สฟิงซ์วางวงเวทรูปดาวห้าแฉกกลับหัวเอาไว้ในทิศตรงข้ามกับจุดตั้งของหอรบทั้ง 5 มุมเมืองเพื่อใช้ในการดูดมานาจากพระราชวังแก้วผลึกมาเติมเต็มดวงจิตตนเอง
สฟิงซ์ในตอนนี้มีทั้งความรู้ด้านเวทมนตร์และดวงจิตของ “แม่มดแห่งโลภะ”เฉกเช่นเดียวกับผู้สรรค์สร้างแล้ว สิ่งที่ขาดไปเหลือแค่เพียงมานาปริมาณมหาศาล
สฟิงซ์: ความสมบูรณ์ของวงเวทมัน――
เซซิลุส: เสียใจด้วยนะ พอดีว่าใต้เท้ากับบอสสั่งการมาว่าให้ขัดขวางเอาไว้น่ะ
ทันใดนั้นเอง สฟิงซ์ที่มุ่งหน้าไปยังวงเวทตำแหน่งหนึ่งก็ถูกตัดศีรษะจนขาดกระเด็นด้วยคมดาบที่เปล่งประกายก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว
แต่ว่ามันยังไม่จบ เนื่องจากสฟิงซ์สามารถใช้วงเวทที่ยังไม่สมบูรณ์ช่วยต่อลมหายใจให้ดวงจิตของตัวเธอได้ แถมยังสร้างร่างแยกขึ้นมาหลายร่างจากดวงจิตอีกต่างหาก
เซซิลุส: ――อา งั้นเองเหรอครับ คุณเองก็จมดิ่งอยู่เหมือนกันสินะครับ
สฟิงซ์: ที่นี่ไม่ได้มีแหล่งน้ำนี่คะ ที่บอกว่าจมดิ่งมันหมายความว่าไง? ‘อธิบาย’ จำเป็นค่ะ
เซซิลุส: ไม่จำเป็นต้องมีทั้งแม่น้ำ บ่อน้ำ ทะเลสาบ หรือกระทั่งแอ่งน้ำของจริงหรอกครับ สิ่งที่เรียกว่า “มหาสมุทร” น่ะ ไม่ว่าใครก็มีอยู่ในหัวใจทั้งนั้น ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาบางสิ่งอย่างแรงกล้าจะตกอยู่ในสภาพจมดิ่งครับ
สฟิงซ์เอียงคอสับสนต่อสิ่งที่อีกฝ่ายพล่ามออกมาและไม่คิดจะตอบกลับ แต่เซซิลุสเองก็ไม่สนใจ เขาวางมือบนด้ามดาบเพื่อเตรียมต่อสู้และประกาศนามออกมาตามธรรมเนียม
เซซิลุส: ――เซียนดาบ เซซิลุส เซ็กมุนต์
สฟิงซ์: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์
. ในขณะที่ “อัสนีสีฟ้า” กำลังประจันหน้าอยู่กับ “แม่มด” การต่อสู้เพื่อยับยั้งการเปิดใช้งานวงเวทอีกสามตำแหน่งก็เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฮาริเบล: ――“จอมพิสมัย” ฮาริเบล
สฟิงซ์ 2: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์
ยูการ์ด: ――จักรพรรดิวอลลาเคียรุ่นที่ 61 ยูการ์ด วอลลาเคีย
สฟิงซ์ 3: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์
การ์ฟีล: ――“กอร์เจียสไทเกอร์” การ์ฟีล ทินเซล
สฟิงซ์ 4: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์
กลุ่มนักรบหัวกะทิที่นัตสึกิ สุบารุเลือกสรร ได้เข้าเผชิญหน้ากับนังแม่มดและเวทมนตร์สุดร้ายกาจของเธอเพื่อขัดขวางอุบายขั้นสุดท้ายของ “มหาภัยพิบัติ”
หากปล่อยให้แม่มดสฟิงซ์มีมานาใช้ตามใจปรารถนา เธอจะกลายเป็นตัวตนเหนือสามัญสำนึกที่สามารถใช้เวทมนตร์รังสรรค์สิ่งใดก็ได้ จนไม่สามารถหยุดยั้งได้อีกต่อไป
ซึ่งสิ่งที่ทำให้สฟิงซ์น่ากลัวเป็นพิเศษคือความละเอียดรอบคอบของแผนการที่เธอวางเอาไว้เพื่อทำให้ตนเองบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว
. สุบารุ: เบียโกะ! รอสวาล!
เบียทริซ: มีเนีย!
รอสวาล: อุล โกอา
วายุศรสีม่วงและกระสุนเพลิงปัดเป่าแนวหน้าของฝูงผีดิบที่กรูกันเข้ามาเพื่อสังหาร “อาราเคีย” ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขแห่งชัยชนะที่สำคัญอีกอย่างของพวกสุบารุ
จิตใจของผีดิบเหล่านี้ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์จนกลายเป็นตุ๊กตา พวกมันจึงเหยียบย่ำพวกพ้องที่ล้มลงเพื่อบุกจู่โจมต่อเนื่องอย่างไม่ลดละ
ผีดิบตัวหนึ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาได้ อัลจึงแทงกระบี่มังกรหยกที่ทำขึ้นจากก้อนดินใส่ร่างของมัน จากนั้นก็ทำให้กระบี่พองตัวจนผีดิบร่างระเบิด
วิธีการต่อสู้ของอัลมันเสี่ยงอันตรายจนนับเขาเป็นนักรบผู้มากฝีมือไม่ได้ แต่ทุกความช่วยเหลือในตอนนี้ล้วนแต่มีค่าทั้งสิ้น
สุบารุ: ――ผ่านไปแล้วหนึ่งนาที
เส้นตายผ่านไปแล้วแต่สุบารุก็ยังไม่ตาย นั่นแปลว่าสถานการณ์เริ่มมีความคืบหน้า
. ตอนแรกที่ได้เห็นว่าสฟิงซ์มีหน้าตาเหมือนกับเอคิดน่านั้น สุบารุตกใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่ได้เบียทริซกับรอสวาลช่วยเรียกสติเขากลับมาจดจ่อกับเรื่องสำคัญตรงหน้า
เบียทริซ: สุบารุ เจ้านั่นน่ะไม่ใช่คนเดียวกับท่านแม่หรอกนะยะ
รอสวาล: ถูกต้องแล้ว ไม่มีเค้าโครงเหมือนกับ “แม่มดแห่งโลภะ” เอคิดน่าเลยสักนิด แต่ก็ถือเป็นศัตรูที่ไม่น่าพิสมัยเหลือเกินแหละน้า~
เดิมทีนังแม่มดคนนี้ควรจะถูก “ดาบตะวัน” ของวินเซนต์เผาทิ้งไปแล้ว แต่เธอดันเปลี่ยนรูปลักษณ์จนรอดมาได้ ซึ่งกลายเป็นเคาน์เตอร์ต่อ “ดาบตะวัน” และ “กินดารา” ไปโดยปริยาย
สุบารุ: ถ้าเกิดสามารถขัดขวางการเปิดใช้งานวงเวทได้อย่างสมบูรณ์ล่ะก็――
ทันใดนั้นก็มีกระจกวารีขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครจักรพรรดิ และสิ่งที่ฉายอยู่บนกระจกก็คือภาพของ “นครป้อมปราการ” การ์คลาซึ่งกำลังจะถูกทำลายโดยดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมา
. ตัดไปทางวินเซนต์และมีเดียมซึ่งได้เห็นภาพฉายบนกระจกวารีแบบเดียวกัน โดยวินเซนต์เข้าใจทันทีว่าสิ่งนี้เป็นการโจมตีจากนังแม่มดรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
เป้าหมายของการฉายภาพคือการจู่โจมทางจิตใจหรือก็คือการตัดทอนขวัญกำลังใจด้วยการมอบความสิ้นหวังให้แก่ผู้ที่ได้เห็นภาพฉาย
หากดวงดาวร่วงหล่นถึงตัวเมือง นครป้อมปราการก็จะถูกตีแตกจนความสำเร็จของพวกวินเซนต์ไม่สามารถช่วยกอบกู้จักรวรรดิได้อีกต่อไป
ทว่า คนฉลาดย่อมเก็บไพ่ตายที่อยู่นอกเหนือความหมายของศัตรูเอาไว้อยู่เสมอ
วินเซนต์: ――ดูท่าว่าการมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อนของพวกเราจะถูกต้องล่ะนะ นัตสึกิ สุบารุ
ทันทีที่วินเซนต์เอ่ยจบ เปลวเพลิงแห่งการทำลายล้างก็เจาะทะลุกระจกวารีบนฟากฟ้าเป็นรูและพวยพุ่งต่อไปทางทิศเหนือของนครจักรพรรดิ
. สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นนั้นคือไพ่ตายที่แท้จริงของนัตสึกิ สุบารุและเบียทริซ
เปลวเพลิงแห่งการทำลายก็คือกระสุนจากปืนใหญ่ผลึกมนตราที่ก่อนหน้านี้ถูกส่งไปยังมิติอื่นด้วยเวทอัล ชามัค
จากนั้นพวกสุบารุก็เปิดใช้งานอัล ชามัคอีกครั้งเพื่อเรียกกระสุนปืนใหญ่กลับมาจากต่างมิติและเล็งยิงใส่ดวงดาวที่กำลังร่วงหล่นสู่ “นครป้อมปราการ”
ที่จริงสุบารุเกือบงัดไพ่ตายนี้มาสู้กับมังกรอสูรวาลเกรนแล้ว โชคดีที่เซซิลุสกับฮาริเบลช่วยสังหารมันไปก่อน พวกสุบารุจึงเหลือไพ่ตายไว้แก้ทางอุบายของแม่มด
ระหว่างที่กระจกวารีที่แตกออกกลายเป็นหยาดฝนที่สาดลงมาเบื้องล่าง สุบารุก็เริ่มออกอาการวิงเวียนศีรษะพร้อมเลือดกำเดาที่ไหลทะลัก
นี่คือผลลัพธ์จากการที่วิญญาณคู่หูอย่างเบียทริซใช้พลังเวทอย่างเต็มที่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ต่อให้สุบารุจะแบ่งเบาภาระกับ “หน่วยรบเพลอาเดส” แล้วก็ยังเอาไม่อยู่
เบียทริซ: สุบารุ!
สุบารุที่แบกรับภาระจนถึงขีดจำกัดเข่าทรุดลงทันที เบียทริซรีบวิ่งเข้ามาปาดเลือดกำเดาด้วยแขนเสื้อ สุบารุอยากที่จะห้าม แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกแขน
สุบารุ: ยังก่อน…ยังก่อน…
เขายังหมดสติตอนนี้ไม่ได้ เนื่องจากว่าตนเองยังคงมีบทบาทและยังเหลืออุบายของแม่มดที่ยังคงต้องยับยั้งให้ได้อยู่อีก
สุบารุ: ――เหอ?
เบียทริซ: สุบารุ? อย่าพึ่งฝืนตัวเองสิยะ พักไปก่อน――
อยู่ดีๆ สุบารุก็ลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉงจนเบียทริซตาเบิกกว้างด้วยความสับสน ความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนร่างกายหมดสิ้นเรี่ยวแรงก่อนหน้านี้มันหายไปหมดสิ้น
สุบารุ: พลังมัน… เพิ่มขึ้นมาด้วย?
เท่านั้นยังไม่พอ สุบารุรู้สึกว่าร่างกายของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต มันคือความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับการกลายเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบเพลอาเดส
ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาได้รับการเสริมแกร่งจากอ้อมกอดของเปลวเพลิง แถมในไม่ช้าสุบารุก็ได้รู้ซึ้งถึงสาเหตุ
. มีประกายแสงอันใหม่ปรากฏขึ้นบนน่านฟ้าของนครจักรพรรดิ ขนาดของมันอาจจะเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับแสงจากดวงดาวหรือเปลวเพลิงแห่งการทำลายล้าง แต่ความเจิดจรัสนั้นเหนือกว่าทั้งสองสิ่งที่ว่าอย่างท่วมท้น
ตัวจริงของประกายแสงที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าคือหญิงสาวผู้เป็นดั่งเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงในชุดเดรสสีเลือด
พริสซิลล่า: ――ต้องขอเชยชม
สายตาของผู้คนทั่วทั้งนครจักรพรรดิต่างจดจ้องไปยังหมาป่าดาบเพศเมียเจ้าของผมสีส้มที่พริ้วไหวและดวงตาสีแดง ราวกับว่าดวงจิตของทุกคนถูกตราตรึงเอาไว้
พริสซิลล่า: ไม่ต้องพูดอะไรเกินจำเป็น ――เพียงแค่เอ่ยนามของข้าพเจ้าออกมาก็พอ
เมื่อเจ้าหญิงสุริยาพร้อมดาบตะวันในมือเอ่ยเช่นนั้น ในฐานะหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเอื้ออาทรจากดวงตะวัน สุบารุจึงใช้โอกาสนั้นเอ่ยชื่อของหญิงสาวผู้มีเปลวเพลิงในดวงตาข้างขวาขึ้นมา
สุบารุ: ――พริสซิลล่า
. จบตอน