ย้อนความไปก่อนที่เซซิลุสจะผ่าดวงดาว ทางฝั่งกลุ่มของพวกสุบารุ วินเซนต์ ฮาริเบล เบียทริซ และสปิก้า ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังพระราชวังแก้วผลึก
สุบารุอุ่นใจสุดๆ ที่ได้ฮาริเบลติดตามมาด้วยกัน ถึงแม้เจ้าตัวจะพร่ำบอกว่าเขาเป็นคนขาดแรงกระตุ้นที่จะเอาจริงเอาจังเวลาต่อสู้ก็ตาม
ฮาริเบลยอมรับว่าบุคคลที่แกร่งกว่าเขาอย่างแน่นอนมีเพียง “นักดาบเทวา” แห่งราชอาณาจักร ส่วนคนอื่นนอกเหนือจากนั้น ผลแพ้ชนะขึ้นอยู่กับความแพ้ทางและสถานการณ์ล้วนๆ
ทั้งฮาริเบลและเซซิลุสต่างมีด้านที่ภาคภูมิในความแกร่งของตนคล้ายกัน แต่การที่ไรน์ฮาร์ดถือเป็น “จุดสูงสุด” กระทั่งในบรรดาคลาสระดับโลกก็ทำให้สุบารุเผลอกลืนน้ำลาย
ระหว่างที่ทั้งสองมัวแต่จ้อกัน วินเซนต์ที่นำหน้ากลุ่มอยู่ก็ใช้ดาบตะวันแผดเผาผีดิบที่เข้ามาขวางทางอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นภาพที่ขัดตาสุบารุเอามากๆ
“ดาบตะวัน” ช่วยเสริมแกร่งความสามารถทางกายของผู้ถือครองจนวินเซนต์ที่ก่อนหน้านี้ยังตบตีกับสุบารุร่างเด็กแบบง่อยๆ สามารถเคลื่อนไหวได้พริ้วดุจยอดนักสู้หัวกะทิ
. วินเซนต์: เจ้าพวกมารยาททราม อย่าปล่อยให้จักรพรรดิสู้อยู่คนเดียวสิ
สุบารุ: หนวกหูว้อย ถือว่าลงโทษที่ซ่อนไพ่ตายไว้ไงล่ะ อีกอย่างนะ ไม่ปล่อยให้นายสู้อยู่คนเดียว――
ก่อนที่สุบารุจะเอ่ยจบประโยคก็มีผีดิบสองตัวกระโดดลงมาจนพื้นสั่นสะเทือน ผีดิบร่างยักษ์และผีดิบร่างสูงที่ประกบสุบารุและวินเซนต์แบบหน้าหลังต่างยกอาวุธของตนขึ้น
วินเซนต์: “แขนพิศวง” รอนดันโด
ทว่า วินเซนต์ใช้ดาบตะวันแทงและเผาผีดิบที่อยู่ข้างหลังตัวเองแบบไม่หันกลับไปดู โดยที่ดวงตาจดจ่อไปยังผีดิบด้านหลังสุบารุพร้อมประกาศชื่อจริงเสร็จสรรพ
พอสุบารุหันหลังไป เขาก็เห็นว่าฮาริเบลกำลังใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวรับกำปั้นจากผีดิบผู้มีแขนขวาใหญ่โตผิดปกติอยู่
ฮาริเบล: อย่าสลดไปเลย นายน่ะแข็งแกร่ง แรงมันแค่โดนปล่อยลงสู่พื้นเท่านั้นแหละ
ที่พื้นเบื้องล่างส้นเท้าของฮาริเบลกำลังเกิดการกระเพื่อมราวกับผิวน้ำ ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการกระจายแรงจู่โจมของเจ้าผีดิบแขนใหญ่
สุบารุ: รอนดันโด!
สปิก้า: อู!
สุบารุกับสปิก้าไม่รอช้า ทั้งสองใช้จังหวะนั้นสัมผัสร่างของ “แขนพิศวง” รอนดันโดเพื่อตัดขาดการเชื่อมต่อและปลดปล่อยเขาไปสู่สุคติ
. สุบารุไม่แน่ใจว่าการใช้อำนาจของสปิก้าตัดการเชื่อมต่อจะทำให้เหล่าผีดิบไปสู่สุคติจริงไหม เบียทริซจึงปลอบใจว่าอย่างน้อยก็ทรมานน้อยกว่าการถูกดาบตะวันเผาดวงจิตแน่ๆ
ปัจจุบันฮาริเบลเป็นคนที่ช่วยพยุงจามาลที่ยังคงหมดสติเอาไว้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ช่วยต่อสู้ไปพร้อมๆ กันได้ แถมยังทดแทนฝีมือต่อสู้ของจามาลได้อย่างเหลือเฟืออีกต่างหาก
เบียทริซย้ำว่าควรใช้งานฮาริเบลให้หนักตามฝีมือ ฮาริเบลจึงพูดจาติดตลกว่าถ้าหากเขาทำงานหนักเกินตัวจนตายขึ้นมา เผ่ามนุษย์หมาป่ามีหวังได้สูญพันธุ์
แต่สุบารุกังวลว่าถ้าเกิดฮาริเบลเป็นอะไรตายขึ้นมาจริงๆ โลกทั้งใบอาจจะเสี่ยงต่อความพินาศเลยมากกว่า ไม่ใช่แค่เผ่ามนุษย์หมาป่า
. กลุ่มของพวกสุบารุมาถึง “พระราชวังแก้วผลึก” ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง มันคือสถานที่สุดอลังการสมชื่อปราสาทที่งดงามที่สุดในโลกจริงๆ
ทว่า เบียทริซกลับรู้สึกหวาดผวายามที่ได้เห็นพระราชวังสุดแสนงดงามจนเธอเผลอกุมมือสุบารุแน่น
เบียทริซ: นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างการรวบรวมแก้วผลึกมนตราความบริสุทธิ์สูงที่แสนหายากมาเป็นจำนวนมากแล้วย่ะ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาทั่วจักรวรรดิ ก็ยังคงสร้างของแบบนี้ไม่ได้เลยกระมัง
สุบารุ: ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่มันก็อยู่ตรงหน้าเรานี่เลยไม่ใช่เรอะ?
เบียทริซ: …ก็เพราะว่ามีการใช้อะไรทดแทนผลึกมนตราที่ขาดไปยังไงล่ะยะ แน่นอนว่ามันต้องมีวิญญาณอยู่ไม่น้อยในจักรวรรดิที่อยากให้การช่วยเหลือผู้คนกระมัง
สุบารุหน้าซีดทันที่เข้าใจความหมายที่เบียทริซตั้งใจจะสื่อเกี่ยวกับความเป็นจริงเบื้องหลังพระราชวังแก้วผลึกที่แสนงดงาม
ตามปกติแล้ว “ศิลามนตรา” คือก้อนมานาที่เกิดจากการกลั่นตัว และศิลามนตราที่มีความบริสุทธิ์สูงจะถูกเรียกว่า “แก้วผลึกมนตรา”
วินเซนต์: หากเตรียมมานาไร้สีปริมาณมหาศาลเอาไว้ ก็จะสามารถกลั่นกรองมันเพื่อสร้างศิลาผลึกมนตราแบบเทียมขึ้นมาได้ ปฏิเสธมิได้หรอกว่ากระบวนการนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในการสรรค์สร้างพระราชวังแก้วผลึก
เบียทริซ: ไม่ใช่แค่สุบารุหรอก เบ็ตตี้เองก็ด้วยย่ะ ――เกลียดจักรวรรดิที่สุดเลยกระมัง
. วินเซนต์ช่วยยืนยันแบบอ้อมค้อมว่ามีการสังเวยวิญญาณเป็นจำนวนมากเพื่อกลั่นกรองศิลาผลึกมนตราที่ใช้สำหรับสร้างปราสาทหลังนี้
สุบารุพยายามปลอบใจเบียทริซ เพราะกังวลว่าเธอจะจิตตกจนไม่อยากช่วยเหลือจักรวรรดิต่อแล้ว
ฮาริเบลช่วยให้ท้ายแบบแปลกๆ ว่าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิมันเต็มไปด้วยการนองเลือด แต่ชิโนบิอย่างพวกเขาเองก็เลวร้ายพอๆ กัน
สุดท้ายเบียทริซจึงพูดให้ทุกคนสบายใจว่าเธอเกลียดจักรวรรดิก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าเกลียดผู้คนที่นี่แบบเหมารวมไปหมด
(ในฉากนี้สปิก้าเรียกเบียทริซว่า “เออาโอ” ซึ่งน่าจะเป็นการพยายามพูดชื่อเล่น “เบียโกะ” ทำเอาเบียทริซหัวเสีย เพราะเธอยอมให้สุบารุเรียกได้แค่คนเดียว)
สุบารุเหน็บวินเซนต์ที่ไม่รู้สึกผิดต่อการกระทำของบรรพบุรุษเลย วินเซนต์จึงสวนกลับว่าถ้าแค้นเคืองนักก็ลองไปเดินเล่นในวังดู เพราะอาจจะได้เจอกับผีดิบคนสร้างปราสาทก็ได้
. ผีดิบที่ดูมีฝีมือกลุ่มหนึ่งทยอยกันปรากฏกายออกมา นั่นแปลว่าภายในพระราชวังน่าจะมีสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องคุ้มกันอยู่จริง สุบารุจึงถามความเห็นวินเซนต์ว่าควรมุ่งหน้าไปที่ไหน
วินเซนต์: ในเมื่อ “ก้อนศิลา” ถูกใช้ในการประกอบศาสตร์ต้องห้าม ก็ควรจะไปที่คลังสมบัติที่ใจกลางพระราชวังแก้วผลึกซึ่งมีร่างหลักของโมโกร ฮากาเนะอยู่ หรือไม่ก็โบสถ์ใต้ดินที่ใช้ประกอบพิธีการสังเวยเพื่อตรึง “ก้อนศิลา” เอาไว้ นอกจากโบสถ์แล้วก็ยังมีคุกใต้ดิน… ไม่สิ ไม่สำคัญหรอก
ถึงแม้เจ้าตัวจะถอนคำพูดออกไป แต่สุบารุเข้าใจทันทีว่าที่วินเซนต์ตั้งใจจะสื่อคือพริสซิลล่าอาจจะถูกขังไว้ที่คุกใต้ดินดังกล่าว
สุบารุ: รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายกับพริสซิลล่าหมดแล้วน่า ถึงจะแสดงความห่วงใยต่อน้องสาวออกมาก็ไม่มีใครเขาบ่นอิดออดหรอกเฟ้ย
วินเซนต์: นี่ตั้งใจจะกุมจุดอ่อนของจักรวรรดิเอาไว้ในมืองั้นหรือ?
สุบารุ: หนวกหูว้อย ไอ้ซิสค่อนเฮ็งซวย! ถึงน้องสาวของนายจะนิสัยแย่ระดับตัวแม่ แต่ยัยนั่นก็อยู่ในลิสต์ของคนที่ชั้นจะปล่อยให้ตายไม่ได้เด็ดขาด เพราะงั้นไปช่วยเหอะน่า!
แม้จะไม่ถูกกันตั้งแต่พบหน้าครั้งแรก แต่อย่างน้อยสุบารุก็อยากช่วยพริสซิลล่าที่เป็นคนสำคัญต่ออัลซึ่งเป็นสหายจากโลกเก่า แถมหากได้รับคำขอบคุณจากเธอบ้างคงจะดีไม่น้อย
สุดท้ายวินเซนต์ก็บอกสุบารุว่า “อยากทำอะไรก็เชิญ” ทั้งกลุ่มจึงตัดสินใจบุกเข้าไปภายในพระราชวังแก้วผลึกทันที เนื่องจากเวลาไม่คอยท่าแล้ว
. ในบรรดาผีดิบที่คืนชีพกลับมานั้น มีบางคนยินยอมให้ความร่วมมือกับสฟิงซ์ในการทำลายจักรวรรดิโดยที่ไม่จำเป็นต้องล้างสมองให้เคียดแค้นคนเป็นเลย
วีวา “นักชำแหละ” เองก็เป็นหนึ่งในผีดิบประเภทที่สฟิงซ์ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนจิตใจ ทำให้เขายังคงทักษะแบบสมัยยังมีชีวิตอยู่ไว้ได้
ที่จริงวีวามิได้เคียดแค้นจักรวรรดิเป็นการส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ แต่สาเหตุที่เขายอมร่วมมือกับสฟิงซ์เป็นเพราะว่าทั้งสองมีความสนใจในการค้นคว้าเกี่ยวกับดวงจิตเหมือนกัน
ฉายา “นักชำแหละ” นั้นได้รับมาจากวีรกรรมที่วีวาได้สังหารและทำการชำแหละร่างของศัตรูไปมากมายนับหมื่นรายในฐานะนักรบของจักรวรรดิ
ซึ่งแท้จริงแล้วเขามิได้มีรสนิยมผิดเพี้ยนหรือชื่นชอบการชำแหละร่างทั้งคนเป็นและคนตายหรอก วีวาเพียงแค่พยายามที่จะค้นคว้าหาคำตอบเกี่ยวกับ “ดวงจิต” เท่านั้นเอง
วีวาอยากจะรู้ให้ได้ว่าดวงจิตของแต่ละบุคคลแตกต่างกันเช่นไร ทั้งดวงจิตของชายและหญิง ดวงจิตของผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ มันแตกต่างกันไหม
แต่สุดท้ายวีวาก็ตายจากไปด้วยความเสียใจทั้งที่ยังไม่ทันได้ค้นพบคำตอบที่แสวงหาอยู่ การที่ตัวเขาคืนชีพกลับมาเป็นผีดิบจึงเป็นดั่งความฝัน
. แม่มดผู้ใช้ประโยชน์จากดวงจิตของผู้ตายในการทดลองได้มอบโอกาสให้วีวาทำความเข้าใจดวงจิตอย่างลึกซึ้งกว่าที่ตัวเขาเคยในครั้งอดีต
กล่าวคือสฟิงซ์อนุญาตให้วีวาทำการทดลองเกี่ยวกับดวงจิตในปราสาทได้อย่างเต็มที่ โดยที่มีเหยื่อทดลองให้เขาได้ใช้อย่างไม่จำกัด
วีวา: เอาอีกๆ เอาอีกๆๆ เอาอีกๆๆๆๆ ฉันอยากจะลองมากกว่านี้อีกเฟ้ย
วีวาไม่สนใจว่าเขาต้องสังเวยดวงจิตมากเพียงใดเพื่อให้ตนได้คำตอบที่แสวงหา เพื่อการนั้นแล้ว เขาจะสังหารและชำแหละต่อไปโดยไม่คิดจะเลิกรา
วินเซนต์: ――วีวา “นักชำแหละ”
วีวา: …
วินเซนต์: วีรกรรมทั้งตอนเป็นและตอนตายของเจ้ามันช่างเหลือทนเสียเหลือเกิน ดังนั้น ต่อให้จะรู้นาม ก็ไม่คิดจะมอบทางเลือกอื่นให้เจ้านอกเสียจากการถูกแผดเผาหรอก
ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดนั้น ทัศนวิสัยของวีวาก็หมุนควงเนื่องจากว่าศีรษะของเขาถูกตัดจนขาดกระเด็น แถมร่างที่ไร้หัวของเขาเองก็เริ่มลุกไหม้
เปลวเพลิงจากดาบสีชาดจะแผดเผาไปถึงดวงจิตจนกระทั่งตัวเขาดับสูญไป กระนั้นวีวากลับรู้สึกปิติยินดีมากที่สุดนับตั้งแต่ที่คืนชีพกลับมา
วีวา: อา มองเห็นแล้วล่ะเฟ้ย ตำแหน่งของดวงจิต――
วีวาสังหารและชำแหละผู้คนมามากมายโดยที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคำตอบอาจจะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะงั้นวีวาจึงพึงพอใจต่อผลลัพธ์นี้แม้ว่าร่างกายและดวงจิตกำลังลุกไหม้
. ตัดไปทางมุมมองของสุบารุและย้อนความไปเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกสุบารุบุกเข้ามาในพระราชวังแก้วผลึก ผีดิบที่พบเจอก็เริ่มมีความบิดเบี้ยวผิดปกติคล้ายกับ “เนตรยักษ์” อิซเมล
แต่สิ่งที่ต่างกันคืออิซเมลเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองอย่างสะเปะสะปะตามสัญชาตญาณแห่งการทำลายล้าง ในขณะที่ผีดิบพวกนี้มีรูปลักษณ์ที่ดุดันและเกรี้ยวกราดขึ้นเป็นคอนเซ็ปต์เดียวกัน
ราวกับว่ามีประติมากรที่อยู่เบื้องหลังการปั้นดวงจิตของผีดิบเหล่านี้เล่นราวกับเป็นดินเหนียวเพื่อสนองต่อความใคร่รู้ของตนเอง
วินเซนต์: ――วีวา “นักชำแหละ”
ปกติเวลาที่วินเซนต์กล่าวชื่อจริงของผีดิบ มันคือสัญญาณให้สปิก้าเตรียมใช้อำนาจ “กินดารา” แต่แล้ววินเซนต์กลับตัดคอผีดิบตัวนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี
นั่นแปลว่าเขาจงใจเลือกให้ผีดิบที่ชื่อ “วีวา” ทรมานจากการถูกดาบตะวันเผาดวงจิต แทนที่จะปลดปล่อยไปสู่สุคติโดยไร้ความเจ็บปวด
ฮาริเบล: สยองแท้ๆ แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของคุณจักรพรรดิอยู่หรอก
ระหว่างที่แวะคอมเมนต์การประหารของวินเซนต์ ฮาริเบลก็พุ่งตัวผ่านกลุ่มผีดิบที่มีแขนขายาวผิดปกติและทำการหักแขนขาของพวกมันอย่างเหี้ยมโหดในพริบตา
พร้อมกันนั้นพื้นที่พวกผีดิบยืนอยู่ก็ยุบลงราวกับเป็นบึง ส่งผลให้ร่างของพวกมันจมดินลงไปลึกถึงเอว สุบารุเดาว่านั่นคงเป็น “คาถาดิน” (แบบในนารุโตะ) แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันมีหลักการต่างจากเวทมนตร์อย่างไร
. รูปลักษณ์ของผีดิบที่บิดเบี้ยวไปทำให้วินเซนต์เริ่มบอกชื่อจริงได้ไม่ครบ แถมสปิก้าก็เริ่มต่อสู้ได้ลำบาก โชคดีที่ฮาริเบลแยกร่างมาช่วยเพิ่มอีกสามคน
สุบารุเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาน่าจะใช้ “คาถาแยกร่าง” ได้ แต่พอคนที่แกร่งระดับฮาริเบลมีคาถาแยกร่าง มันก็ดูขี้โกงและน่าขนลุกชอบกล
หลังฮาริเบลกับเบียทริซพันธนาการผีดิบเอาไว้ สปิก้าก็ใช้อำนาจ “กินดารา” กำจัดตัวที่ทราบชื่อ ส่วนที่เหลือก็จะให้วินเซนต์ใช้ “ดาบตะวัน” เผาทิ้งไปเลย
ดูเหมือนว่าผีดิบรูปร่างบิดเบี้ยวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากซิสเต็ม(ระบบ)การผลิตแบบอัตโนมัติ แต่น่าจะเป็นผลลัพธ์จากการปรับแต่งดวงจิตแบบทีละตัว
ระหว่างที่สุบารุกำลังครุ่นคิดว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ได้ช่วยปลดปล่อยผีดิบอัปลักษณ์เหล่านี้ เบียทริซก็ตะโกนเรียกสติเขา เนื่องจากพระราชวังแก้วผลึกกำลังเปล่งแสงไปทั่ว
วินเซนต์: ――เปิดใช้งานปืนใหญ่ผลึกมนตราสินะ!
วินเซนต์กล่าวพลางหันกลับมาฟันผีดิบอีกสองตัวด้านหลัง สุบารุกังวลว่าเป้าหมายของปืนใหญ่คือพวกตน แต่วินเซนต์ประเมินว่าน่าจะเป็นการยิงไปยังที่อื่นมากกว่า
นั่นถือเป็นข่าวร้าย เพราะสุบารุหวาดกลัวการสูญเสียพวกพ้องที่อยู่ไกลเกินเอื้อมมากกว่าการที่กลุ่มตัวเองตกอยู่ในอันตรายซึ่งยังพอจะแก้ไขได้
ในลูปที่ผ่านมาสุบารุยังไม่เคยพบเหตุการณ์ที่ปืนใหญ่ผลึกมนตราถูกยิงมาก่อน ตอนนี้เขาจึงต้องรีบคิดหาวิธีหยุดยั้งการยิงของมันโดยด่วน
สุบารุ: เบียโกะ ช่วยมาทำอะไรบ้าบิ่นด้วยกันหน่อยได้ไหม?
เบียทริซ: ให้ตายสิ สุบารุเนี่ยพอขาดเบ็ตตี้ไปก็ทำอะไรไม่ได้เลยนะยะ
สุบารุ: อา ก็จริงแหละนะ
. วินเซนต์ทำการตวัดดาบตะวันสร้างกำแพงเพลิงขวางกั้นไว้ที่บริเวณลานหน้าพระราชวังแก้วผลึกเพื่อกันไม่ให้ผีดิบตัวใดๆ เข้ามารบกวน
วินเซนต์: ทิ้งจักรพรรดิไว้ที่แนวหน้าซะได้นะ เจ้าคนมารยาททราม
จังหวะเดียวกันนั้นฮาริเบลก็อุ้มเด็กน้อยทั้งสามและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำที่พวยพุ่งหากมองดูจากที่ไกลๆ
ร่างแยกตัวหนึ่งของฮาริเบลที่รออยู่ข้างหน้าประสานมือเป็นแท่นเหยียบและช่วยออกแรงผลักเพื่อดีดตัวฮาริเบลร่างหลักให้กระโจนสูงขึ้นไป
เท่านั้นไม่พอ ร่างแยกอีกสองตัวกระโจนมาจากอาคารฝั่งซ้ายและฝั่งขวา จากนั้นก็ประกบส้นเท้ากับฮาริเบลร่างหลักเพื่อช่วยออกแรงถีบซ้ำเข้าไปอีกที
ฮาริเบล: ผมช่วยส่งได้แค่นี้แหละ พยายามส่วนที่เหลือไหวนะ?
สุบารุ: ――อา ช่วยได้เยอะเลยล่ะ!
เมื่อพุ่งตัวมาถึงความสูงที่เป็นขีดจำกัด ฮาริเบลก็ปรับการทรงตัวกลางอากาศแล้วทำการเหวี่ยงเด็กน้อยทั้งสามให้พุ่งสูงขึ้นไปอีก
. พวกสุบารุบินออกห่างพระราชวังแก้วผลึกมาไกลแล้ว จึงสามารถมองเห็นจุดที่ปืนใหญ่ผลึกมนตรากำลังเล็งยิงอยู่อย่างชัดเจน
สปิก้าเปิดใช้งานพลัง “เคลื่อนย้าย” ของเธอต่อทันทีเพื่อพาทั้งสามเคลื่อนย้ายมวลสารแบบต่อเนื่องจนกว่าจะไปถึงวิถียิงของปืนใหญ่
สปิก้า: เออาโอ(เบียโกะ)!
เบียทริซ: โธ่เอ๊ย! บอกแล้วไงว่าห้ามเรียก! ――มูรัค!
เบียทริซทำการร่ายเวทมนตร์ลดน้ำหนักให้ตัวเธอและสุบารุก่อนที่สปิก้าจะทำการถีบส่งทั้งสองที่ตัวเบาหวิวเป็นการผลักรอบสุดท้าย
ทั้งวินเซนต์ ฮาริเบล และสปิก้าต่างมีส่วนช่วยในการส่งทั้งสองมาจนถึงจุดนี้ก่อนที่ปืนใหญ่ผลึกมนตราจะยิงกระสุนออกมา
สุบารุ: เบียโกะ รักนะ!
เบียทริซ: ไม่ต้องบอกก็รู้ กระมัง
เด็กน้อยทั้งสองกอดกันแน่นแฟ้นในขณะที่ลำแสงจากปืนใหญ่กำลังพุ่งเข้ามาใกล้ จากนั้นก็…
เบียทริซ: ――อัล ชามัค
ด้วยเวทมนตร์บทนั้นของเบียทริซ ลำแสงจากปืนใหญ่ผลึกมนตราก็ได้ถูกช่องว่างของมิติบนท้องนภากลืนหายเข้าไปจนหมดสิ้น
. จบตอน