ถ้าหากดวงจิตกับภาชนะปรับจูนเข้ากันจนสมบูรณ์ บุคลิกดั้งเดิมของสฟิงซ์ก็จะหายไป
แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น นังแม่มดอยากที่จะทำตามอีกหนึ่งเป้าหมายหลักที่เหลืออยู่ในฐานะสฟิงซ์เสร็จสิ้นก่อน
ซึ่งก็คือการชำระความแค้นต่อ “พริสซิลล่า บาริเอล” เพื่อการนั้นแล้ว นังแม่มดจึงวางแผนใช้ไพ่ในมืออย่างดีที่สุด แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ขัดแผนการของเธอได้อีก
ปืนใหญ่ผลึกมนตราถูกหยุดยั้งเอาไว้โดยวิญญาณรูปร่างเด็กสาวซึ่งเคยหยุดกระสุนปืนใหญ่ด้วยวิธีเดียวกันมาแล้วก่อนที่สฟิงซ์จะเริ่มแผน “มหาภัยพิบัติ”
ปัญหาคือวิญญาณสาวน้อยไม่ควรจะมีมานาเหลือมากพอที่จะร่ายมนตร์ทรงพลังเช่นนั้นต่อเนื่องกันภายในระยะห่างไม่กี่วัน แสดงว่าต้นเหตุของความผิดปกติมาจากหนุ่มน้อยผมดำที่เป็นผู้ทำสัญญา
แม่มดแห่งโลภะ: อย่าบอกนะว่าเป็นคุณอีกแล้วเหรอคะ
หนุ่มน้อยลึกลับที่ร่วมมือกับจักรพรรดิในการขัดขวางแผนการของนังแม่มดตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นสฟิงซ์ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นตัวปัญหาสำคัญไม่แปรเปลี่ยน
สิ่งที่เป็นภัยต่อนังแม่มดมากที่สุดในตอนนี้คือ “ดาบตะวัน” แห่งวอลลาเคียและอำนาจบาป “ตะกละ” เนื่องจากร่างกายของเธอยังคงเป็นผีดิบ
เพราะงั้นสฟิงซ์จะพยายามอยู่ให้ห่างจากผู้ครอบครอง “ดาบตะวัน” และหนุ่มน้อยผู้ใช้ศาสตร์วิญญาณให้ได้มากที่สุด
แม่มดแห่งโลภะ: ฉันน่ะ จะใช้ไพ่ที่มีอยู่ในมือของฉันทั้งหมดเพื่อเอาชนะให้ดู
. ตัดไปทางวินเซนต์ที่กำลังชื่นชมผลงานของพวกสุบารุ แต่เขาก็แอบหนักใจที่อาวุธทรงพลังของจักรวรรดิถูกหยุดยั้งเอาไว้บ่อยจนสูญเสียความน่าเกรงขามต่อประเทศเพื่อนบ้านไป
ผีดิบกลุ่มใหม่กระโจนตัวข้ามกำแพงเพลิงเข้ามา พวกเขาเหล่านี้เป็นนักรบโบราณจากอดีตกาลซึ่งวินเซนต์ไม่สามารถระบุนามได้
ที่ผ่านมาผีดิบส่วนใหญ่มีแต่ผู้ที่ตายไปเมื่อไม่นานนัก กระทั่งคนที่พึ่งตายในสนามรบสดๆ ร้อนๆ ยังคืนชีพเป็นผีดิบได้ทันที แสดงว่าดวงจิตที่ใหม่เอี่ยมน่าจะคืนชีพได้ง่าย ส่วนผีดิบจากอดีตกาลน่าจะมีเงื่อนไขการคืนชีพที่ยากขึ้น
วินเซนต์คาดเดาว่าสฟิงซ์คงทำการเปลี่ยนระบบการคืนชีพทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนดวงจิตจะมอดไหม้ เพื่อแก้ทางการประสานงานระหว่างตัวเขากับสปิก้าโดยเฉพาะ
แสดงว่าสิ่งเดียวที่แก้ทางพวกนักรบผีดิบจากยุคโบราณได้ก็คือ “ดาบตะวัน” ซึ่งมีตัวเขาและพริสซิลล่าเป็นผู้ครอบครอง
พูดถึงยัยน้องสาวคนนี้แล้ว วินเซนต์แทบจะเป็นลมตอนที่ได้ข่าวว่าเธอได้เปลี่ยนชื่อและไปเข้าร่วมการคัดสรรกษัตริย์ของราชอาณาจักรลูกุนิก้า
สาเหตุที่พริสซิลล่ากลับมายังจักรวรรดิไม่ใช่เพราะความห่วงใยที่มีต่อวอลลาเคียหรือวินเซนต์ เธอกลับมาเพื่อคิดบัญชีกับตัวการที่ส่งมือสังหารไปหยามถึงถิ่น
ทว่า เจ้าคนบ้าบิ่นที่กล้าทำอะไรเช่นนั้นได้ตายจากไปเสียแล้ว
วินเซนต์: เจ้าจิชา
. จิชาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่า “พริสก้า เบเนดิกต์” รอดชีวิตไปได้ภายใต้นามใหม่ แถมเขารู้ดีว่าต้องยั่วโมโหอย่างไร พริสซิลล่าถึงจะย่อมถ่อกลับมาถึงจักรวรรดิ
กระทั่งวินเซนต์ยังไม่แน่ใจเลยว่าเจ้าหน้ากากโนสีขาวคนนี้วางแผนไว้ไกลขนาดไหน หากเขามองขาดยันเรื่องที่ว่าพริสซิลล่ามีความจำเป็นต่อศึกในปัจจุบัน
กระนั้นวินเซนต์จะไม่โทษจิชาเรื่องผลลัพธ์ที่พริสซิลล่าถูกศัตรูจับตัวเอาไว้ นั่นคือความผิดของเขาเอง อีกอย่างพฤติกรรมของสฟิงซ์ช่วยยืนยันว่าเธอยังปลอดภัยดี
วินเซนต์เริ่มโดนผีดิบนักรบไล่ต้อนจนเจ็บหนัก กระนั้นเขาก็ยังเตรียมใจที่จะเติมเต็มช่องว่างของดาบตะวันที่ขาดหายไปหนึ่งเล่มด้วยตนเอง
??: ――ต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ในฐานะรุ่นบุกเบิก เราผู้นี้ภาคภูมิใจยิ่งนัก
ทันใดนั้นเอง “ดาบตะวัน” อีกเล่มหนึ่งผ่าร่างของเหล่าผีดิบนักรบยุคโบราณอย่างเฉียบคมพร้อมจุดประกายเพลิงเผาดวงจิตตามทันที
วินเซนต์ชำเลืองมองใบหน้าของกำลังเสริมที่ไม่คาดฝันซึ่งกำลังหันหลังชนกับตัวเขาอยู่ วินเซนต์สามารถจดจำใบหน้าของอีกฝ่ายได้จากภาพเหมือนโบราณ
วินเซนต์: ――“จักรพรรดิพุ่มหนาม” งั้นหรือ?
ยูการ์ด: มงกุฎแห่งจักรพรรดิได้รับการสืบทอดไปยังยุคสมัยถัดไปแล้ว และในยามนี้มันก็เป็นของเจ้า จึงไม่มีเหตุผลให้เรียกเราผู้นี้ว่า “จักรพรรดิพุ่มหนาม” อีกต่อไป ――เรียกว่า “ยูการ์ด วอลลาเคีย” เถอะ
ยูการ์ดไม่เคยมีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตาของลูกหลานมาก่อน เขาจึงภูมิใจมากที่ได้เห็นว่าวินเซนต์มีหน้าตาเฉลียวฉลาดและดูดี
วินเซนต์ยังคงกังขาว่าทำไมยูการ์ดถึงมีสีผิวและสีตาเป็นปกติ แถมยังไม่มีความประสงค์ร้ายต่อคนเป็นอีกต่างหาก ยูการ์ดจึงบอกเหตุผลว่าเป็นเพราะ “ความรักที่มีต่อดวงดาราของข้า”
วินเซนต์เลิกคิดจะที่ทำความเข้าใจคำตอบของยูการ์ด เพราะการกังขานิสัยคลั่งรักจนบ้าบอของยูการ์ดจากตำนาน “ไอริสและราชาแห่งหนาม” เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า
วินเซนต์: จักรพรรดิรุ่นปัจจุบันแห่งวอลลาเคีย “วินเซนต์ วอลลาเคีย”
ยูการ์ด: เข้าใจล่ะ เช่นนั้น ก็มากำราบพวกมันกันดีกว่า ――ลูกหลานของข้าเอ๋ย
สองจักรพรรดิต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน นั่นคือการประสานความร่วมมือระหว่างหมาป่าดาบสองตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่แหกกฎเหล็กของจักรวรรดิและ “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” อย่างสิ้นเชิง
. หลายคนอาจจะมองว่าผลงานโดดเด่นที่สุดในศึกครั้งนี้คือเซซิลุสที่ผ่าดวงดาวหรือสุบารุกับผองเพื่อนที่หยุดยั้งเปลวเพลิงแห่งการทำลายล้างจากปืนใหญ่ผลึกมนตรา
แต่แท้จริงแล้วมีอยู่บุคคลหนึ่งที่ปิดทองหลังพระด้วยการเข้าไปขัดขวางแผนการขั้นต่อไปของ “มหาภัยพิบัติ” ซึ่งยังไม่มีใครรู้ตัวเลยสักนิด
โอลบาร์ต: ――ให้ตายซี่ ใช้งานคนแก่ไม้ใกล้ฝั่งกันหนักเสียจริงน้อ
ปัจจุบัน “ผู้เฒ่าอำมหิต” โอลบาร์ต ดันคลูเคน กำลังเข้าจู่โจมผีดิบผู้ใช้วิชาที่กำลังปกป้องวงแหวนเวทมนตร์สีโลหิตอยู่ที่บริเวณสุดทางเดิน
ผีดิบร่ายวิชาเปลี่ยนให้ตะกอนสีดำจากพื้นและกำแพงกลายเป็นโซ่ที่พุ่งเข้าไปพันธนาการโอลบาร์ต แต่ชิโนบิเฒ่าชิงเขวี้ยงคุไนออกมาจากแขนเสื้อข้างขวาได้ไวกว่า ทั้งที่แขนข้างนั้นควรจะกุดถึงข้อศอก
มีดคุไนปักเข้ากลางหน้าผากของผีดิบและตรึงร่างของมันไว้กับวงเวท โอลบาร์ตไม่รอช้า เขาใช้ฝ่ามือซ้ายกระทุ้งผีดิบซ้ำให้แหลกไปพร้อมกับวงแหวนเวทมนตร์
จริงอยู่ที่โอลบาร์ตถูกกำชับไม่ให้ฆ่าผีดิบเกินจำเป็น แต่ผีดิบที่โดนดัดแปลงดวงจิตจนบิดเบี้ยวและผีดิบผู้ใช้วิชาถือเป็นข้อยกเว้น
ภายในพระราชวังแก้วผลึกมีผีดิบผู้ใช้วิชาอยู่ 10 ตัวซึ่งปกป้องวงแหวนเวทมนตร์ที่ส่งผลให้มิติภายในวังบิดเบี้ยวอยู่ โอลบาร์ตพึ่งจะกำจัดตัวที่ 10 ไป สภาพภายในวังจึงกลับมาเป็นปกติทันที
. พอโอลบาร์ตนึกว่าเสร็จงานแล้ว มานาทั่วพระราชวังแก้วผลึกก็พรั่งพรูออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าปืนใหญ่ผลึกมนตรากำลังจะถูกใช้งาน
“มีทิเออร์” ซึ่งเป็นแกนกลางของพระราชวังแก้วผลึกนามว่า “มนุษย์โลหะ” โมโกร ฮากาเนะ คือผู้เดียวที่สามารถสั่งการยิงปืนใหญ่ผลึกมนตราได้
ก่อนหน้านี้โมโกรผู้ซื่อสัตย์คงจะต้านทานไม่ยอมให้ฝั่ง “มหาภัยพิบัติ” ใช้ปืนใหญ่ได้ แต่ดูเหมือนว่าโมโกรจะมาถึงขีดจำกัดเสียแล้ว
หากศัตรูยิงปืนใหญ่ไปทางเมืองการ์คลาซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายของชาวจักรวรรดิ สถานการณ์รบคงจะพลิกขั้วอย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้ฝั่งโอลบาร์ตจะสามารถจัดการหัวหน้าของศัตรูได้ วอลลาเคียก็จะเกิดความเสียหายร้ายแรงยากที่จะฟื้นฟู จนเรียกได้ว่าจักรวรรดิจบสิ้นลงอยู่ดี
โอลบาร์ตมีความทะเยอทะยานที่อยากจะทิ้งร่องรอยของตนไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ดั่งมนุษย์หมาป่าที่สังหารไอริสตามตำนาน “ไอริสและราชาแห่งหนาม” อยู่ เนื่องจากเขาใช้ชีวิตเป็นเงาอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด
ดังนั้น ถ้าหากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ผลึกมนตราของฝั่ง “มหาภัยพิบัติ” สำเร็จ โอลบาร์ตจะรีบรุดหน้าไปสังหารวินเซนต์เพื่อชิงตัดหน้าศัตรูแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
โอลบาร์ต: นี่คือการทรยศครั้งสุดท้ายของข้าแล้วล่ะน้อ
. พอโอลบาร์ตรุดหน้าไปถึงส่วนฐานยิงของปืนใหญ่ผลึกมนตราที่ยอดพระราชวัง เขาก็ได้เห็นผลงานการหยุดยั้งกระสุนปืนใหญ่ของสุบารุกับเบียทริซเต็มสองตา
ตาเฒ่าหัวเราะชอบใจที่ตนเองถูกหนุ่มน้อยผมดำหักหน้าอีกครั้ง เขาจึงยอมล้มเลิกแผนการทรยศตามความทะเยอทะยานแต่โดยดีเนื่องจากจักรวรรดิยังคงปลอดภัย
ตลอดชีวิตเกือบ 100 ปี โอลบาร์ตเคยละทิ้งความฝันมาแล้วหลายครั้ง ไม่ใช่ว่าพอแก่ตัวขึ้นแล้วกลายเป็นคนล้มเลิกง่าย เขาเพียงแค่ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง
ดังนั้น โอลบาร์ตจึงปล่อยวางจากความทะเยอทะยานเดิม แล้วจดจ่อไปที่ความทะเยอทะยานใหม่พลางชูฝ่ามือคมมีดขึ้นมาต่อหน้าศัตรู
โอลบาร์ต: ――ถ้างั้นสนใจมาช่วยเติมเต็มความฝันต่อไปของข้าในการเป็นวีรชนผู้กอบกู้ประเทศไหม?
ภายในห้องเดียวกันนั้นมีผู้หญิงผมขาวยืนอยู่หน้าฐานยิงปืนใหญ่ โดยเธอกำลังวางมือไว้บนแก่นมนตราซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของปืนใหญ่จากนั้นก็ฉีกยิ้มออกมา
แม่มดแห่งโลภะ: คุณน่ะไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่เลยนะคะ ――‘กำจัด’ จำเป็นค่ะ
โมโกร: ไม่ได้นะ โอลบาร์ต ศัตรู “แม่มด”
แก่นมนตราของปืนใหญ่พูดเตือนโอลบาร์ตด้วยน้ำเสียงของโมโกร ในขณะที่สายลมสีดำเริ่มหมุนวนรอบตัวนังแม่มด กระนั้นโอลบาร์ตกลับเลือกเมินคำเตือนของสหาย
โอลบาร์ต: ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วล่ะ ――ถึงจะแก่ปูนนี้แล้ว แต่สมองยังไม่ได้เลอะเลือนสักหน่อยน้อ
“ผู้เฒ่าอำมหิต” ละทิ้งความฝันและดีดตัวพุ่งเข้าประจันหน้ากับนังแม่มด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ช่วยชะลอการล่มสลายของจักรวรรดิที่ควรจะเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้นออกไป
. ตัดไปทางฝั่งสุบารุกับเบียทริซที่ยังคงลอยตัวอยู่กลางเวหาหลังพึ่งใช้ “อัล ชามัค” ขจัดกระสุนปืนใหญ่ผลึกมนตราออกไป
แรงสะท้อนจากการใช้เวทมนตร์บทใหญ่น่าจะสะท้อนไปยังเหล่า “หน่วยรบเพลอาเดส” ที่เชื่อมต่อกันด้วย “คอร์ ลีโอนิส” แต่สุบารุเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะปลอดภัย
สุบารุยังคงสับสนว่าศัตรูตั้งใจเล็งยิงปืนใหญ่ใส่อะไร ทีแรกเขานึกว่าเป้าหมายจะเป็นเมืองการ์คลา แต่ว่าทิศทางมันไม่สอดคล้องกัน
เนื่องจากวิถีกระสุนพุ่งไปทางทิศใต้ของนครจักรพรรดิ อันเป็นตำแหน่งของหอรบที่ 1 ซึ่งการ์ฟีลเป็นผู้รับผิดชอบการต่อสู้กับ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา
สุบารุกับเบียทริซถกกันว่าใครเป็นคนสั่งยิงปืนใหญ่ เนื่องจากสฟิงซ์ควรจะตายไปแล้ว เบียทริซจึงคาดเดาว่าอาจจะมีจักรพรรดิในอดีตคืนชีพมาเป็นลาสบอสคนใหม่
สุบารุ: ――เบียโกะ!
สุบารุรีบตะโกนเรียกสติเบียทริซ เนื่องจากมังกรอสูร “สามเศียร” ได้คืนชีพกลับมาบนท้องนภาเหนือศีรษะพวกเขา ศัตรูคงจะส่งมันมาเพื่อกำจัดผู้ที่หยุดกระสุนปืนใหญ่ทิ้ง
ปัจจุบันสุบารุกับเบียทริซอยู่ไกลเกินกว่าที่สปิก้าหรือฮาริเบลจะเข้ามาช่วยได้ พวกเขาจึงต้องรีบหาทางทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะถูกลมหายใจมังกรเป่ากระจุย
เบียทริซ: ปลดมูรัคย่ะ!
สุบารุ: อินวิซิเบิล โพรวิเดนซ์จากสุญญากาศ!
เมื่อรังสีความร้อนสีดำใกล้เข้ามา เบียทริซก็ทำการปลดมูรัคเพื่อทำให้ร่างของทั้งสองร่วงลงเร็วขึ้นตามแรงโน้มถ่วง จากนั้นสุบารุก็ใช้อินวิซิเบิล โพรวิเดนซ์ช่วยเหวี่ยงร่างทั้งคู่อีกแรง
. ทว่า สุบารุกับเบียทริซพึ่งหลุดพ้นจากลมหายใจระลอกแรก เจ้ามังกรอสูรวาลเกรนยังเหลืออีกสองหัวที่สามารถพ่นลมหายใจซ้ำได้
สุบารุรีบเค้นสมองหาไพ่ที่เขายังมีเหลืออยู่ในมือซึ่งอาจจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ความเป็นความตายครั้งนี้ได้ แต่มันก็ไม่ทันการเสียแล้ว
รอสวาล: ――ไม่หวาย~ ไม่ไหว พวกเธอไม่ได้บินบนฟ้าได้อิสระเหมือนอย่างฉัน เพราะงั้นระวังอย่าเผลอตื่นตระหนกเกินไปละกันน้า~
รังสีความร้อนสีดำสองแฉกพลาดเป้าหมาย เนื่องจากจอมเวทผู้โบยบินบนท้องนภาได้อุ้มเอาเด็กน้อยทั้งสองบินหนีออกมาพ้นวิถีโจมตีแล้ว
สุบารุ: รอสวาล! ไนซ์ไทม์มิ่ง! ช่วยไว้ได้พอดีเลย!
เบียทริซ: น่าขายหน้ากระมัง! วิธีอุ้มแบบนี้น่ะ เบ็ตตี้ไม่ชอบใจนะยะ!
ระหว่างที่รอสวาลบินหลบวาลเกรน สุบารุรายงานสถานการณ์ให้เขาทราบว่าสฟิงซ์ถูกกำจัดไปแล้ว พระราชวังแก้วผลึกน่าจะเป็นสถานที่สร้างซอมบี้ และยังไม่รู้แน่ชัดว่าศัตรูตั้งใจเล็งปืนใหญ่ยิงใส่ใคร
พอได้ยินว่าสฟิงซ์ถูกกำจัด รอสวาลก็บอกว่าเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก กระนั้นรอสวาลกลับมีใบหน้าหดหู่อย่างน่าประหลาด
รอสวาล: ตั้งแต่ที่เริ่มเปิดศึกตัดสินในนครจักรพรรดิแบบขนาบข้าง ฝั่งศัตรูก็คอยขัดขวางอย่างรอบคอบมาโดยตลอด ปืนใหญ่กระสุนมนตราหนึ่งนัดนั่นก็คงไม่ต่างกันหรอก… จะจบเท่านี้เองเหรอ? จริงเหรอเนี่ย?
. ทันซ่าและไอริส/ยอร์น่าตามมาสมทบที่ลานกว้างหน้าพระราชวังแก้วผลึกและได้เห็นสองจักรพรรดิต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ดาบตะวันสองเล่มเต้นรำไปทั่วราวกับวายุเพลิง
ทันซ่า: สุดยอดเลย…
ฝั่งศัตรูเป็นผีดิบนักรบมากฝีมือที่คงจะเก่งกาจไม่ต่างจากผีดิบที่ชื่อ “โลอัน” มากนัก แต่พวกมันก็ไม่ครณามือต่อการประสานงานแบบไม่ต้องพูดจาระหว่างยูการ์ดกับวินเซนต์
ไอริส/ยอร์น่า: …เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นใต้เท้ากวัดแกว่งดาบเคียงคู่กับผู้อื่นเช่นนี้เจ้าค่ะ
ไอริส/ยอร์น่ากล่าวเช่นนั้นด้วยดวงตาและน้ำเสียงที่สั่นเทา ราวกับว่าเธอกำลังปิดกั้นอารมณ์ที่อัดอั้นมาอย่างยาวนานจนทันซ่าจินตนาการไม่ได้เอาไว้อยู่
เท่าที่ทันซ่าทราบ ยูการ์ดคืออดีตคนรักของยอร์น่าที่คืนชีพกลับมา ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ร่วมกันที่ลึกซึ้งจนทันซ่ามิอาจเทียบเคียงได้เลย
ไอริส/ยอร์น่าสังเกตเห็นสีหน้าของทันซ่า เธอจึงช่วยปลอบใจว่าทั้งยูการ์ดและทันซ่าต่างเป็นบุคคลสำคัญที่เธอรักทั้งคู่ เพียงแต่ว่ารักคนละแบบเท่านั้นเอง
. เนื่องจากเอมิเลียแยกกลุ่มออกไปก่อนหน้านี้และยูการ์ดกำลังช่วยวินเซนต์ต่อสู้อยู่ หน้าที่หลักของทันซ่าจึงเป็นการปกป้องไอริส/ยอร์น่าที่ยังไม่ฟื้นตัวทางจิตใจดีนัก
ทันซ่ากวาดสายตาระแวดระวังภัยคุกคามรอบข้างระหว่างที่มือข้างหนึ่งกุมมือของไอริส/ยอร์น่าเอาไว้ จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติที่หอคอยครึ่งวงกลม
ที่นั่นคือสถานที่บรรจุฐานยิงของปืนใหญ่ผลึกมนตรา กำแพงหอคอยเปล่งแสงออกมาก่อนที่จะเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
ไอริส/ยอร์น่า: ผู้เฒ่าโอลบาร์ต?
ไอริส/ยอร์น่าเอ่ยทักขึ้นทันทีที่เห็นโอลบาร์ตเดินออกมาจากกลุ่มควันโขมงบริเวณกำแพงหอคอยที่พังทลายในสภาพที่เสื้อผ้ายับเยินและเปรอะเปื้อนเลือด
จากนั้นเมื่อตาเฒ่ามองเห็นกลุ่มคนเป็นอยู่เบื้องล่าง เขาก็รีบแหกปากตะโกนส่งข้อความสำคัญโดยทันที
โอลบาร์ต: ใต้เท้า! ขืนเป็นงี้ต่อไปงานเข้าแน่! ลูกเล่นของ “แม่มด” น่ะมันยังไม่หมดแค่นี้น้อ!
. ตัดไปทางเอมิเลียที่ตัดสินใจแยกกลุ่มออกมาอย่างผิดแผนเพื่อทำตามสัญชาตญาณของตัวเธอเอง นี่ถือเป็นกรณีหายากที่เอมิเลียทำอะไรขัดแผนที่สุบารุกับวินเซนต์กำชับไว้
เอมิเลีย: ถ้าเกิดว่ามันเป็นแค่ความเข้าใจผิดของฉันเอง ก็กะว่าจะรีบกลับไปหาพวกทันซ่าจังอยู่หรอก…
ก่อนหน้านี้เธอสังเกตเห็นสิ่งที่อาจเป็นภาพลวงตา ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน กระนั้นเอมิเลียก็ตัดใจมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของพระราชวังแก้วผลึก
ณ ที่แห่งนั้นเอมิเลียได้พบพานกับบุคคลที่ไม่น่าจะพบเจอกันได้อีก แถมพอเป็นบุคคลนี้เอมิเลียก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยไว้ก่อนว่าเธออาจทำอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่
เอมิเลีย: ต๊กกะใจหมดเลยค่ะ ――ทำไมเอคิดน่าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย?
แม่มดแห่งโลภะ: คนที่ควรตกใจน่ะควรเป็นฝั่งฉันมากกว่านะคะ ――“แม่มดแห่งริษยา”
. จบตอน