webnovel arc8 chapter71 part2

บทที่ 8 ตอนที่ 71 "ภาพมายาวีรชน" พาร์ท 2

สฟิงซ์วางวงเวทรูปดาวห้าแฉกกลับหัวเอาไว้ในทิศตรงข้ามกับจุดตั้งของหอรบทั้ง 5 มุมเมืองเพื่อใช้ในการดูดมานาจากพระราชวังแก้วผลึกมาเติมเต็มดวงจิตตนเอง

สฟิงซ์ในตอนนี้มีทั้งความรู้ด้านเวทมนตร์และดวงจิตของ “แม่มดแห่งโลภะ”เฉกเช่นเดียวกับผู้สรรค์สร้างแล้ว สิ่งที่ขาดไปเหลือแค่เพียงมานาปริมาณมหาศาล

สฟิงซ์: ความสมบูรณ์ของวงเวทมัน――

เซซิลุส: เสียใจด้วยนะ พอดีว่าใต้เท้ากับบอสสั่งการมาว่าให้ขัดขวางเอาไว้น่ะ

ทันใดนั้นเอง สฟิงซ์ที่มุ่งหน้าไปยังวงเวทตำแหน่งหนึ่งก็ถูกตัดศีรษะจนขาดกระเด็นด้วยคมดาบที่เปล่งประกายก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว

แต่ว่ามันยังไม่จบ เนื่องจากสฟิงซ์สามารถใช้วงเวทที่ยังไม่สมบูรณ์ช่วยต่อลมหายใจให้ดวงจิตของตัวเธอได้ แถมยังสร้างร่างแยกขึ้นมาหลายร่างจากดวงจิตอีกต่างหาก

เซซิลุส: ――อา งั้นเองเหรอครับ คุณเองก็จมดิ่งอยู่เหมือนกันสินะครับ

สฟิงซ์: ที่นี่ไม่ได้มีแหล่งน้ำนี่คะ ที่บอกว่าจมดิ่งมันหมายความว่าไง? ‘อธิบาย’ จำเป็นค่ะ

เซซิลุส: ไม่จำเป็นต้องมีทั้งแม่น้ำ บ่อน้ำ ทะเลสาบ หรือกระทั่งแอ่งน้ำของจริงหรอกครับ สิ่งที่เรียกว่า “มหาสมุทร” น่ะ ไม่ว่าใครก็มีอยู่ในหัวใจทั้งนั้น ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาบางสิ่งอย่างแรงกล้าจะตกอยู่ในสภาพจมดิ่งครับ

สฟิงซ์เอียงคอสับสนต่อสิ่งที่อีกฝ่ายพล่ามออกมาและไม่คิดจะตอบกลับ แต่เซซิลุสเองก็ไม่สนใจ เขาวางมือบนด้ามดาบเพื่อเตรียมต่อสู้และประกาศนามออกมาตามธรรมเนียม

เซซิลุส: ――เซียนดาบ เซซิลุส เซ็กมุนต์

สฟิงซ์: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์

. ในขณะที่ “อัสนีสีฟ้า” กำลังประจันหน้าอยู่กับ “แม่มด” การต่อสู้เพื่อยับยั้งการเปิดใช้งานวงเวทอีกสามตำแหน่งก็เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

ฮาริเบล: ――“จอมพิสมัย” ฮาริเบล

สฟิงซ์ 2: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์

ยูการ์ด: ――จักรพรรดิวอลลาเคียรุ่นที่ 61 ยูการ์ด วอลลาเคีย

สฟิงซ์ 3: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์

การ์ฟีล: ――“กอร์เจียสไทเกอร์” การ์ฟีล ทินเซล

สฟิงซ์ 4: ――“แม่มดแห่งโลภะ” สฟิงซ์

กลุ่มนักรบหัวกะทิที่นัตสึกิ สุบารุเลือกสรร ได้เข้าเผชิญหน้ากับนังแม่มดและเวทมนตร์สุดร้ายกาจของเธอเพื่อขัดขวางอุบายขั้นสุดท้ายของ “มหาภัยพิบัติ”

หากปล่อยให้แม่มดสฟิงซ์มีมานาใช้ตามใจปรารถนา เธอจะกลายเป็นตัวตนเหนือสามัญสำนึกที่สามารถใช้เวทมนตร์รังสรรค์สิ่งใดก็ได้ จนไม่สามารถหยุดยั้งได้อีกต่อไป

ซึ่งสิ่งที่ทำให้สฟิงซ์น่ากลัวเป็นพิเศษคือความละเอียดรอบคอบของแผนการที่เธอวางเอาไว้เพื่อทำให้ตนเองบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว

. สุบารุ: เบียโกะ! รอสวาล!

เบียทริซ: มีเนีย!

รอสวาล: อุล โกอา

วายุศรสีม่วงและกระสุนเพลิงปัดเป่าแนวหน้าของฝูงผีดิบที่กรูกันเข้ามาเพื่อสังหาร “อาราเคีย” ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขแห่งชัยชนะที่สำคัญอีกอย่างของพวกสุบารุ

จิตใจของผีดิบเหล่านี้ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์จนกลายเป็นตุ๊กตา พวกมันจึงเหยียบย่ำพวกพ้องที่ล้มลงเพื่อบุกจู่โจมต่อเนื่องอย่างไม่ลดละ

ผีดิบตัวหนึ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาได้ อัลจึงแทงกระบี่มังกรหยกที่ทำขึ้นจากก้อนดินใส่ร่างของมัน จากนั้นก็ทำให้กระบี่พองตัวจนผีดิบร่างระเบิด

วิธีการต่อสู้ของอัลมันเสี่ยงอันตรายจนนับเขาเป็นนักรบผู้มากฝีมือไม่ได้ แต่ทุกความช่วยเหลือในตอนนี้ล้วนแต่มีค่าทั้งสิ้น

สุบารุ: ――ผ่านไปแล้วหนึ่งนาที

เส้นตายผ่านไปแล้วแต่สุบารุก็ยังไม่ตาย นั่นแปลว่าสถานการณ์เริ่มมีความคืบหน้า

. ตอนแรกที่ได้เห็นว่าสฟิงซ์มีหน้าตาเหมือนกับเอคิดน่านั้น สุบารุตกใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่ได้เบียทริซกับรอสวาลช่วยเรียกสติเขากลับมาจดจ่อกับเรื่องสำคัญตรงหน้า

เบียทริซ: สุบารุ เจ้านั่นน่ะไม่ใช่คนเดียวกับท่านแม่หรอกนะยะ

รอสวาล: ถูกต้องแล้ว ไม่มีเค้าโครงเหมือนกับ “แม่มดแห่งโลภะ” เอคิดน่าเลยสักนิด แต่ก็ถือเป็นศัตรูที่ไม่น่าพิสมัยเหลือเกินแหละน้า~

เดิมทีนังแม่มดคนนี้ควรจะถูก “ดาบตะวัน” ของวินเซนต์เผาทิ้งไปแล้ว แต่เธอดันเปลี่ยนรูปลักษณ์จนรอดมาได้ ซึ่งกลายเป็นเคาน์เตอร์ต่อ “ดาบตะวัน” และ “กินดารา” ไปโดยปริยาย

สุบารุ: ถ้าเกิดสามารถขัดขวางการเปิดใช้งานวงเวทได้อย่างสมบูรณ์ล่ะก็――

ทันใดนั้นก็มีกระจกวารีขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครจักรพรรดิ และสิ่งที่ฉายอยู่บนกระจกก็คือภาพของ “นครป้อมปราการ” การ์คลาซึ่งกำลังจะถูกทำลายโดยดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมา

. ตัดไปทางวินเซนต์และมีเดียมซึ่งได้เห็นภาพฉายบนกระจกวารีแบบเดียวกัน โดยวินเซนต์เข้าใจทันทีว่าสิ่งนี้เป็นการโจมตีจากนังแม่มดรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

เป้าหมายของการฉายภาพคือการจู่โจมทางจิตใจหรือก็คือการตัดทอนขวัญกำลังใจด้วยการมอบความสิ้นหวังให้แก่ผู้ที่ได้เห็นภาพฉาย

หากดวงดาวร่วงหล่นถึงตัวเมือง นครป้อมปราการก็จะถูกตีแตกจนความสำเร็จของพวกวินเซนต์ไม่สามารถช่วยกอบกู้จักรวรรดิได้อีกต่อไป

ทว่า คนฉลาดย่อมเก็บไพ่ตายที่อยู่นอกเหนือความหมายของศัตรูเอาไว้อยู่เสมอ

วินเซนต์: ――ดูท่าว่าการมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อนของพวกเราจะถูกต้องล่ะนะ นัตสึกิ สุบารุ

ทันทีที่วินเซนต์เอ่ยจบ เปลวเพลิงแห่งการทำลายล้างก็เจาะทะลุกระจกวารีบนฟากฟ้าเป็นรูและพวยพุ่งต่อไปทางทิศเหนือของนครจักรพรรดิ

. สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นนั้นคือไพ่ตายที่แท้จริงของนัตสึกิ สุบารุและเบียทริซ

เปลวเพลิงแห่งการทำลายก็คือกระสุนจากปืนใหญ่ผลึกมนตราที่ก่อนหน้านี้ถูกส่งไปยังมิติอื่นด้วยเวทอัล ชามัค

จากนั้นพวกสุบารุก็เปิดใช้งานอัล ชามัคอีกครั้งเพื่อเรียกกระสุนปืนใหญ่กลับมาจากต่างมิติและเล็งยิงใส่ดวงดาวที่กำลังร่วงหล่นสู่ “นครป้อมปราการ”

ที่จริงสุบารุเกือบงัดไพ่ตายนี้มาสู้กับมังกรอสูรวาลเกรนแล้ว โชคดีที่เซซิลุสกับฮาริเบลช่วยสังหารมันไปก่อน พวกสุบารุจึงเหลือไพ่ตายไว้แก้ทางอุบายของแม่มด

ระหว่างที่กระจกวารีที่แตกออกกลายเป็นหยาดฝนที่สาดลงมาเบื้องล่าง สุบารุก็เริ่มออกอาการวิงเวียนศีรษะพร้อมเลือดกำเดาที่ไหลทะลัก

นี่คือผลลัพธ์จากการที่วิญญาณคู่หูอย่างเบียทริซใช้พลังเวทอย่างเต็มที่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ต่อให้สุบารุจะแบ่งเบาภาระกับ “หน่วยรบเพลอาเดส” แล้วก็ยังเอาไม่อยู่

เบียทริซ: สุบารุ!

สุบารุที่แบกรับภาระจนถึงขีดจำกัดเข่าทรุดลงทันที เบียทริซรีบวิ่งเข้ามาปาดเลือดกำเดาด้วยแขนเสื้อ สุบารุอยากที่จะห้าม แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกแขน

สุบารุ: ยังก่อน…ยังก่อน…

เขายังหมดสติตอนนี้ไม่ได้ เนื่องจากว่าตนเองยังคงมีบทบาทและยังเหลืออุบายของแม่มดที่ยังคงต้องยับยั้งให้ได้อยู่อีก

สุบารุ: ――เหอ?

เบียทริซ: สุบารุ? อย่าพึ่งฝืนตัวเองสิยะ พักไปก่อน――

อยู่ดีๆ สุบารุก็ลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉงจนเบียทริซตาเบิกกว้างด้วยความสับสน ความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนร่างกายหมดสิ้นเรี่ยวแรงก่อนหน้านี้มันหายไปหมดสิ้น

สุบารุ: พลังมัน… เพิ่มขึ้นมาด้วย?

เท่านั้นยังไม่พอ สุบารุรู้สึกว่าร่างกายของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต มันคือความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับการกลายเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบเพลอาเดส

ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาได้รับการเสริมแกร่งจากอ้อมกอดของเปลวเพลิง แถมในไม่ช้าสุบารุก็ได้รู้ซึ้งถึงสาเหตุ

. มีประกายแสงอันใหม่ปรากฏขึ้นบนน่านฟ้าของนครจักรพรรดิ ขนาดของมันอาจจะเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับแสงจากดวงดาวหรือเปลวเพลิงแห่งการทำลายล้าง แต่ความเจิดจรัสนั้นเหนือกว่าทั้งสองสิ่งที่ว่าอย่างท่วมท้น

ตัวจริงของประกายแสงที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าคือหญิงสาวผู้เป็นดั่งเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงในชุดเดรสสีเลือด

พริสซิลล่า: ――ต้องขอเชยชม

สายตาของผู้คนทั่วทั้งนครจักรพรรดิต่างจดจ้องไปยังหมาป่าดาบเพศเมียเจ้าของผมสีส้มที่พริ้วไหวและดวงตาสีแดง ราวกับว่าดวงจิตของทุกคนถูกตราตรึงเอาไว้

พริสซิลล่า: ไม่ต้องพูดอะไรเกินจำเป็น ――เพียงแค่เอ่ยนามของข้าพเจ้าออกมาก็พอ

เมื่อเจ้าหญิงสุริยาพร้อมดาบตะวันในมือเอ่ยเช่นนั้น ในฐานะหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเอื้ออาทรจากดวงตะวัน สุบารุจึงใช้โอกาสนั้นเอ่ยชื่อของหญิงสาวผู้มีเปลวเพลิงในดวงตาข้างขวาขึ้นมา

สุบารุ: ――พริสซิลล่า

. จบตอน