนแยกออก” นั่นคือคำอธิบายเดียวที่สามารถบรรยายเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อราวกับเป็นเพียงความฝันครั้งนี้ได้
“เซซิลุส เซ็กมุนต์พึ่งจะผ่าดวงดาวไป”
กระทั่งแม่มดแห่งโลภะยังอ้าปากค้างต่อภาพอันน่าเหลือเชื่อดังกล่าว เพราะถึงอย่างไรมันก็คือไพ่ตายที่เธอไม่สามารถยิงซ้ำได้
เนื่องจากว่าเวทมนตร์ต้องห้ามที่ใช้เรียกดวงดาวนั้นใช้งานได้ยากจนกระทั่ง “แม่มดแห่งโลภะ” ตัวจริงยังไม่อยากเรียกดาวเกินหนึ่งดวงต่อวัน
อัลไม่คอยท่า เขาใช้จังหวะที่นังแม่มดยังมัวแต่อ้ำอึ้งในการสร้างเสาหินเป็นแท่นยืนเพื่อดีดตัวขึ้นไปเข้าประชิดและตวัดดาบมังกรฟ้าเข้าใส่
นังแม่มดยังคงตั้งสติได้ เธอจึงใช้วิชาฝ่ามือที่เคลือบด้วยเวทวายุทลายดาบหินของอัลทิ้ง จากนั้นก็เตรียมจะใช้ฝ่ามือสั่นไหวดังกล่าวขยี้ศีรษะของอัลให้แหลกต่อ
นังแม่มดปรับระดับความอันตรายของเซซิลุสที่พึ่งผ่าดวงดาวให้สูงสุดขึ้นไปอีก ในขณะที่ปรับลดระดับของอัลเป็นเพียงก้อนหินข้างทางที่น่ารำคาญและควรกำจัดให้สิ้นซากไป
――หารู้ไม่ว่าบางครั้งก้อนหินข้างทางก็สามารถทำให้คนที่เผลอสะดุดหกล้มหัวกระแทกตายได้
แม่มดแห่งโลภะ: ‘สร้างสรรค์’ จำเป็นนะ――
ศีรษะของนังแม่มดถูกแขนซ้ายเทียมที่อัลสร้างขึ้นมาจากหินคว้าเอาไว้เต็มมือ
อัล: ――ดวงดาวมันแย่ว่ะ
อัลกล่าววลีประจำตัวที่คราวนี้สื่อความหมายต่างออกไปจากทุกที นังแม่มดเตรียมที่จะสวนกลับแต่ว่ามันก็สายไปเสียแล้ว
อัล: ――โอล ชามัค
ร่างกายและเกทของนังแม่มดถูกผนึกจนใช้การไม่ได้ในทันที นี่คือเวทมนตร์ไพ่ตายที่อัลเก็บไว้ใช้แก้ทาง “แม่มด” โดยเฉพาะ
ร่างกายของนังแม่มดที่ถูกพันธนาการไว้ราวกับดักแด้ร่วงหล่นลงสู่พื้นทันที เธอขยับเขยื้อนหรือต่อต้านอะไรมิได้เลย ไม่ต่างอะไรจากสถานะปัจจุบันของ “แม่มดที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก(ซาเทล่า)”
อัลที่ร่วงลงมาข้างนังแม่มดพยายามจะลุกขึ้น แต่เขากลับรู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนออกมาทันที อัลหน้ามืดและสติเลือนลางไปหมด ยังดีที่ทำสำเร็จ…
แม่มดแห่งโลภะ: ――‘แก้ไข’ จำเป็นค่ะ
อัล: หา?
อัลได้ยินนังแม่มดที่ถูกบังคับปิดเกทจนไม่สามารถใช้งานได้พูดบางอย่างแปลกๆ แต่ว่าอัลสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวจนไม่รู้เลยว่าพระราชวังแก้วผลึกที่อยู่ไกลออกไปกำลังเปล่งแสงออกมา
. ประกายแสงจากพระราชวังแก้วผลึกคือสัญญาณบ่งชี้ว่าอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของนครจักรพรรดิลูปุกาน่า “ปืนใหญ่ผลึกมนตรา” กำลังจะถูกยิงออกมา
มันคืออาวุธพลังทำลายล้างสูงซึ่งสามารถเปลี่ยนสภาพภูมิประเทศได้และเคยถูกยิงมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้
เซซิลุสรู้ตัวทันทีว่าปืนใหญ่กำลังล็อคออน(เล็งเป้า)ไปที่นังแม่มดที่ถูกผนึกจนกลายเป็นก้อนสีดำอยู่บนพื้น เพื่อที่จะฆ่าตัวตายพร้อมสังหารศัตรูที่อยู่รอบๆ ไปพร้อมกัน
เซซิลุส: มาซายูเมะ
เซซิลุสทำการกุมดาบคู่ใจอีกครั้งเพื่อเตรียมที่จะสร้างปาฏิหาริย์รอบต่อไป ตัวเขาในตอนนี้คือ “เพอร์เฟ็คเซซิลุส” ที่จะไม่ปล่อยให้อัลผู้ทำผลงานดีเด่นและนางเอกอย่างอาราเคียต้องตายเปล่า
เบียทริซ: ――อัล ชามัค!!
ทว่า ก่อนที่ลำแสงจากปืนใหญ่กระสุนมนตราจะยิงมาถึงพวกเขา ก็มีหลุมดำที่ดูดกลืนได้กระทั่งแสงปรากฏขึ้นมาเหนือน่านฟ้า ซึ่งทำลายแผนฉุกเฉินของนังแม่มดจนพังพินาศ
ผู้ที่ทำเช่นนั้นคือหนุ่มน้อยผมดำและสาวน้อยในชุดเดรสที่ลอยอยู่กลางอากาศ
สุบารุ: ฝันไปเหอะน่า! ――มาเจอกันสักตั้ง ท่านโชคชะตา!!
. จบตอน