webnovel arc8 chapter68

บทที่ 8 ตอนที่ 68 "ชายคนที่ตกหลุมรัก"

หากเป็นเมื่อก่อน การถูกเรียกว่า “แม่มดแห่งริษยา” คงจะทำให้เอมิเลียเจ็บปวด แต่หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มจดจำเธอในฐานะฮาล์ฟเอลฟ์ที่เป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงบัลลังก์

ในเมื่อผู้คนรู้จักตัวเธอในฐานะ “เอมิเลีย” เอมิเลียจึงไม่มีความจำเป็นต้องสวมผ้าคลุมบิดเบือนการรับรู้อีกต่อไป

เด็กสาวได้เติบโตและมั่นใจขึ้นจนการถูกเรียกว่า “แม่มดแห่งริษยา” ไม่มีผลกระทบต่อจิตใจอีกแล้ว

เอมิเลีย: ฉันชื่อเอมิเลีย แค่เอมิเลียเฉยๆ น่ะ ไม่ใช่ “แม่มดแห่งริษยา” ค่ะ

เอมิเลียลองคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่ผู้หญิงผมขาวตรงหน้าเธอจะเป็นฝาแฝด พี่สาว หรือน้องสาวของเอคิดน่า แต่นังแม่มดสวนกลับว่าเธอคือ “ผลงานรังสรรค์” ที่ผู้สร้างของเธอสร้างขึ้น

เอมิเลียรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีสีหน้าแข็งกระด้างกว่าเอคิดน่าที่เธอรู้จัก เพราะเอมิเลียยังจดจำทั้งสีหน้าใจร้ายและสีหน้ายามร่ำไห้ในตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายของเอคิดน่าได้มิลืมเลือน

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่เอคิดน่า เอมิเลียจึงลองล้วงถามชื่อดู นังแม่มดเรียกตัวเองว่า “แม่มดแห่งโลภะ” ซึ่งเป็นฉายาซ้ำซ้อนกับเอคิดน่าอยู่ดี สุดท้ายเธอจึงกลับไปใช้ชื่อเก่าว่า “สฟิงซ์”

. เอมิเลียจำได้ว่า “สฟิงซ์” คือนามของจอมบงการเบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ” แต่เธอคนนั้นควรที่จะมีหน้าตาเหมือนริวซูไม่ใช่เอคิดน่า

เอมิเลีย: คุณริวซูเอย เอคิดน่าเอย หน้าตาจะเหมือนคนที่มีความเกี่ยวข้องกับ “แดนศักดิ์สิทธิ์” เสมอเหรอ? ถ้างั้น ต่อไปจะกลายเป็นการ์ฟีลกับเฟรเดริก้าหรือเปล่านะ…

สฟิงซ์: รู้จัก “แดนศักดิ์สิทธิ์” ด้วยงั้นเหรอคะ? ท่าทางว่าคุณกับฉันจะมีความเกี่ยวข้องกันมากกว่าที่คิดนะคะเนี่ย… เอมิเลียเนี่ย ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ท้าชิงการคัดสรรกษัตริย์เหมือนกับพริสซิลล่า บาริเอลเหรอ?

เอมิเลีย: เอ๊ะ? อา ใช่ค่ะ ต้องรีบหาพริสซิลล่าให้เจอแล้วช่วยเธอกลับมา――

สฟิงซ์: ――‘กำจัด’ จำเป็นค่ะ

สฟิงซ์เปิดฉากยิงลำแสงจากนิ้วมือแบบฉับพลัน เอมิเลียจึงอาศัยปฏิกิริยาตอบสนองสร้างกระจกน้ำแข็งขึ้นมาหักเหลำแสงได้อย่างหวุดหวิด

สมมุติว่าธาตุถนัดของเอมิเลียคือปฐพีมิใช่อัคคี กำแพงหินที่เธอสร้างขึ้นมาป้องกันคงจะโดนเจาะทะลุจนมีโอกาสถึงฆาตไปแล้ว

สฟิงซ์กวาดลำแสงไล่ล่าเอมิเลียที่เริงระบำไปทั่วอาณาเขตสนามรบอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังขาเลยว่านังแม่มดเชี่ยวชาญเวทมนตร์เหมือนเอคิดน่าตัวจริง

ในศึกครั้งนี้ เป้าหมายของเอมิเลียคือการผนึกร่างของสฟิงซ์แล้วพาเธอไปหาพวกสุบารุ ส่วนเป้าหมายของสฟิงซ์คือการสังหารเอมิเลียแล้วลากศพไปให้พริสซิลล่าดู

เอมิเลียสร้างดาบน้ำแข็งที่ใบดาบมีคุณสมบัติสะท้อนแสงเหมือนผิวกระจกขึ้นมาเพื่อปัดป้องลำแสงความร้อน

เมื่อสฟิงซ์ได้เห็นสีหน้าที่มุ่งมั่นไม่ย่อท้อของอีกฝ่าย เธอก็พึมพำออกมาด้วยความขุ่นเคือง

สฟิงซ์: ถ้าฉันยึดพิกัดแห่งนี้ไว้ไม่ได้ต้องเป็นปัญหาแน่ค่ะ ――‘ขับไล่’ จำเป็นค่ะ

. ตัดไปทางหอคอยส่วนบนของพระราชวังแก้วผลึกที่ใช้ติดตั้งปืนใหญ่ผลึกมนตรา สถานที่แห่งนี้เป็นห้องปิดที่มีเพดานและกำแพงรอบด้าน ซึ่งถือเป็นสมรภูมิแบบที่โอลบาร์ตช่ำช่อง

ศาสตร์แห่งชิโนบินั้นมีจุดขายที่ความหลากหลายในการประยุกต์ใช้งานเพื่อที่ชิโนบิจะได้สามารถรับภารกิจสังหารเป้าหมายได้ทุกสถานการณ์

โอลบาร์ต: ที่คับแคบอย่างเงี้ย สำหรับจอมเวทมันอึดอัดใช่ไหมล่ะน้อ?

พื้นฐานการต่อสู้แบบฉบับชิโนบิคือการสร้างสถานการณ์ที่ได้เปรียบคู่ต่อสู้มากที่สุด เพราะงั้นโอลบาร์ตจึงมีทักษะรอบด้านเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบจากจุดอ่อนทุกรูปแบบ

สมัยก่อนชิโนบิมีธรรมเนียมฝึกฝนทักษะแค่อย่างเดียวให้เชี่ยวชาญ แต่โอลบาร์ตมองว่าแนวทางนั้นมันเหมาะสมกับแค่ผู้ที่มีพรสวรรค์สุดขีดอย่างเซซิลุสกับอาราเคีย

เมื่อโอลบาร์ตได้ขึ้นเป็นประมุขแห่งชิโนบิ เขาจึงเปลี่ยนธรรมเนียมการสอนให้เน้นพัฒนะทักษะที่หลากหลายและการใช้กลยุทธ์สร้างสถานการณ์ที่ตนได้เปรียบแทน

เมื่อ 4-5 ปีก่อนระบบฝึกสอนใหม่ของโอลบาร์ตประสบความสำเร็จในการปั้นเด็กสาวอัจฉริยะคนหนึ่งให้กลายเป็นยอดชิโนบิ

ทว่า เธอคนนั้นได้ตายจากไปเสียแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับโอลบาร์ต

. โอลบาร์ตทำการเตะพื้นให้เศษกระเบื้องกระเด็นออกมาและบินไปหาศีรษะของนังแม่มด จากนั้นก็ตวัดสองแขนเพื่อเขวี้ยงคุไน 2 เล่มที่หมุนควงเข้าหาเป้าหมายแบบเว้นช่วงจังหวะ

เท่านั้นไม่พอ โอลบาร์ตยังดีดตัวพุ่งเข้าหานังแม่มดด้วยกำลังจากส้นเท้าเพื่อเตรียมจู่โจมด้วยฝ่ามือคมมีด รวมกันกลายเป็นการโจมตีขนาบจากรอบด้านพร้อมกัน

ไม่ว่านังแม่มดจะเลือกหลบหรือยิงเวทมนตร์สกัดอะไรในบรรดาสามอย่างดังกล่าว เธอก็จะต้องเปิดช่องว่างให้ชิโนบิเฒ่าช่วงชิงชีวิตอยู่ดี

แม่มด: ――‘ปรับทัศนคติ’ จำเป็นค่ะ

แต่แล้วนังแม่มดกลับยืนเฉยยันวินาทีสุดท้ายก่อนที่เศษกระเบื้องกำลังจะกระแทกหัว คอและน่องกำลังจะถูกคุไนปัก และหน้าอกกำลังจะถูกฝ่ามือกระซวก

โอลบาร์ตสังเกตเห็นว่าดวงตาของแม่มดมองการโจมตีทัน แปลว่าเธอไม่ได้เชื่องช้าอย่างที่เขาคิดและอาจจะมีแผนตอบโต้บางอย่าง แต่มันก็สายเกินกว่าที่จะถอนตัวเสียแล้ว

โมโกร: โอลบาร์ต!

วินาทีต่อมาลูกแก้วแสงขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏออกมาลอยอยู่รอบข้างโอลบาร์ตและแม่มด ตาเฒ่าเข้าใจทันทีว่าเขาโดนเล่นเข้าเสียแล้ว

สีหน้าของนังแม่มดที่ถูกกระซวกอกไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เธอยอมรับการโจมตีทุกอย่างในขณะที่ฝ่ามือยังคงประทับอยู่ที่ “แก่นมนตรา” เพื่อถ่ายมานาอย่างต่อเนื่อง

ดวงตาของนังแม่มดจดจ่ออย่างสนใจว่าโอลบาร์ตจะทำอย่างไรต่อไปภายในชั่วพริบตาที่เหลือให้ตัดสินใจ ตาเฒ่าจึงเลือกให้ความสำคัญกับการขัดขวางจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

โอลบาร์ต: การกวนประสาทนี่แหละคือแก่นแท้ของชิโนบิเลยล่ะน้อ

ว่าแล้วโอลบาร์ตจึงเตะสกัดแขนของแม่มดเพื่อทำให้การถ่ายมานาขาดช่วงไป แลกกับการที่ตัวเขายอมโดนแรงระเบิดจากลูกแก้วแสงไปพร้อมกับนังแม่มด

. ตัดไปทางพวกวินเซนต์ที่พึ่งได้ยินเสียงตะโกนเตือนจากโอลบาร์ต ยูการ์ดอาสาอยู่สู้กับพวกผีดิบต่อในขณะที่วินเซนต์เรียกหาไอริส/ยอร์น่าเพื่อขอความช่วยเหลือ

ทันซ่าจึงประสานมือให้วินเซนต์ใช้เป็นแท่นเหยียบจากนั้นก็ออกแรงเหวี่ยงเขาขึ้นฟ้าโดยเล็งไปทางหอคอยสูงสุดของพระราชวังแก้วผลึก

วินเซนต์อาศัยการวิ่งไต่กำแพงเพื่อสานต่อระยะทาง 50 เมตรที่เหลืออยู่จนขึ้นไปถึงยอดได้สำเร็จ ที่นั่นเขาพบกับฐานยิงที่เละไปครึ่งหนึ่งกับโอลบาร์ตที่นั่งพิงกำแพงอยู่

ตาเฒ่าอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและเปรอะเลือดไปทั้งตัว แถมแขนซ้ายยังกุดหายตามแขนขวาไป

วินเซนต์: รีบบอกมาก่อนที่จะตาย ลูกเล่นของ “แม่มด” คืออะไรกัน?

โอลบาร์ต: คั่กคั่ก ใช้งานคนแก่เสียหนักเลยน้อ …ถ้าได้เห็นโมโกรก็จะเข้าใจเองน้อ

. พอตามไปดูที่ฐานยิงปืนใหญ่ วินเซนต์ก็เห็นอัญมณีสีเขียวที่เสียบค้างเอาไว้ในแท่น สิ่งนั้นคือ “แก่นมนตรา” ซึ่งใช้ควบคุมมานาที่ควบแน่นปริมาณมหาศาลของวัง

หากขาดมันไป พระราชวังที่สร้างขึ้นจากศิลาผลึกมนตราทั้งหลังอย่างฟุ่มเฟือยคงจะกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ไปแล้ว แถมปัจจุบันแก่นมนตราก็กำลังเปล่งแสงมากผิดปกติ

วินเซนต์: ――ตั้งใจจะทำให้แก่นมนตราพลังงานเกินพิกัดจนนครจักรพรรดิระเบิดไปพร้อมกับพระราชวังแก้วผลึกงั้นหรือ!

โมโกร: โอลบาร์ต ยับยั้งไว้ได้ “แม่มด” โดนหยุด กลางคัน

“แก่นมนตรา” หรือก็คือโมโกร ฮากาเนะช่วยยืนยันว่าแผนการของนังแม่มดคือการเติมมานาให้แก่นมนตราจนเกินพิกัดซึ่งจะส่งผลให้มานาที่สูญเสียสมดุลเกิดการระเบิด

โมโกรเสริมอีกว่าตัวเขากับโอลบาร์ตถูก “แม่มด” จู่โจม ทั้งที่วินเซนต์ควรจะเผานังแม่มดที่ว่าไปแล้ว แต่ปัจจุบันเขายังไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดประเด็นนั้น

เนื่องจากผลงานทุ่มสุดตัวของโอลบาร์ตไม่ได้ยับยั้งการระเบิดอย่างสิ้นเชิง เขาเพียงแค่ช่วยเลื่อนเส้นตายออกไป แถมแก่นมนตรายังสูญเสียสมดุลจนกู่ไม่กลับแล้ว

. วินเซนต์: ――โมโกร ฮากาเนะ ขอขอบคุณสำหรับความตรากตรำที่ผ่านมา

“มนุษย์โลหะ” โมโกร ฮากาเนะ คือมีทิเออร์ที่เป็นตัวตนเดียวกับพระราชวังแก้วผลึก เขาและกรูวี่คือเก้าแม่ทัพเทวะที่พึ่งพาได้มากที่สุดตลอดมาสำหรับวินเซนต์

ในฐานะบริวารผู้ซื่อสัตย์ มีเพียงคำขอบคุณนี้และการรักษาคำมั่นสัญญาเท่านั้นที่วินเซนต์พอจะมอบให้โมโกรเป็นการทิ้งท้ายได้

วินเซนต์: ความสงบสุขของจักรวรรดิที่เจ้าปรารถนาน่ะ จะทำให้มันกลายเป็นจริงอย่างแน่นอน

โมโกร: ใต้เท้า ขอขอบพระคุณ ใต้เท้า ไม่โกหก

วินเซนต์: เจ้าคนเขลา หากจำเป็นมันก็โกหกเสมอนั่นแหละ

โมโกร: ผู้คน หลอกลวง ตัวฉัน ไม่หลอกลวง

ท่ามกลางจักรวรรดิที่เป็นวังวนแห่งเล่ห์เหลี่ยมและการหลอกลวง “มีทิเออร์” นามโมโกรที่ควรจะเป็นเพียงตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตกลับเป็นตัวตนนิสัยดีที่หาตัวได้ยาก

ทว่า เนื่องจากแก่นมนตราไม่สามารถนำออกจากแท่นปืนใหญ่ได้ วินเซนต์จึงไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากการเผาแก่นมนตราและพลังงานทั้งหมดด้วย “ดาบตะวัน” วอลลาเคีย

. โอลบาร์ตไม่มีอะไรจะคัดค้าน แถมเขามองว่าหากวินเซนต์หาทางแก้อื่นไม่ได้ ก็คงไม่มีบุคคลอื่นใดในโลกนี้ที่จะหาทางแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อีกแล้ว

กลับกันวินเซนต์นั้นพยายามคำนึงว่าหากเป็นสุบารุ จิชา หรือพริสซิลล่ามาอยู่แทนที่เขา บุคคลเหล่านั้นจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

วินเซนต์: คิดอะไรอ่อนหัดชะมัดเลยนะ วินเซนต์ วอลลาเคียผู้โง่เขลาเอ๋ย

วินเซนต์ตำหนิตัวเองก่อนที่จะชูดาบตะวันไปยังแก่นมนตราและดึงพลังของตัวดาบออกมาอย่างเต็มพิกัด ความร้อนพวยพุ่งจนบรรยากาศเริ่มบิดเบี้ยว กระทั่งฝุ่นยังมอดไหม้

มานาในบรรยากาศถูกเปลี่ยนเป็นธาตุอัคคีซึ่งช่วยเสริมพลังให้ดาบตะวันยิ่งขึ้นไปอีก ความร้อนสูงเปลี่ยนสีของใบดาบจากแดงให้กลายเป็นขาว

ในชั่วชีวิตของโอลบาร์ต เขาเคยเห็นจักรพรรดิมาแล้วถึงสามรุ่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ตาเฒ่าได้เห็นดาบตะวันสำแดงพลานุภาพในระดับนี้

วินเซนต์: ――ไม่พอ

กระนั้นพลานุภาพของดาบตะวันในปัจจุบันก็ยังไม่เพียงพอต่อการหักล้างพลังงานจากแก่นมนตราและแก้วผลึกมนตราที่ใช้สร้างพระราชวังทั้งหลัง

หากไม่ลบล้างพลังงานที่กำลังจะระเบิดให้หายไปทั้งหมดในคราเดียว ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย เนื่องจากพลังงานยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน

. “ดาบตะวัน” ของวินเซนต์ วอลลาเคียไม่มีวันที่จะดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ ตราบใดที่น้องสาวของเขายังมีชีวิตอยู่ เนื่องจาก “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

ดาบตะวันที่ยูการ์ดใช้อยู่เองก็เป็นเพียงการหยิบยืมพลังส่วนหนึ่งในฐานะเชื้อพระวงศ์เท่านั้น เนื่องจากพลานุภาพของดาบตะวันที่สมบูรณ์เป็นของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเพียงผู้เดียว

วินเซนต์: ――ขอแลกเปลี่ยนด้วยชีวิตของข้า

ดังนั้น วินเซนต์จึงเสนอค่าใช้จ่ายที่จะใช้อัญเชิญเปลวเพลิงที่แท้จริงของดาบตะวันออกมา ตัวเลือกนี้อาจจะทำให้เขาผิดสัญญากับโมโกรก็เป็นได้

แต่ว่ามันคือทางออกเดียว นี่แหละคือปลายทางของเส้นทางที่วินเซนต์ได้เลือกเดินจนถึงตอนนี้

วินเซนต์: ภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้ลุล่วง――

มีเดียม: ――ไม่ใช่แบบนั้นสิ อาเบลจิน

วินเซนต์: มีเดียม โอคอนเนล…

มีเดียม: ฮิฮิ มาแล้วจ้า

ท่ามกลางอุณหภูมิที่พุ่งสูงจนยากที่จะหายใจ มีเดียมกลับเอื้อมมือเข้ามาหยุดยั้งการเสียสละตัวเองของวินเซนต์เอาไว้พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

. วินเซนต์ไล่ตะเพิดว่ามีเดียมไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นในสถานการณ์นี้ มีเดียมจึงสวนว่าเธอคือภรรยาในอนาคตของวินเซนต์ไม่ใช่หรือไง ทำเอาเขาอ้ำอึ้งไป

วินเซนต์: ดูความเป็นจริงเสียก่อน ไม่ว่าเจ้าจะเห็นค่าตำแหน่งจักรพรรดินีมากเพียงใด สิ่งสำคัญก็คือจักรวรรดิ――

ตอนนั้นเองที่มีเดียมตบหน้าจักรพรรดิอย่างไม่เกรงกลัวไปทีเพื่อเรียกสติ ทำเอาวินเซนต์ที่ฉงนจากการโดนตบถึงกับลืมตัวเผลอกระพริบตาพร้อมกันสองข้าง

มีเดียม: อย่าได้พูดว่าเรื่องแบบนั้นคือเหตุผลที่ชั้นเป็นห่วงอาเบลจินอีกเด็ดขาดนะ

วินเซนต์: นี่เจ้า…

กระทั่งโอลบาร์ตที่ควรจะเจ็บปางตายยังหัวเราะชอบใจต่อเหตุการณ์นี้ ในขณะที่วินเซนต์พยายามตั้งสติใหม่เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นภัยต่อจุดจบของทั้งจักรวรรดิและโลกทั้งใบ

มีเดียม: ไม่ต้องกังวลหรอก อาเบลจิน ไม่ต้องห่วง

วินเซนต์นั้นชิงชังการใช้อารมณ์เหนือกว่าเหตุผล แต่ช่วงที่ผ่านมาเขากลับได้รับการช่วยเหลือไว้หลายครั้งเหลือเกินจากผู้ที่ใช้อารมณ์ตัดสินใจเรื่องต่างๆ

บัลรอย: ――เป็นไงบ้างครับ ใต้เท้า? น้องสาวของเราน่ะน่าปวดหัวสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ?

ตอนนั้นเองที่บุคคลที่สามที่เอ่ยทักขึ้นมาราวกับว่าตัวเขาเข้าใจที่วินเซนต์กำลังเผชิญอยู่เป็นอย่างดี

. สุดท้ายแล้ว ไม่ว่า “บัลรอย เทเมกริฟ” จะทำสิ่งใด ผลลัพธ์มันก็มักจะลงเอยแบบครึ่งๆ กลางๆ ไปหมด

ตอนที่มีชีวิตอยู่ เขารับใช้จักรวรรดิ แต่สุดท้ายก็เข้าร่วมการกบฏ พอกลายเป็นผีดิบ เขาก็อยู่ฝั่งต่อต้านจักรวรรดิ แต่สุดท้ายกลับ…

ปัจจุบันบัลรอยมีรูอยู่กลางหน้าอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความพ่ายแพ้ที่เขามีต่อจอมเวทสุดเลวทรามที่ปลอบใจเขาว่า “หวุดหวิดไปนิดเดียว ฝั่งไหนอาจจะชนะก้อด้าย~” อย่างหน้าไม่อาย

บัลรอยรู้ตัวดีว่าต่อให้สู้กับจอมเวทคนนั้นสัก 100 ครั้ง บัลรอยก็คงจะพ่ายแพ้ทั้ง 100 ครั้ง ความแพ้ทางมันเป็นเช่นนั้นแล

คนครึ่งๆ กลางๆ อย่างบัลรอยไม่มีทางเอาชนะคนที่เสียสละพวกพ้องได้อย่างเลือดเย็นหรอก กระนั้นมีเดียมกลับปลอบใจเขาว่า “เพราะพี่บัลอ่อนโยนต่างหาก”

บัลรอยรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ชีวิตนี้เขาได้พบพานกับเซรีน่า ฟล็อป มีเดียม มาเดลิน คาริยอน และทหารบริวารที่เคยติดตามเขาทุกคน

บัลรอยได้ยินว่า “แม่มด” สามารถคืนชีพได้แต่คนที่ตายภายในจักรวรรดิเท่านั้น เพราะงั้นเขาจึงพยายามช่วยเธอขยายขอบเขตหายนะให้พ้นเขตแดนไปยังประเทศอื่น

ทั้งหมดก็เพื่อโอกาสที่จะได้พบเจอกับ “ไมลซ์” ที่เสียชีวิตในราชอาณาจักรอีกครั้ง

. ก่อนหน้านี้บัลรอยได้โอกาสพูดคุยปรับทุกข์กับมีเดียม น้องสาวบุญธรรมที่เติบโตขึ้นมากหลังเขาตาย ซึ่งบัลรอยสังเกตเห็นว่ามีเดียมมีรอยยิ้มที่เปลี่ยนไป

บัลรอย: มีดี้ มีผู้ชายที่ตกหลุมรักแล้วเหรอ?

มีเดียม: เอ๊ะ!? มะ…ไม่มีหรอก? …มั้งนะ

บัลรอย: ลองหลับตาลง นึกถึงหน้าตอนยิ้มของใครได้เป็นคนแรกก็น่าจะเป็นคนนั้นแหละ

มีเดียม: เงื่อนไขแบบนั้นก็เห็นแต่พี่จ๋าน่ะสิ! อีกอย่าง อาเบลจินเขาไม่เคยจะยิ้มเลยด้วย… อ๊ะ

มีเดียมที่เผลอหลุดปากเขินอายจนหน้าแดง เธอจึงรีบยกมือมาป้องปากไว้ ปฏิกิริยานั้นทำให้บัลรอยขำออกมาอย่างเบิกบาน

ไม่ว่าจะตอนเป็นหรือตอนตาย บัลรอยก็ยังคงใจโลเลไม่แปรเปลี่ยน ความปรารถนาและความชิงชังของเขามันจึงเจือปนกันไปหมด

บัลรอย: ถ้างั้นก็ ได้เวลาไปช่วยผู้ชายที่มีดี้ตกหลุมรักแล้วสินะ

มีเดียม: เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนสักหน่อย!

ปฏิกิริยาเขินอายแสนน่าเอ็นดูของน้องสาวทำให้บัลรอยครุ่นคิดในใจว่าหากอีกฝ่ายทำให้เธอเศร้าล่ะก็ เขาจะลงมือฆ่าด้วยตัวเองเสียเลย

นั่นแหละคือหัวอกของคนเป็นพี่ชาย กระทั่งคาริยอนที่เชื่อมจิตใจอยู่กับเจ้านายเองก็ยังเห็นพ้องกับความรู้สึกนั้น

. ตัดกลับมาปัจจุบัน ซึ่งกำลังเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคนเป็นและคนตายต่างชะโงกหน้ามองบนน่านฟ้าเหนือนครจักรพรรดิอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

บ้างก็มองเพราะสัมผัสมานาที่พวยพุ่งได้ บ้างก็หูดีจนได้ยินเสียงร้องของมกรบิน บ้างก็จับตามองปืนใหญ่ผลึกมนตราอยู่ บ้างก็กำลังมุ่งหน้าไปยังพระราชวังพอดี

บ้างก็มีเหตุผลอธิบาย บ้างก็ไม่มีเหตุผล แต่ถ้าหากไปถามสาเหตุที่ทุกคนมองไปยังจุดเดียวกันโดยมิได้นัดหมายกับดารานำแสดงเด่นคนหนึ่ง เขาก็คงจะตอบว่า――

“――แหงอยู่แล้ว เพราะว่ามันคือฉากไคลแมกซ์ของใครสักคนไงล่ะครับ!”

ไม่มีผู้ใดในจักรวรรดิที่สามารถปฏิเสธคำตอบนั้นได้ เพราะทุกคนต่างได้เห็นประกายแสงสีเขียวที่พวยพุ่งอยู่เหนือพระราชวังแก้วผลึก

ประกายแสงพุ่งทะลุขึ้นไปเหนือหมู่เมฆขนาดใหญ่ที่ราวกับว่าเป็นหมู่เมฆทั้งมวลเหนือน่านฟ้าของจักรวรรดิที่ถูกเรียกมารวมตัวกัน

จากนั้นก็เกิดการระเบิดขึ้นราวกับท้องฟ้ากระพริบ

. จบตอน