ณ ประตูทางเข้าหลักของนครจักรพรรดิ การ์ฟีลและไฮน์เคลกำลังตั้งรับจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งนี้จากกองทัพผีดิบที่โผล่มาเป็นกำลังเสริม
กำปั้นสวมถุงมือเกราะสีเงินของการ์ฟีลอัดกระแทกเข้าใส่ศีรษะและลำตัวของผีดิบพร้อมทั้งส่งคลื่นกระแทกที่สั่นไหวไปทั่วร่างจนแมลงแกนกลางถูกทำลาย
ผีดิบที่โดนเข้าไปร่างชักกระตุกก่อนที่จะแหลกสลายเป็นฝุ่น จากนั้นการ์ฟีลก็ไปไล่อัดผีดิบตัวที่เหลือซึ่งทยอยกรูกันเข้ามาเป็นฝูง
ไฮน์เคล: เฮ้ย ไอ้เด็กเปรต! ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ แบบนี้คงไม่จบไม่สิ้นสักที!
การ์ฟีล: ห้ามไปไหนนะเฟ้ย ต้องยื้อที่นี่เอาไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวมันไปเกะกะกลยุทธ์ของพวกจอมพลเข้า
ไฮน์เคล: แต่ว่า! …ถ้าแค่อยากทำตามหน้าที่ของแกล่ะก็ ถอยกลับมาทางนี้อีกสักหน่อยน่าจะสะดวกกว่าไม่ใช่เรอะ! ไม่มีเหตุอะไรให้ยื้ออยู่ตรงจุดนี้เลย… ช่างหัวไอ้มังกรนั่นเหอะน่า!
ไฮน์เคลร้องตะโกนพลางฟาดฟันผีดิบที่พุ่งเข้ามา จากนั้นก็ชี้ปลาบดาบไปหา “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อาที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหลังผ่านการสู้ศึกเดือดกับการ์ฟีล
พวกผีดิบเริ่มเข้าไปจู่โจมเมโซเรย์อาที่ร่วงหล่นสู่พื้นทั้งที่พวกมันควรจะอยู่ฝั่งเดียวกัน หากปล่อยเอาไว้เกร็ดของเจ้ามังกรคงจะอาบไปด้วยเลือดอย่างแน่นอน
การ์ฟีลดื้อดึงจะปกป้องเมโซเรย์อาที่ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน เพราะเขาอยากช่วยทำเติมเต็มความปรารถนาของสุบารุในการลดจำนวนผู้สูญเสียลงให้น้อยที่สุด
การ์ฟีล: ชั้นคนนี้ไม่ไปไหนหรอกโว้ย! แน่จริงก็เข้ามาสิวะ ไอ้พวกซอมบี้!
ไฮน์เคล: …เสียสติไปแล้วรึไง
การ์ฟีลกู่ร้องพลางกระทบถุงมือเกราะเข้าหากันเพื่อหันเหความสนใจของผีดิบมายังคนเป็นที่พลังชีวิตเต็มเปี่ยม ทั้งเขาและไฮน์เคลไม่รู้ตัวเลยว่า “มังกรเมฆา” กำลังขยับตัวเล็กน้อย
. ตอนที่บัลรอยเข้ามาอุ้มมาเดลินขึ้นจากเตียงนอน เธอก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้เจอกัน เนื่องจากรูขนาดใหญ่บนหน้าอกของเขา
ปกติผีดิบควรจะฟื้นสภาพจากบาดแผลเช่นนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น ดังนั้น การที่แผลยังไม่สมานตัวก็บ่งบอกถึงเจตจำนงค์ของบัลรอยได้อย่างชัดเจน
คู่ครองของมาเดลิน บุคคลอันเป็นที่รัก เธอกำลังจะสูญเสียเขาไปอีกแล้ว บัลรอยกำลังหลุดลอยไปเบื้องหลังหมู่เมฆ เกินกว่าที่มาเดลินจะเอื้อมมือถึง
บัลรอย: ――โทษทีนะ มาเดลิน
ดวงตาและน้ำเสียงของบัลรอยกลับมามีเสี้ยวแห่งชีวิตชีวาราวกับสมัยที่มีชีวิตอยู่ มาเดลินรู้สึกปวดใจเหลือเกินที่เธอมิได้เป็นผู้ที่นำความอบอุ่นนั้นกลับคืนสู่ตัวเขา
ดวงตาสีทองของมาเดลินที่ยังมีชีวิตนั้นอ่อนแอ ในขณะที่ดวงตาสีทองของบัลรอยผู้เป็นผีดิบกลับเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่น ทำเอาเธอรู้สึกไร้ค่า
บัลรอยขอโทษที่ทำตัวเอาแต่ใจจนถึงท้ายที่สุด เขาตัดสินใจได้แล้วว่าต้องการจะทำอะไรจึงได้มาที่นี่เพื่อบอกลามาเดลิน
มาเดลินรู้ดีว่าหลังจากนี้เขาจะพูดอะไรต่อ เพราะงั้นเธอจึงห้ามปรามไม่ให้บัลรอยขอโทษหรือขอบคุณเธอมากไปกว่านี้
. สติครึ่งหนึ่งของมาเดลินยังคงเชื่อมต่ออยู่กับเปลือกมกร เธอจึงยังขยับเขยื้อนแขนขาได้ไม่สมบูรณ์ กระนั้นมาเดลินกลับยังฝืนออกแรงกุมแขนผีดิบของบัลรอยอย่างแรงจนมันแตกร้าว
ที่มาเดลินออกแรงมากขนาดนั้นก็เพื่อที่จะสื่ออารมณ์ที่มิได้เป็นทั้งความพิโรธหรือความเกลียดชังออกมา
มาเดลิน: ถ้าจะพูดเรื่องความเอาแต่ใจล่ะก็ สิ่งที่บัลรอยเอาแต่ใจที่สุดน่ะ ก็คือการชอบหายไปไหนตามใจชอบไงเล่า มาที่รังของมกรผู้นี้ตามใจชอบ กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมกรผู้นี้ตามใจชอบ เลิกมาหาตามใจชอบ ตายไปตามใจชอบ หายไปตามใจชอบ… แล้วนี่ยังคิดที่จะหายไปตามใจชอบอีกแล้วงั้นหรือ!
บัลรอย: …
มาเดลิน: พอกันทีกับความเอาแต่ใจ ก็แบบว่า…ก็แบบว่า! จะไม่ยกโทษให้ความเอาแต่ใจอีกแล้ว! แทนที่บัลรอยจะบอกลาหรือขอบคุณ… ช่วยมาฟังเรื่องที่มกรผู้นี้จะพูดก่อน… อึก
มาเดลินเล่าว่าบัลรอยนี่แหละคือแรงบัลดาลใจที่ทำให้เธอกล้าลงจากหุบเขาพาลโซอาและออกมายังโลกภายนอก แม้ว่าเธอจะนึกเสียใจที่ไม่ได้ออกมาให้เร็วกว่านั้นก็ตาม
ถึงกระนั้นมาเดลินก็ไม่อยากที่จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่บัลรอยได้มอบให้แก่เธอ ทั้งช่วงเวลาที่ทั้งสองได้ใช้ร่วมกัน เส้นทางได้ที่เลือก สิ่งที่พูดคุย หรือการสัมผัสกันและกัน
เพราะงั้น ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิด มาเดลินไม่อยากที่จะฟังคำขอโทษหรือคำขอบคุณจากบัลรอย เธอเลือกที่จะใช้ช่วงเวลานี้ระบายความรู้สึกออกมา ต่อให้จะมีเวลาเหลือแค่ 10 วินาทีก็ตาม
มาเดลิน: รักนะ บัลรอยคือทุกสิ่งทุกอย่างของมกรผู้นี้ ไม่มีสิ่งใดที่รักมากไปกว่าบัลรอยอีกแล้ว บัลรอย…คือทุกสิ่งทุกอย่าง…ของมกรผู้นี้…
บัลรอย: มาเดลิน…
มาเดลิน: บัลรอย…บัลรอย…บัลรอย… ฮือ
. ตลอดชั่วชีวิตในฐานะมนุษย์มกร มาเดลินคิดคำนึงถึงแต่ “บัลรอย เทเมกริฟ” มาโดยตลอด ทั้งที่เธอมีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์ยิ่งนัก
ดังนั้น มาเดลินจะไม่ปล่อยให้ใครมาด้อยค่าบัลรอยเด็ดขาด ต่อให้บุคคลนั้นจะเป็นตัวบัลรอยเอง เนื่องจากตัวตนของบัลรอยสำคัญถึงขนาดที่ได้สลักเข้าไปในดวงจิตของมาเดลินแล้ว
บัลรอย: ――เห็นข้อดีจากตรงไหนกันนะ กับผู้ชายที่ไม่ควรค่าแก่การตกหลุมรักอย่างผมเนี่ย
มาเดลินเมินเฉยต่อคำพูดดูหมิ่นตัวเองและกดหน้าผากไปที่หน้าอกของบัลรอยให้เจ้าตัวได้รับรู้ถึงความสำคัญที่เขามีต่อตัวเธอ
ท่าทางความรู้สึกของมาเดลินจะส่งไปถึง บัลรอยจึงได้ถอนหายใจยอมแพ้ออกมา
บัลรอย: ต่อให้ขอให้ลืมกันไปเถอะก็คงลืมไม่ลงอยู่ดี อื้อ เรื่องนั้นผมน่ะทราบดีอยู่แล้วแหละน้า เพราะงั้น ก็ไม่จำเป็นต้องลืมกันหรอก ขอเพียงแค่――
มาเดลิน: …
บัลรอย: ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะ มาเดลิน เจ้าหญิงมกรผู้น่ารัก หวานใจของผม
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ความรู้สึกของมาเดลินถูกปฏิเสธโดยบุคคลที่เธอรักแบบตรงๆ
. บัลรอย: ――เป็นไงบ้างครับ ใต้เท้า? น้องสาวของเราน่ะน่าปวดหัวสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ?
ตัดกลับยังตอนที่บัลรอยมาปรากฏตัวที่ฐานยิงของปืนใหญ่ผลึกมนตรา ทุกคน ณ ที่นั่นต่างตื่นตระหนกต่อบัลรอย ยกเว้นมีเดียมที่ยังคงกุมมือของวินเซนต์ไว้
การเอื้อมมือไปใกล้ดาบตะวันทั้งที่มิใช่ผู้มีคุณสมบัติย่อมเสี่ยงต่อการถูกแผดเผา กระนั้นมีเดียมกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด
มีเดียม: ย่าห์!
มีเดียมชักมีดพร้าออกมาฟันใส่แก่นมนตราสีเขียวอย่างแม่นยำจนมันกระเด็นหลุดออกมาจากแท่นเสียบบนปืนใหญ่ แก่นมนตราตีวงโค้งไปตกอยู่ในมือของบัลรอยอย่างพอดิบพอดี
วินเซนต์จดจ้องไปที่บัลรอยด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ฝั่งบัลรอยเข้าใจได้ทันทีว่าบุคคลอย่างวินเซนต์จำเป็นต้องมีใครสักคนอยู่เคียงข้างช่วยตัดสินใจและช่วยเกื้อหนุนอยู่เสมอ
ซึ่งบุคคลที่ว่าไม่สมควรเป็นบัลรอย เพราะตัวเขามีความผิดฐานพรากจิชาไปจากวินเซนต์ ดังนั้น มีเดียมจึงเหมาะสมที่สุดแล้วในมุมมองของเขา
บัลรอยขอให้มีเดียมช่วยอุ้มมาเดลินต่อจากตัวเขาที่ก่อนหน้านี้ได้อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนข้างเดียวมาโดยตลอด
หลังจากที่ร่ำไห้อย่างหนักหน่วง เด็กสาวมนุษย์มกรได้กลับสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
มีเดียม: พี่บัล
บัลรอย: อะไรเหรอ
มีเดียม: พยายามเข้านะ!
บัลรอย: ――อื้อ จะพยายามนะ
. บัลรอยเดินกลับไปขึ้นขี่มกรคู่หูอย่างกระฉับกระเฉงราวกับว่าเขามิใช่ผีดิบ คาริยอนกระพือปีกพาเจ้านายลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าทั้งสองก็ไปถึงความสูงระดับก้อนเมฆ เสียงสายลมรอบข้างเริ่มเลือนหายไปในขณะที่บัลรอยและคาริยอนจดจ่อสมาธิไปที่การบิน
โมโกร: ไม่ได้มีแค่ พวกบัลรอย สองคน ฉัน อยู่ด้วย
บัลรอย: อา นั่นสิเนอะ เผลอเสียมารยาทซะได้
“มนุษย์โลหะ” โมโกรหรือก็คือแก่นมนตราในมือบัลรอยประท้วงขึ้นมา เขาคือสหายเก้าแม่ทัพเทวะที่มีวินัย เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และอ่อนโยนเสมอมา แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตก็ตาม
โมโกร: ฉัน “มีทิเออร์” แห่งจักรวรรดิ นั่นคือ จุดประสงค์ในการสรรค์สร้างของฉัน
เหมือนเป็นตลกร้ายที่คำพูดของโมโกรบังเอิญไปตรงกับวลีที่สฟิงซ์ชอบกล่าวให้บัลรอยได้ยิน
เช่นเดียวกับที่สฟิงซ์คิดจะทำลายจักรวรรดิเพื่อจุดประสงค์ในการสรรค์สร้างของตัวเธอ โมโกรเองก็ปกป้องจักรวรรดิเพื่อจุดประสงค์ในการสรรค์สร้างของตัวเขา
ในขณะที่บัลรอยนั้นเป็นตัวตนที่ก้ำกึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝั่งมาโดยตลอด
. โมโกร: ทำไมถึงได้ทรยศกัน บัลรอย
คำถามที่เถรตรงอย่างไม่คาดคิดทำให้บัลรอยสะดุ้งจนไปต่อไม่เป็น อีกฝ่ายไม่ได้เจาะจงว่าคำถามนั้นสื่อถึงการทรยศสมัยที่บัลรอยยังมีชีวิตอยู่หรือตอนที่เป็นผีดิบ
แต่ไม่ว่าจะเป็นการทรยศต่อจักรวรรดิครั้งไหน บัลรอยก็มีเหตุผลอย่างเดียวอยู่เสมอมา
บัลรอย: ――ทำไปเพื่อคนสำคัญยังไงเล่า~
นั่นคงเป็นครั้งแรกที่บัลรอยเปิดเผยเรื่องนั้นกับใครสักคน อาจเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าจุดจบใกล้เข้ามาแล้ว หรือไม่ก็เขารู้สึกไว้ใจสหาย “มีทิเออร์” คนนี้
ความรู้สึกที่แท้จริงนี้ ก่อนหน้านี้ผู้ที่ทราบมีเพียง “คาริยอน” ที่เชื่อมใจเข้าด้วยกันกับมีเดียมอีกคนที่มองออก
โมโกร: งั้นเหรอ เข้าใจล่ะ พวกฉัน ก็เหมือนกัน ――ทำไปเพื่อ คนสำคัญ
บัลรอย: …
โมโกร: บัลรอย ฉัน ยกโทษให้ นาย
คำให้อภัยจากตัวตนอนินทรีย์อย่างโมโกรเพียงพอต่อการทำให้บัลรอย เทเมกริฟได้รับประกายแห่งชีวิตชีวากลับคืนมาเป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาของเขาจึงกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนสมัยมีชีวิตอยู่
บัลรอย: ขอบคุณนะ โมโกร
ว่าแล้วบัลรอบและคาริยอนจึงเร่งความเร็วและบินฝ่าทะลุเกลียวเมฆที่หมุนวนขึ้นไป บัลรอยเคยเห็นเมฆลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่งบนภูเขาพาลโซอา
มันคือเมฆที่เป็นรังของมังกรซึ่งมีไว้ปกป้องสิ่งที่อยู่ภายในจากภัยคุกคามข้างนอก
บัลรอยนึกถึงใบหน้าของบุคคลมากมาย ทั้งวินเซนต์ เหล่าเก้าแม่ทัพเทวะ มาเดลิน เซรีน่า มีเดียม ฟล็อป และไมลซ์ ทุกคนเหล่านี้คือหลักฐานและความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเขา
บัลรอย: ――ถึงชีวิตจะเต็มไปด้วยทั้งขาขึ้นและขาลงมากมาย แต่มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่เลย
กระทั่งคำพูดสั่งลาของเขาออกมายังครึ่งๆ กลางๆ จนเจ้ามกรบินคู่หูยังส่งเสียงร้องตำหนิทิ้งท้ายเลย
. อยู่ดีๆ ร่างของ “มังกรเมฆา” ที่นอนอยู่ก็ยกตัวขึ้นมาพร้อมกับการตะปบกรงเล็บใส่พื้น ทำเอาไฮน์เคลที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้า
[มาเดลิน: บัลรอย ――อึก]
ร่างของมังกรยังคงบาดเจ็บจนลุกไม่ขึ้น แต่สิ่งเดียวที่สำคัญตอนนี้คือการใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของมังกรในการควบคุมเมฆาเบื้องบน
ดวงตาของมังกรเมฆาจดจ้องไปยังประกายแสงสีเขียวที่พวยพุ่งเป็นเส้นขึ้นจากพระราชวังแก้วผลึกไปยังเหนือหมู่เมฆ
ปลายทางของแสงสีเขียวคือบุคคลสำคัญของเธอ บุคคลที่เธอยอมยกโทษให้แก่เจตจำนงค์ การเตรียมใจ ความมุ่งมั่น และความเอาแต่ใจของเขา
มาเดลินในเปลือกมกรของ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อารวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อควบคุมหมู่เมฆที่บัลรอยพุ่งทะลุขึ้นไปให้หมุนเป็นเกลียวอย่างรวดเร็ว
พริบตาต่อก็เกิดการระเบิดขึ้นจนท้องฟ้ากระพริบ หมู่เมฆที่หมุนเกลียวแยกออกจากกันในฉับพลัน เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาเดลินพึ่งสูญเสียสิ่งสำคัญไป
[มาเดลิน: อา อาา ฮืออออ ――ฮืออออ!!]
ต่อหน้าท้องนภาที่สว่างสดใสอย่างน่าชิงชัง เปลือกมกรของ “มังกรเมฆา” อ้าปากขนาดใหญ่ของมันและส่งเสียงร่ำไห้ไว้อาลัยให้แก่บุคคลอันเป็นที่รัก
. จบตอน