หากเอมิเลียไม่ได้เข้ามาขวางเอาไว้โดยพลการ แผนการของแม่มดสฟิงซ์คงจะเสร็จสมบูรณ์จนจักรวรรดิวอลลาเคียต้องล่มสลายไปแล้ว
ปัจจุบันเอมิเลียกำลังปัดป้องลำแสงความร้อนและลูกแก้วแสงที่กระหน่ำเข้ามาจากรอบทิศทางด้วยอาวุธน้ำแข็งที่ดัดแปลงผิวให้เงาเหมือนกระจก
เอมิเลียนั้นพิถีพิถันเวลาที่สร้างอาวุธน้ำแข็งอยู่เสมอ เนื่องจากเธอจดจำคำแนะนำของสุบารุที่ว่า “จินตนาการ” และ “ดีเทล(รายละเอียด)” คือสิ่งสำคัญที่สุด
การหมั่นฝึกฝนในเรื่องดังกล่าวทำให้เอมิเลียสามารถสร้างอาวุธน้ำแข็งที่แก้ทางเวทมนตร์ของสฟิงซ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เอมิเลีย: ไม่ว่าเมื่อไหร่จะต้องขอบคุณเสมอเลย
เอมิเลียเอ่ยขอบคุณสุบารุพลางสร้างชุดน้ำแข็งขึ้นมาสวม เพียงแค่การนึกถึงเขาก็ทำให้ความเหนื่อยล้าหายวับไปและมอบพละกำลังให้เอมิเลียเหวี่ยงค้อนน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง
สฟิงซ์: ――‘กำจัด’ จำเป็นค่ะ แถมยังต้อง โดยเร็วที่สุดด้วย
ฝั่งสฟิงซ์นั้นคอยรักษาระยะห่างและกระหน่ำยิงเวทมนตร์อย่างต่อเนื่องโดยที่สีหน้าเก็บซ่อนความร้อนรนเอาไว้
กระนั้นเอมิเลียก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายมีเป้าหมายบางอย่าง เธอจึงทุ่มเทขัดขวางอย่างเต็มที่
ศัตรูที่สฟิงซ์ไม่อยากเจอที่สุด ณ ตรงนี้ไม่ใช่ทั้งผู้แข็งแกร่งอย่างเซซิลุส/ฮาริเบล ผู้เฉลียวฉลาดอย่างวินเซนต์/รอสวาล หรือตัวตนนอกรีตอย่างสุบารุ/อัล
หากแต่เป็นเอมิเลียที่สามารถแก้ทางเธอได้ด้วยสัญชาตญาณ แถมยังไม่คิดจะสังหารเธอแม้แต่น้อย สฟิงซ์จึงไม่โอกาสใช้ “หลบหนีด้วยความตาย” เพื่อหาทางรับมือใหม่
เอมิเลีย: ถึงจะไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรอยู่ก็เถอะ แต่ไม่ปล่อยให้คุณทำตามใจชอบหรอกค่ะ! แล้วก็บอกที่อยู่ของพริสซิลล่ามาด้วย! เพราะว่าสัญญากับชูลท์คุงไว้แล้วนี่นะ!
สฟิงซ์: ――ทั้งเอาแต่ใจและโลภมาก เหมือนกับแม่มดจริงๆ เลยนะคะเนี่ย
เอมิเลียร้องขอแบบตรงไปตรงมาพลางใช้รองเท้าน้ำแข็งเตะลูกแก้วแสงให้กระเด็นออกไป ทำเอาฝั่งสฟิงซ์หัวเสียจนพึมพำออกมาอย่างขุ่นเคือง
. ตัดไปทางสุบารุซึ่งพึ่งจะ “ตายแล้วกลับมา” หลังจากที่เขาเห็นแสงสีขาวที่วาบขึ้นมาเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่โลกใบก่อนจะจบสิ้นลง
จุดเซฟใหม่คือหลังจากที่มังกรอสูรวาลเกรนพึ่งถูกสังหารไป ตอนที่ตัวเขากับเบียทริซยังคงอยู่ในอ้อมแขนของรอสวาลที่เหาะเหินอยู่บนท้องฟ้า
เซซิลุสกับฮาริเบลเองก็ยังจ้อกันอยู่ข้างๆ ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง
สุบารุ: ――เมื่อกี้นี้มัน
อีกไม่นานจะเกิดอะไรบางอย่างที่ทำให้แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นจนพวกสุบารุตายกันหมด ในเมื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว สุบารุจึงเริ่มวิเคราะห์ภัยคุกคามใหม่จากแม่มดและคิดหามาตรการรับมือ
คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก คิดให้ออก
เบียทริซที่กุมมือสุบารุอยู่สัมผัสได้ถึงความร้อนรนและความมุ่งมั่นผ่านดวงจิตของเขา เธอจึงช่วยบอกให้อุ่นใจว่าเธอพร้อมที่จะช่วยอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
สุบารุ: ――จะงัดออกมาใช้จนชั้นแทบจะหมดสติไปเลยก็ได้ เดี๋ยวจะให้สัญญาณ ขอให้เตรียมพร้อมที่จะใช้ “ไอ้นั่น” ก่อนหน้านี้ไว้ทุกเมื่อเลยนะ!
. หลังสุบารุสั่งการอะไรสักอย่างบนท้องฟ้า เซซิลุสกับฮาริเบลก็กระโจนตัวแยกย้ายกันไปคนละทาง ส่วนอัลเดบารันก็ได้ยินเสียงฟันเฟืองของโลกหลายใบที่หมุนเข้าหากันไปสู่เวลาแห่งแสง
อัลไม่แน่ใจว่าเขาหูหลอนไปเองไหม แต่ถ้าหากนัตสึกิ สุบารุตัดสินใจทำอะไรหลังจากที่เขาไตร่ตรองดูแล้ว อัลก็สามารถเชื่อมั่นได้ ――ไม่สิ ต้องเชื่อมั่นอย่างไม่มีทางเลือกต่างหาก
อัล: แม่งเอ๊ย
เขาสบถออกมาโดยที่ไม่แน่ใจว่าตนนึกเสียใจไปทำไม ตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกับนัตสึกิ สุบารุในจักรวรรดิ อัลก็รู้ตัวดีว่าเขามิอาจหลีกเลี่ยงการใช้ประโยชน์จากสุบารุเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น
――เนื่องจากว่า “อัลเดบารัน” ที่เป็นเพียงดวงดาวตามติดไม่สามารถทำสิ่งเดียวกันกับ “นัตสึกิ สุบารุ” ได้
สฟิงซ์: ――‘ไตร่ตรอง’ จำเป็นค่ะ
สฟิงซ์ที่นอนอยู่บนพื้นเอ่ยขึ้นมา ร่างกายตั้งแต่ส่วนคอลงไปของเธอถูกแสงสีดำที่จับตัวเป็นของแข็งผนึกเอาไว้จนทั้งขยับเขยื้อนและใช้งานเกทไม่ได้
อัลชิงชังสายตาของสฟิงซ์ที่จดจ้องเขาราวกับว่ากำลังวิเคราะห์พฤติกรรมอยู่ แถมที่ผ่านอัลลองสอบปากคำสฟิงซ์มาแล้วทุกวิถีทาง แต่ว่าเธอไม่ปริปากเลย ไม่ว่าเขาจะลองใหม่สักกี่ครั้ง
. อัล: แต่ว่านะ พวกเอ็งน่ะจบเห่แล้วล่ะ เพราะดันไปสร้างศัตรูกับคนที่ไม่ควรเข้า จะมาคิดใหม่เอาป่านนี้มันก็ไม่ทันการ――
สฟิงซ์: สิ่งที่ไตร่ตรองใหม่น่ะ คือการประเมินเรื่องตัวคุณค่ะ
อัล: หา?
สฟิงซ์: ถึงจะเคยมองตัวคุณเป็นเพียงแค่ผู้ติดตามของพริสซิลล่า บาริเอล… แต่คุณน่ะ เหมือนกับฉันเลยสินะคะ
อัล: …
สฟิงซ์: มรณสักขีผู้ที่ล้มเหลวในการบรรลุจุดประสงค์การสรรค์สร้างของตนเองจนต้องมีชีวิตอยู่อย่างตรากตรำ ตัวฉันที่บรรลุจุดประสงค์การสรรค์สร้างของตนเองไปแล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนาตัวคุณซึ่งยังคงย่ำอยู่กับที่เลยค่ะ
สายตาเวทนาอย่างจริงใจของสฟิงซ์ทำให้จิตสังหารก่อตัวขึ้นในหัวอัลเดบารันทันที นังแม่มดปากมากคนนี้สมควรตาย มันสมควรตายข้อหาพูดเรื่องนั้นกับอัลด้วยสายตาเช่นนั้น
――นังแม่มดคนนี้คิดว่าใครกันที่ทำให้ตัวเขากลายมาเป็น “อัลเดบารัน” ได้?
อัล: มึง――
สุบารุ: อัล! ขอยืมแรงหน่อย!!
ก่อนที่อัลจะพลั้งมือฆ่าสฟิงซ์ด้วยความเดือดดาลหากเขามีเวลาอีกสักเสี้ยววินาที เสียงของสุบารุก็ดังขึ้นมาขัดพร้อมกับสายลมที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง
. สุบารุ: ต้องพึ่งพาพลังของนาย! อย่างที่นายพูดเอาไว้เลย “มหาภัยพิบัติ” มันยังไม่จบ! ต้องทุ่มกำลังหมดหน้าตักแล้ว!
นัตสึกิ สุบารุที่ลงจอดพร้อมกับรอสวาลและเบียทริซได้ร้องขอความช่วยเหลือจากอัล สุบารุคือผู้ที่สามารถเอื้อมมือไปถึงแสงสว่างที่อัลมิเคยจะเอื้อมถึงอยู่เสมอ
สุบารุไม่มีเวลามาคำนึงถึงปัญหาในใจที่อัลกำลังเผชิญอยู่ เขาจึงชูกำปั้นขึ้นมาและขอความร่วมมือจากอัลแบบแกมบังคับโดยอาศัยคำพูดของอัลเอง
สุบารุ: คาดหวังในตัวชั้นอยู่นี่! ชั้นเองก็อยากจะพูดกับนายแบบเดียวกัน!
คำพูดของสุบารุทำให้อัลเดบารันนึกย้อนถึงคำพูดที่เขาเคยกล่าวไว้ที่เมืองกัวลาลในยามที่สุบารุสูญเสียจุดยืนเพราะคำพูดของเด็กสาวที่ชื่อเรม
สุบารุ: ความมั่นใจที่สูญเสียไปน่ะ แค่ทวงคืนมาด้วยผลลัพธ์ก็พอเฟ้ย! ทุกอย่างจนถึงตอนนี้มันก็เหมือนกันเลย!
ทั้งรอสวาลและเบียทริซต่างเปี่ยมล้นด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขา นั่นคือความพิเศษของสุบารุที่สามารถมอบพลังให้แก่คนรอบข้าง
และตอนนี้สุบารุคนนั้นก็ได้ยื่นมือเข้ามาหาอัลเดบารันเช่นกัน
สุบารุ: มาเถอะ อัล! ――ช่วยมาแบกรับภาพมายาวีรชน ร่วมกับชั้นหน่อย!
. อุบายที่จะทำให้จักรวรรดิวอลลาเคียล่มสลายของนังแม่มดทำให้สุบารุต้องตายไปหลายต่อหลายครั้ง โดยทุกครั้งเป็นความตายที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน
ความตายที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัวและไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดเช่นนั้นอาจถือเป็นจุดจบในอุดมคติของใครหลายคน แต่สุบารุนั้นมีความเห็นต่างออกไป
สุบารุ: ไม่ล่ะ จุดจบในอุดมคติของชั้นคือการตายจากไปอย่างสงบโดยมีเอมิเลียตันกับเบียโกะและพวกหลานๆ มารวมตัวกันร่ำลา เพราะงั้นแบบนี้มันถึงไม่ใช่
ใจนึงสุบารุก็รู้สึกเจ็บปวดที่จุดจบในอุดมคติของเขาคงทำให้เอมิเลียและเบียทริซที่ถูกทิ้งไว้เศร้าเป็นอย่างมาก แต่ว่านั่นเป็นเรื่องที่เขาต้องคำนึงถึงทางแก้ในภายหลัง
หลังกลับมาที่จุดเซฟ สุบารุจะมีเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก่อนที่แสงสีขาวจะปกคลุมไปทั่วจนเขากับเพื่อนๆ ตายกันหมด
โชคดีที่คำเตือนจากอัลเรื่องแผนการของ “แม่มด” ช่วยทำให้สุบารุเข้าใจสถานการณ์ไวขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยลดจำนวนการตายของเขาลงไปอย่างน้อย 5 ครั้ง
. สุบารุได้ใช้เวลาที่มีละแต่ในลูปในการลองผิดลองถูกไปมากมายเพื่อทำการเก็บข้อมูลและทำความเข้าใจสถานการณ์
เบียทริซ: ความเป็นไปได้อันดับแรกคือการที่ “ก้อนศิลา” …คือการที่มุสเปลถูกฆ่ากระมัง หากศัตรูยังเหลือไพ่ที่ใช้พลิกกระดานได้อยู่ ความเป็นไปได้นั้นก็คงมีโอกาสมากสุดแล้วย่ะ
รอสวาล: ศัตรูอาจจะเตรียมทริกเกอร์ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติใหญ่อย่างการที่ผืนดินของจักรวรรดิทรุดตัวลงไว้ก็ได้น้า~ ――หากอิงจากอุบายเก่าของสฟิงซ์ล่ะก็ อาจจะมีวงเวทบางอย่างอยู่ก็เป็นได้
ฮาริเบล: ในตอนนี้ ปัญหาใหญ่สุดอย่าง “คำสาปแห่งหนาม” ก็ถูกกรูวี่ถอนออกไปแล้ว คิดว่ายังพอจะมีโอกาสที่ยังเหลือคำสาปไม้ตายก้นหีบที่เหนือยิ่งกว่านั้นเก็บซ่อนไว้อยู่อีกไหม?
เซซิลุส: ครับๆๆ ขอตอบครับ! อิงจากที่คุณอัลบอกไว้ ถ้าเกิดอาเนียตาย จักรวรรดิทั้งมวลก็จะมลายสิ้นหมดเลย อาจจะเกี่ยวกับเรื่องนั้นก็ได้นะครับ! สรุปแล้วมีความเป็นไปได้ที่อาเนียอาจจะถูกหมายหัวโดยกองทัพขนาดใหญ่สินะครับ! ไม่ได้สังหารคนเป็นพันมาตั้งนานแล้วนะเนี่ย!
สปิก้า:อู! อูอาอู! อา อู!
ยอร์น่า/ไอริส: …ปลอดภัยดีหรือเปล่า เจ้าหนู! ได้ยินว่าช่วยดูแลทันซ่าเป็นอย่างดีสินะเจ้าคะ หากมีอะไรที่ข้าน้อยพอจะช่วยได้ล่ะก็ บอกมาได้เลยนะเจ้าคะ
ทันซ่า: ท่านชวาร์ซคะ สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย… ทุกท่านในหน่วยรบจะปลอดภัยดีหรือเปล่านะ?
ยูการ์ด: ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่ดวงตาใช้ได้เลย กระทั่งดวงดาราของข้ายังเชื่อใจน่าดู แม้จะไม่ถึงขั้นเราผู้นี้ก็เถอะ หากมีสิ่งใดที่จำเป็นต้องให้ช่วย ก็เอ่ยมาได้เลย
การ์ฟีล: จอมพล! ถึงจะดีใจก็เหอะ แต่มันยังเร็วไปมั้ยที่จะชื่นชมชั้นคนนี้น่ะ! มันยังไม่จบใช่มั้ยล่ะ? ไม่ว่าอะไรก็บอกมาได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไรจะจัดการให้เองเฟ้ย!
ไฮน์เคล: …ไปให้พ้น อย่าเอาชั้นไปรวมกับพวกแแก ไอ้เด็กเปรต
[เมโซเรย์อา: หายไปเสียแล้ว… ไม่มีอะไรที่…มกรผู้นี้…จะทำได้อีกแล้ว…]
มาเดลิน: หายไปเสียแล้ว… ไม่มีอะไรที่…มกรผู้นี้…จะทำได้อีกแล้ว…
มีเดียม: สุบารุจิน ชั้นน่ะไม่ค่อยถนัดใช้ความคิดก็จริง แต่จะพยายามดูนะ! สุบารุจินเองก็พยายามเข้านะ!
โอลบาร์ต: โอ้ เสียใจด้วยน้อ เสียแขนไปสองข้างซะแล้ว ท่าทางว่าเอ็งต้องกลับคืนร่างด้วยตัวเองแล้วสินะ? ในสภาพนี้คงนวดดวงจิตให้กลับคืนสภาพเดิมไม่ไหวหรอก คั่กคั่กคั่กคั่ก!
. สุบารุไม่ใช่ซูเปอร์แมนที่สามารถแก้ปัญหาทุกเรื่องได้ด้วยตนเอง เขาทุ่มเทเวลา 1 นาทีที่มีอยู่ใช้ความตายแลกเปลี่ยนกับการปิดเส้นทางเดินหมากของศัตรูทีละก้าวและรวบรวมข้อมูลที่สำคัญ
ความตายของ “ก้อนศิลา” มุสเปล / วงเวท / “คำสาปแห่งหนาม” / ชีวิตของอาราเคีย / “กินดารา” ของสปิก้า / โล่งอกไปทีที่ยอร์น่าปลอดภัย / สถานการณ์รบฝั่งนครป้อมปราการ / จักรพรรดิแห่งผีดิบจอมคลั่งรัก / เจ้าการ์ฟีลของเรานี่สุดยอดไปเลย / คนขี้เมาที่ไม่อยากพูดถึง / มังกรที่พูดไม่รู้เรื่อง / มนุษย์มกรที่พูดไม่รู้เรื่อง / จะพยายามนะ / อย่าพูดอะไรที่ทำให้เสียกำลังใจจะพยายามสิ / etc.
วินเซนต์: เจ้าคนเขลา อย่าก้มหน้าก้มตาสิ นัตสึกิ สุบารุ ทั้งข้าและเจ้าต่างไม่มีเวลามาก้มหน้าก้มตาแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่ว่าจะดิ้นรน ไม่คิดที่จะยอมแพ้หรอก ――คิดว่าข้าผู้นี้เป็นใครกัน
ดังที่ชายจอมหยิ่งพยองคนนั้นกล่าวไว้ นัตสึกิ สุบารุ ไม่มีตัวเลือกให้ยอมแพ้หรอก
ถึงแม้ว่าเขาจะยังหาตัวเอมิเลียไม่พบ แม้ว่าเธออาจจะตกอยู่ในอันตราย แต่สุบารุก็เชื่อมั่นว่าเธอคนนั้นกำลังพยายามเพื่อไขว่คว้าอนาคตแทนที่จะหลบซ่อนอยู่ในที่ปลอดภัย
เพราะงั้นสุบารุจะต้องพลิกกระดานเพื่อเอาชนะ “แม่มด” ให้จงได้
สุบารุ: มาเถอะ อัล! ――ช่วยมาแบกรับภาพมายาวีรชน ร่วมกับชั้นหน่อย!
. สฟิงซ์นึกว่าเธอเตรียมการอุบายแต่ละขั้นตอนอย่างสมบูรณ์แบบ แต่มันกลับถูกแก้ทางมาได้โดยตลอด จนความรู้สึกมั่นใจหลังการบรรลุจุดประสงค์ของการสรรค์สร้างเริ่มถดถอยลง
พริสซิลล่า: ――วินเซนต์ วอลลาเคีย …อัลเดบารัน …นัตสึกิ สุบารุ
สฟิงซ์: …
ระหว่างที่สฟิงซ์กำลังคำนึงถึงสิ่งที่ขัดขวางตัวเธอและ “มหาภัยพิบัติ” พริสซิลล่าก็ไล่เรียงชื่ออย่างแม่นยำราวกับว่าสามารถอ่านใจเธอได้
สฟิงซ์ลองถามความเห็นของพริสซิลล่าเกี่ยวกับชายสามคนนั้นดูตรงๆ ซึ่งพริสซิลล่าก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างสนิทสนมจนสฟิงซ์ยังประหลาดใจ
สฟิงซ์เริ่มเกิดความรู้สึกร้อนรนขึ้นมาในใจเป็นครั้งแรกยามที่จ้องตาพริสซิลล่า มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะเอาชนะผู้หญิงที่ใช้ชีวิตดุจเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงคนนี้ให้จงได้
สฟิงซ์: ‘มาตรการรับมือ’ จำเป็น ――ไม่สิ ถ้าคิดว่ายับยั้งได้ล่ะก็ แน่จริงก็ลองยับยั้งให้ดูสิ
. อ่านต่อพาร์ท 2