แรงระเบิดเหนือน่านฟ้าปัดเป่าหมู่เมฆจนเผยให้เห็นท้องฟ้ายามอัสดง เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วจนใครก็ตามที่ชะโงกมองต้องแสบตา
และ ณ บัดนี้ การเตรียมการแสนสลับซับซ้อนของ “แม่มด” ผู้เป็นศัตรูของคนเป็นทั้งมวลก็ใกล้ที่จะเข้าถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
สุบารุ: ――เหวออออ!?
การระเบิดที่ไม่รู้ต้นตอทำให้ทั้งสุบารุ เบียทริซ และรอสวาลที่บินอยู่กลางอากาศตกใจจนเสียสมาธิ ในขณะที่มังกรอสูร “สามเศียร” ยืดคอเข้ามาหมายขย้ำเหยื่อต่อโดยไม่สนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เซซิลุส: ――ดาบเดียวผ่าแยกส่วน!
ฮาริเบล: อย่าได้หวังไปหน่อยเลย
ก่อนที่พวกสุบารุจะถูกเขมือบ มนุษย์หมาป่าขนดำและอัสนีสีฟ้าก็โฉบขึ้นมาจากสองฟากฝั่งและผ่าสองเศียรของมังกรสามหัวจนขาดสะบั้น
สุบารุ: คุณฮาริเบลกับ…เซสซี่ตัวเบิ้มเรอะ!?
เซซิลุส: ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! บังเอิญเจอกันในที่แบบนี้ซะได้นะครับ บอส ถึงจะกะไว้อยู่แล้วว่าน่าจะมาเพราะเป็นสเตจสุดท้ายก็เถอะ แต่การแสดงเมื่อครู่นี่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ! ตัวผมที่ไม่อยากจะแพ้ถึงได้รีบตามขึ้นมาบนท้องฟ้า แต่ท่าทางว่าการกำจัดดราก้อนจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์สินะครับเนี่ย?
. นี่พึ่งเป็นครั้งแรกที่สุบารุได้เห็นเซซิลุสในร่างผู้ใหญ่ แถมเจ้าตัวยังเคลมว่าสามารถกลับคืนร่างได้เองโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโอลบาร์ตอีกต่างหาก
เซซิลุสเอ่ยทักทายฮาริเบลและชมเชยเขาในฐานะตัวแสดงแทน ขณะเดียวกันวาลเกรนที่เหลืออยู่เพียงหัวเดียวก็กระพือปีกเพื่อบินทิ้งระยะห่างออกมา
เพราะต่อให้ฮาริเบลและเซซิลุสจะแกร่งเหนือมนุษย์หรือกระโดดสูงแค่ไหน สุดท้ายทั้งคู่ก็ไม่มีทักษะที่ทำให้บินบนฟ้าได้อย่างอิสระอยู่ดี
รอสวาล: ――เรื่องนั้นฉันช่วยทดแทนให้ด้าย~
ทว่า ด้วยเวทมนตร์ของรอสวาลที่เสกฝุ่นในอากาศมารวมตัวและประกอบขึ้นเป็นแท่นเหยียบชั่วคราว เซซิลุสกับฮาริเบลจึงสามารถดีดตัวเข้าประชิดมังกรอสูรได้
ฮาริเบล: ถึงจะเหลือหัวเดียว มังกรก็ยังเป็นมังกร
เซซิลุส: ไม่อยากให้มันมาเกะกะตอนจังหวะสำคัญเลยครับ รีบสอยให้ร่วงไปเลยดีกว่า!
ฮาริเบลแยกร่างกลายเป็นสามคนและเสียบ “จุดตาย” ของปีกมังกรจนแหลกสลาย จากนั้นคมดาบของเซซิลุสก็ผ่าร่างของวาลเกรนแยกเป็นสองซีกตามแนวดิ่ง
สุบารุอึ้งในฉากสังหารมังกรสุดอลังการของสองผู้แข็งแกร่ง เขารู้สึกว่าการมีเซซิลุสกับฮาริเบลเป็นพรรคพวกทำให้ตนไร้เทียมทานไม่ต่างจากการมีไรน์ฮาร์ดอยู่ข้างกายเลย
อัล: ――อย่าพึ่งชะล่าใจ พี่น้อง!!
สุบารุหันตามเสียงไปเห็นอัลที่ยืนอยู่บนยอดหอรบที่สองบริเวณแอเรียที่พื้นที่เบื้องล่างกลายเป็นแมกม่า ชายสวมหมวกเหล็กส่งเสียงตะโกนต่อทันทีว่า…
อัล: การโคจรของดวงดาวมันยังไม่เปลี่ยนเลย! “แม่มด” มันยังมีลูกเล่นอะไรเก็บซ่อนไว้อยู่อีก!!
. วินเซนต์นั้นมีฉายาว่า “จักรพรรดิปราชญ์” แต่เขามิเคยมองว่าตนเองคือผู้เฉลียวฉลาดที่สุดเลย
จุดเด่นที่แท้จริงของวินเซนต์คือการที่เขาไตร่ตรองข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะให้คำตอบอยู่เสมอ รวมทั้งการที่เขามิเคยใช้เวลาที่ตนมีในการครุ่นคิดอย่างเสียเปล่า
การเสียสละของบัลรอย เทเมกริฟ และการระเบิดของ “แก่นมนตรา” โมโกร ฮากาเนะทำให้ทุกคนที่นั่นยังคงอึ้งไม่หาย รวมถึงมีเดียมที่น้ำตาไหลคลอเบ้า
วินเซนต์: แต่ว่า มันจะจบเพียงแค่นี้จริงหรือ?
กระนั้นสมองของวินเซนต์ก็ยังประมวลผลด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเขายังคงไม่วางใจว่า “มหาภัยพิบัติ” ได้หมดอุบายลงแค่นี้
การใช้มานาจาก “ก้อนศิลา” เพื่อใช้งาน “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” พ่วงกับการตั้งเวลาจำกัดก่อนที่จักรวรรดิจะล่มสลาย
การใช้ปืนใหญ่ผลึกมนตราเล็งยิงอะไรบางอย่างที่วินเซนต์ไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัด รวมถึงการเร่งพลังงานให้แก่นมนตราระเบิดทั้งนครจักรพรรดิทิ้ง
พอคำนึงถึงแผนการที่ผ่านมาของศัตรู วินเซนต์ก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา เขาจึงต้องรีบยืนยันข้อสงสัยนั้นโดยเร็ว
วินเซนต์: โอลบาร์ต ดันคลูเคน! ได้ตรวจสอบปราสาททุกซอกทุกมุมหรือเปล่า!
โอลบาร์ต: เฮ้ยๆ ใต้เท้า ทางนี้เสียแขนไปสองข้างแล้วเห็นไหมน้อ? อย่าทำให้ชีวิตก่อนวัยเกษียณแสนน่าสังเวชของข้าต้องสูญเปล่าสิ…
วินเซนต์: ――เห็นตัวพริสซิลล่า บาริเอลในปราสาทไหม? เป็นหรือตายไม่สำคัญ
โอลบาร์ต: …
วินเซนต์: ตอบมาซะ! จะมัวเสียเวลาไม่ได้แล้ว!
โอลบาร์ต: ――หมายถึงคุณหนูตาสีแดงในชุดเดรสสวยๆ ใช่ไหมล่ะน้อ? ไม่เห็นตัวเลยน้อ แต่ได้สังหารผู้ใช้วิชาแสนน่ารำคาญกับพวกที่ดวงจิตถูกดัดแปลงไปอยู่ล่ะนะ
โอลบาร์ตนึกว่าเขาจะถูกไล่ออก แต่พอได้รับคำยืนยันจากชิโนบิเฒ่า วินเซนต์ก็ได้ข้อสรุปทันทีว่าพริสซิลล่ามิได้ถูกขังไว้ที่คุกใต้ดินของพระราชวังตั้งแต่แรก
ในเมื่อศัตรูต้องการให้เธอได้เห็นการล่มสลายของจักรวรรดิกับตาตัวเอง พริสซิลล่าจึงไม่ควรถูกขังไว้ในระยะหวังผลทำลายจากการระเบิดของแก่นมนตราก่อนหน้านี้
. ตัดไปทางฝั่งพริสซิลล่าที่ได้ข้อสรุปแบบเดียวกันกับวินเซนต์หลังจากที่เธอได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นผ่านภาพฉายบนกระจกวารี
เป้าหมายของสฟิงซ์คือการทำลายจักรวรรดิโดยที่พริสซิลล่าต้องไม่โดนลูกหลงตายไปด้วย ดังนั้นสถานที่ที่กักขังตัวเธอจึงมิใช่คุกใต้ดินของพระราชวังแก้วผลึกอย่างแน่นอน
พอพริสซิลล่ามองสำรวจรอบข้างอีกที เธอก็พบว่าสถานที่แห่งนี้เหมือนกับคุกใต้ดินในความทรงจำสมัยเด็กของเธอทุกกระเบียดนิ้ว
จึงพออนุมานได้ว่าตัวเธอถูกกังขังเอาไว้ในพื้นที่จำลองที่ถูกสร้างขึ้นจากความทรงจำ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก
การที่ไม่มีแรงสั่นสะเทือนจากสนามรบเบื้องบนสั่นมาถึงคุกใต้ดินเลยเป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีของเธอ ชัดเจนว่าสฟิงซ์ตั้งใจตัดโอกาสไม่ให้มีใครสามารถโผล่มาช่วยพริสซิลล่าได้
พริสซิลล่าวิเคราะห์ว่าฝั่งสฟิงซ์คงมีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน มิเช่นนั้นเธอคงจะแยกร่างตัวเองออกมานับไม่ถ้วนแล้วกระจายกำลังไปทิ้งดวงดาวใส่ทั่วจักรวรรดิจนพินาศไปแล้ว
. ไม่ว่าจะแบ่งร่างออกมาได้มากแค่ไหน สุดท้ายดวงจิตที่เป็นต้นกำเนิดก็ต้องใช้ร่วมกันอยู่ดี นั่นแปลว่าสฟิงซ์ทุกร่างจำเป็นต้องแบ่งสัดส่วนมานาใช้ร่วมกัน
ที่ผ่านมาสฟิงซ์เข้าร่วมศึกอันดุเดือดไปหลายครั้ง แถมยังร่ายเวทมนตร์เรียกดวงดาวไปหลายรอบ ต่อให้ภาชนะของเธอจะกลายเป็น “แม่มดแห่งโลภะ” มานาก็มีขีดจำกัดอยู่ดี
พริสซิลล่า: ด้วยเหตุนั้น จำนวนของร่างจำแลงที่เจ้าสามารถสร้างได้จะต้องมีขีดจำกัดอยู่แน่นอน นอกจากนี้ ที่ต้องแบ่งหนึ่งร่างมาประกบข้างข้าพเจ้าน่ะ ทำไปเพียงเพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้มีคู่สนทนาแก้เบื่อจริงเหรอ? เดิมทีหากไม่มีเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยแล้วล่ะก็ พื้นที่แห่งนี้ก็คงจะคงสภาพไว้ไม่ได้ล่ะสิ
ตั้งแต่ที่โผล่มาประกาศตัวว่าเป็นจอมบงการเบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ” สฟิงซ์ก็ยังไม่เคยออกจากคุกแห่งนี้เลยสักครั้ง ซึ่งเป็นเพราะว่าเธอจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ด้วย
ความเงียบของสฟิงซ์ถือเป็นการยืนยันทางอ้อมว่าทฤษฎีของพริสซิลล่าถูกต้อง เธอมั่นใจว่าสฟิงซ์น่าจะใช้มานาที่มีอยู่ไปเกือบหมดแล้ว แปลว่าแผนของการนังแม่มดได้มาถึงทางตัน…
พริสซิลล่า: ――แต่ก็ไม่เชิงใช่ไหมเล่า?
แต่แล้วพริสซิลล่ากลับพูดจาเหมือนขัดแย้งทฤษฎีตัวเอง เนื่องจากตัวเธอคาดหวังว่าฝ่ายสฟิงซ์ยังคงเก็บซ่อนอุบายบางอย่างที่จะช่วยพลิกสถานการณ์ไว้อยู่อีก
ฝั่งนังแม่มดเองก็ฉีกยิ้มออกมา ซึ่งถือเป็นการประกาศศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายระหว่างสฟิงซ์กับพริสซิลล่า
. ปัจจุบันสฟิงซ์ได้ทำการสร้างร่างจำแลงของ “แม่มดแห่งโลภะ” ขึ้นมาทั้งหมด 7 ร่าง โดยที่ทั้ง 7 ร่างนี้ไม่ได้มีสติสัมปะชัญญะร่วมกัน
ร่างจำแลงหนึ่งอยู่กับพริสซิลล่า อีกร่างไปเข้าร่วมศึกที่เมืองการ์คลา ส่วนอีกห้าร่างที่เหลือนั้นประจำการอยู่ภายในนครจักรพรรดิ
ทฤษฎีของพริสซิลล่าถูกต้องเกือบทั้งหมด ทุกร่างแยกใช้มานาจากดวงจิตตั้งต้นร่วมกัน และยิ่งสร้างร่างแยกมาก แต่ละร่างก็ยิ่งใช้มานาได้น้อยลง
กระนั้นคุณสมบัติของจอมเวทที่เก่งกาจไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการใช้เวทมนตร์บทใหญ่อย่าง “อัล ชาริโอ้” ที่เรียกดวงดาวเพียงอย่างเดียว
จอมเวทมีทักษะที่ไม่จำเป็นต้องใช้มานาปริมาณมากอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ลูกเล่นเหล่านั้นย่อมไม่ครณามือต่อหน้ามนุษย์หมาป่าผู้นำพาคำสาปแห่งความตายและเซียนดาบผู้สามารถผ่าดวงดาว
. แผนการส่งร่างแยกไปลอบสังหารอาราเคียผู้กลืนกิน “ก้อนศิลา” เข้าไปล้มเหลว แผนการกำจัดอาราเคียด้วยปืนใหญ่ผลึกมนตราล้มเหลว
แผนการระเบิดนครจักรพรรดิทิ้งด้วยการเร่งพลังงานให้แก่นมนตราจนเกิดขีดจำกัดก็ยังล้มเหลวอีก ทว่า แผนการเหล่านี้เป็นเพียงขั้นบันไดสู่เป้าหมายที่แท้จริง
ร่างจำแลงทั้ง 5 ของสฟิงซ์ได้กระจายกันออกไปตามมุมเมืองทั้งห้าทิศเพื่อเปิดใช้งานวงเวทที่ได้วางเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อทำการแทรกแซงมานาของพระราชวังแก้วผลึก
สฟิงซ์: ――เปิดใช้งานวงเวทหลายวงพร้อมกัน เริ่มต้นอุบายขั้นสุดท้ายได้ค่ะ ‘ส่วนสำคัญ’ จำเป็นค่ะ
ก่อนหน้านี้ มานาที่ไหลเวียนอยู่ในพระราชวังมีโมโกร ฮากาเนะเป็นผู้ควบคุมอย่างสมบูรณ์ในฐานะ “มิทีเออร์” ที่เป็นแก่นมนตรา
แม้จะตกอยู่ในสภาวะพลังงานเกิน เขาก็ยังไม่ปล่อยให้ภายนอกสามารถแทรกแซงได้ เพราะนั้น ในเมื่อโมโกรได้จากไปแล้ว มานาภายในพระราชวังแก้วผลึกจึงไร้ผู้คุ้มกัน
มานาไร้สีคุณภาพสูงที่สั่งสมมายาวนานเหล่านั้นคือแหล่งเติมมานาชั้นดีสำหรับ “แม่มด” ผู้ที่ผลาญมานาไปเกือบหมดตัว นี่แหละคืออุบายขั้นสุดท้ายของสฟิงซ์
วงเวทจำนวนห้าวงที่สฟิงซ์วางเอาไว้จะเชื่อมต่อกันเป็นวงเวทขนาดใหญ่รูปดาวกลับหัวตรงข้ามกับตำแหน่งของหอรบทั้ง 5 มุมเมือง
ยามที่เปิดใช้งานสำเร็จ วงเวทดังกล่าวจะทำการดูดกลืนมานาจากพระราชวังแก้วผลึกมาส่งให้แก่สฟิงซ์ โดยที่นัตสึกิ สุบารุและวินเซนต์ วอลลาเคียไม่สามารถหยุดยั้งได้
เช่นเดียวกับ เซซิลุส เซ็กมุนต์ / ฮาริเบล / อาราเคีย / โอลบาร์ต ดันคลูเคน / ยอร์น่า มิชิกุเระ / ยูการ์ด วอลลาเคีย / รอสสาล L เมเธอร์ส / เบียทริซ / การ์ฟีล ทินเซล / มีเดียม โอคอนเนล / ทันซ่า / และไฮน์เคล
ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้ ยกเว้นเพียงบุคคลเดียว
สฟิงซ์: ――วงเวทมัน…ไม่สมบูรณ์?
ในบรรดาร่างจำแลงของสฟิงซ์ทั้ง 5 คน มีเพียงร่างที่ควรจะประจำการอยู่ที่ส่วนทิศเหนือของเมืองเท่านั้นที่ไม่ยอมเปิดใช้งานวงเวท
ไม่มีใครทราบเลยว่าสาเหตุนั้นเกิดขึ้นจากศึกการปะทะกันระหว่างสองผู้สืบทอดตำแหน่ง “แม่มด” จาก “แม่มดแห่งโลภะ” และ “แม่มดแห่งริษยา”
. จบตอน