ไรป์: ――แกน่ะยังใช้งานได้อยู่ มีประโยชน์ในการเติมเต็มความปรารถนาของฉันให้เป็นจริง
ประโยคดังกล่าวสามารถใช้สรุปความสัมพันธ์ระหว่างสฟิงซ์กับชายคนนั้นซึ่งมิเคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบได้เป็นอย่างดี ตลอดเวลาหลายทศวรรษที่ได้รู้จักกัน
ในช่วงเวลานั้น สฟิงซ์ถูกริดรอนอิสรภาพโดยการจองจำไว้ที่ห้องใต้ดิน จริงอยู่ว่ามีผู้ดูแลคอยให้อาหาร แต่ชายขี้ระแวงมักจะฆ่าปิดปากและเปลี่ยนตัวผู้ดูแลอยู่เสมอ
นามของเขาคือ “ไรป์ บาริเอล” ขุนนางแห่งราชอาณาจักรมิตรมังกรลูกุนิก้าผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความทะเยอทะยานแสนอัปลักษณ์
สมัยยุค “สงครามอมนุษย์” ตระกูลบาริเอลเคยมีสถานะเป็นไวส์เคานต์ แต่ความพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งในช่วงสงครามทำให้ตระกูลถูกลดสถานะเป็นแค่บารอน
โทสะและความรู้สึกขายหน้าจากเหตุการณ์นั้นคือแรงผลักดันหลักของไรป์ และถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปนับทศวรรษ ความเกลียดชังดังกล่าวก็ยังคงสดใหม่ราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
. ปกติการใช้เวลาร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานานมักจะทำให้ทัศนคติต่ออีกฝ่ายผ่อนปรนลง ไม่ว่าจะเกลียดขี้หน้ากันแค่ไหนในตอนแรกก็ตาม
กระนั้นไรป์กลับพูดจากับสฟิงซ์ด้วยความชิงชังที่สดใหม่อยู่เสมอ ไรป์คอยย้ำเตือนกับสฟิงซ์ว่าสาเหตุที่เธอยังมีชีวิตอยู่ได้ ก็เนื่องจากว่าเขาอนุญาต
ตลอดเวลาที่รู้จักกัน สฟิงซ์แทบไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวไรป์เลยสักนิด แถมข่าวสารจากโลกภายนอกอย่างเดียวที่เธอได้รับก็คือสภาพการเมืองภายในลูกุนิก้าที่บางทีไรป์มาบ่นให้ฟัง
ไรป์: แกเคยสมรู้ร่วมคิดกับพวกอมนุษย์และขึ้นเป็นผู้นำในสงครามกลางเมือง จุดประสงค์ในตอนนั้นคืออะไรกัน?
ทั้งที่สงครามอมนุษย์สิ้นสุดไปเกิน 20 ปีแล้ว อยู่มาวันหนึ่งไรป์กลับเอ่ยถามประเด็นนั้นขึ้นมา สฟิงซ์จึงตัดสินใจเล่าเรื่องเป้าหมายในการเติมเต็มจุดประสงค์ของการสรรค์สร้างให้เขาฟัง
ไรป์: ――ไร้สาระสิ้นดี
ปฏิกิริยาตอบรับของไรป์ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก ความปรารถนาของผู้อื่นย่อมเป็นที่สิ่งที่ไร้ค่าในสายตาชายจอมทะเยอทะยานผู้นี้
ไรป์: แกเกิดมาเป็นตัวแกเองทั้งที ดันกระเสือกกระสนอยากจะกลายเป็นคนอื่นเนี่ยนะ อยากจะสิ้นชื่อไปทั้งที่สวมรอยชื่อและวิถีชีวิตของคนอื่นอยู่หรือไง
แต่แล้วประโยคต่อมาก็อยู่เหนือความหมายโดยสิ้นเชิง ไรป์เสริมต่อว่าในเมื่อจุดประสงค์ในชีวิตของสฟิงซ์มันไร้ความหมาย เธอก็จงกลายเป็นสิ่งที่จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเขาเสียดีกว่า
หากถามสฟิงซ์ว่าเธอมีความหลงใหลต่อการบรรลุจุดประสงค์ในการสรรค์สร้างไหม คำตอบก็คือไม่เลย เธอเพียงแค่ทำตามความรู้สึกว่าจุดประสงค์นั้นคือสิ่งจำเป็น
เทียบกันแล้ววิถีชีวิตแบบไรป์ บาริเอลดูจะเป็นแบบอย่างที่เหมาะสมของผู้ที่มุ่งมั่นจะเติมเต็มความปรารถนาของตนมากกว่าเสียอีก
. ความทะเยอทะยานของไรป์เปรียบได้ดั่งเปลวเพลิงสีดำแห่งความชิงชังที่มีต่อช่วงเวลาและโลกทั้งใบที่ปฏิเสธตัวตนของเขา มันจะเผาไหม้ไม่หยุดหย่อนจนกว่าไรป์จะได้ทวงคืนฐานะที่ตนคู่ควร
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกพอสมควรกว่าโอกาสที่ไรป์รอคอยจะมาถึง ร่างกายของเขาเข้าสู่วัยชราภาพ แต่ความทะเยอทะยานยังคงหนักแน่นไม่แปรเปลี่ยน
ปัจจุบันไรป์ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแล “ศิลาพงศาวดารมกร” ซึ่งราชวงศ์ลูกุนิก้าได้รับมาจาก “มังกรเทพ”
ไรป์จึงได้ทราบถึงคำทำนายเกี่ยวกับโรคร้ายที่จะคร่าชีวิตเหล่าเชื้อพระวงศ์ รวมถึงศึกชิงบัลลังก์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ไรป์: หาตัวผู้มีคุณสมบัติให้เจอก่อนคนอื่น รับตัวคนที่ว่ามาเป็นภรรยา ผลักดันให้เข้าร่วมการคัดสรรกษัตริย์… จะต้องคว้าบัลลังก์มาให้จงได้ แกเองก็จะมีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน
แผนการของไรป์คือการให้สฟิงซ์ทำลายจิตใจของผู้มีคุณสมบัติที่เขาหาตัวมาได้ จากนั้นก็เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นตุ๊กตา เพื่อที่ไรป์จะได้ปกครองราชอาณาจักรยุคถัดไปจากเบื้องหลัง
มันช่างเป็นความทะเยอทะยานแสนอัปลักษณ์จนไม่ว่าใครก็อยากเบือนหน้าหนี ชายจอมดื้อรั้นคนนี้ตั้งใจจะใช้กระทั่ง “แม่มด” เป็นแท่นเหยียบเพื่อไขว่คว้าอาณาจักรมาครอบครอง
กระนั้นสฟิงซ์กลับรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังที่จะได้เห็นแผนการสุดเพ้อฝันของไรป์กลายเป็นจริง เธอจึงได้รอคอย รอคอยให้ไรป์พาตัว “ภรรยา” คนใหม่มาหาเธอ
แต่ไม่ว่าจะรอนานเพียงใด ไรป์ก็ไม่กลับมาเยี่ยมหาเธออีกเลย สฟิงซ์จึงตัดสินใจแหกโซ่ตรวนเพื่อกลับสู่โลกภายนอกและได้ทราบเหตุผลที่ไรป์ไม่กลับมา
สฟิงซ์: ――หา
เหตุการณ์นั้นคือครั้งแรกที่อารมณ์ “ความร้อนรุ่ม” ที่อยากจะทำบางสิ่งให้สำเร็จได้ถือกำเนิดขึ้นมาในตัวสฟิงซ์
. สฟิงซ์: ‘มาตรการรับมือ’ จำเป็น ――ไม่สิ ถ้าคิดว่ายับยั้งได้ล่ะก็ แน่จริงก็ลองยับยั้งให้ดูสิ
ตัดกลับมาปัจจุบัน สฟิงซ์ที่ถูกแก้ทางแผนซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังคงกระเสือกกระสนที่จะเติมเต็มความปรารถนาของตน
พริสซิลล่าถูกใจความงดงามในการดิ้นรนนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูของจักรวรรดิและพี่ชาย แถมยังมีแรงจูงใจเป็นความเกลียดชังที่มีต่อตัวเธอก็ตาม
หากเทียบระหว่างคนที่เจียมตัวเกินไปจนไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงกับคนเขลาที่ทำอะไรเกินตัวอย่างการบินเข้าใกล้ดวงอาทิตย์จนปีกไหม้แล้ว พริสซิลล่าถูกใจคนประเภทหลังมากกว่า
พริสซิลล่า: น่าหลงใหล
เพราะงั้น นั่นจึงเป็นความรู้สึกชื่นชมจากใจจริงของพริสซิลล่าที่มีต่อเหล่าผู้ที่กำลังเสี่ยงชีวิตต่อสู้อยู่ที่แนวหน้าในศึกครั้งนี้
ไม่ว่าผลลัพธ์จะล้มเหลวหรือสำเร็จ ทุกคนที่หยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันและดิ้นรนถึงขั้นยอมเผาผลาญดวงจิตของตนล้วนแต่น่าหลงใหลทั้งสิ้น
พริสซิลล่าหลับตาลงข้างหนึ่งเพื่อเลียนแบบวินเซนต์เวลาที่ใช้ความคิด พี่ชายของเธอแบกรับภาระรับผิดชอบแสนหนักหนามาโดยตลอด เขาจึงฝืนไม่หลับตาลงทั้งสองข้างแม้กระทั่งยามหลับใหล
เธอชื่นชมทัศนคตินั้นก็จริง แต่พริสซิลล่าก็มองว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ฝืนตัวเกินเหตุด้วยเช่นกัน เพราะบางครั้งก็มีผู้คนที่สามารถมองเห็นได้จากหลังเปลือกตาเท่านั้น
พริสซิลล่า: ท่านพี่เอง ก็ควรจะหาใครสักคนที่สามารถหลับตาลงทั้งสองข้างยามที่อยู่ด้วย
. พริสซิลล่ากวาดสายตาไปเห็นสองบุคคลที่น่าจับตามองบนกระจกวารีของสฟิงซ์ ซึ่งก็คือ “อัลเดบารัน” ตัวตลกผู้น่าเชยชมของเธอ และ “นัตสึกิ สุบารุ” อัศวินของครึ่งมาร
การดิ้นรนของสองคนนี้เป็นภัยคุกคามต่อแผนการของสฟิงซ์ แถมพริสซิลล่ายังรู้ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การบิดเบือนดวงดาวจักรราศีธรรมดา
พริสซิลล่า: พวกเจ้าน่ะ คิดจะหลอกลวง “แม่มด” …ไม่สิ คิดจะหลอกลวงสิ่งใดบนสรวงสวรรค์กัน?
แผนการแสนแยบยลที่ผ่านมาของสฟิงซ์ไม่มีทางจะถูกหยุดยั้งได้โดย “จักรพรรดิปราชญ์” วินเซนต์ วอลลาเคีย หรือ “แมงมุมขาว” จิชา โกลด์ หรือกระทั่งพริสซิลล่า บาริเอล
จักรวรรดิวอลลเคียไม่ควรจะหลอดพ้นจากชะตากรรมแห่งการล่มสลายได้ นอกเสียจากว่ามีใครบางคนบุกทะลวงเส้นทางปิดตายแห่งโชคชะตาด้วยพลังที่ไม่ควรจะเป็นไปได้
พริสซิลล่า: ――อีกแค่หนึ่งก้าว
ตอนนั้นเองที่เปลวเพลิงแห่งการทำลายล้างถูกปล่อยออกมาจากมิติว่างเปล่า มันพุ่งทะลุกระจกวารีและปะทะเข้ากับดวงดาวที่ร่วงหล่นเหนือเมืองการ์คลาจนหักล้างกัน
. สฟิงซ์: ยังหรอกน่า
กระทั่งแผนการที่ถูกขัดขวางก็ยังนำมาสานต่อเป็นกับดักซ้อนสองชั้นได้ สฟิงซ์เพิ่มแรงสั่นไหวให้แก่หยดน้ำจากกระจกวารีที่แตกออกบางส่วนจนมีความแหลมคม
ห่าฝนที่ร่วงหล่นลงสู่นครจักรพรรดิเบื้องล่างจึงมีหยาดฝนเม็ดที่อันตรายถึงฆาตปะปนมาด้วย มันคือหายนะที่ไม่มีทางจะรอดพ้นหากมิใช่ตัวตนเหนือสามัญสำนึกหรือเป็นผู้ที่หลบอยู่ในอาคาร
พริสซิลล่าหลับตาลงสองข้างและมองเห็นใบหน้ากับดวงจิตของผู้คนมากมายจากหลังเปลือกตา
ทั้งชูลท์ ไฮน์เคล เอมิเลีย ครูช เฟลท์ อนาสตาเซีย เซรีน่า อาราเคีย วินเซนต์ ลาเมีย เรม และอัลเดบารัน
ทุกคนเหล่านั้นขาดการเดินหมากอีกแค่เพียง “ก้าวเดียว”
พริสซิลล่า: ――โลกน่ะถูกสรรค์สร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของข้าพเจ้า
หลังเอ่ยประโยคนั้นจบ พริบตาต่อมาเปลวเพลิงอันโชติช่วงจาก “เจ้าหญิงสุริยา” ก็แผดเผามิติแยกที่กักขังตัวเธออยู่จนพังทลายลง
. ตัดไปทางฝั่งกัวลาล ตอนที่กระสุนปืนใหญ่ผลึกมนตราปะทะเข้ากับดวงดาวเหนือน่านฟ้าของเมือง แสงสีแดงและขาวได้ผสมปนเปกันก่อนจะก่อเกิดเป็นคลื่นกระแทกรุนแรงพร้อมแสงสว่างที่วาบจนแสบตา
แรงกระแทกส่งผลให้หินบางส่วนหลุดออกมาจากภูเขาที่ตัวเมืองตั้งอยู่และร่วงหล่นสู่สถานพยาบาลผู้บาดเจ็บเบื้องล่างอย่างรุนแรง
ทันทีที่เรมสังเกตเห็นรอยแตกบนเพดานและกำแพง เธอก็รีบผลักคาชัวออกไปให้พ้นทางทันที แต่ว่านั่นส่งผลให้ตัวเรมเองถูกเศษหินจากเพดานถล่มทับ
คาชัว: ――เรม! เดี๋ยวเถอะ เรม!
เรม: นี่ฉัน…ยังมีชีวิตอยู่?
ระหว่างที่คาชัวกำลังตำหนิเรมทั้งน้ำตาข้อหาที่เธอช่วยคาชัวไว้โดยเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง เรมก็ผลักเศษหินที่ทับร่างเธออยู่ออกได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ว่าเรมจะมีพละกำลังของเผ่าโอนิ แต่ปกติเธอไม่น่าจะสามารถยกเศษหินที่หนักขนาดนี้ออกเองได้ สองสาวจึงรู้สึกสับสนกันทั้งคู่
คาชัว: เร…เรม… ดวงตา …ของเธอมัน!
คาชัวแตกตื่นเนื่องจากดวงตาข้างซ้ายของเรมมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ หารู้ไม่ว่าตัวคาชัวเองก็มีเปลวเพลิงที่ดวงตาด้วยเช่นกัน
แถมยังไม่ใช่แค่สองสาวเท่านั้น ผู้คนภายในสถานพยาบาลที่ถูกหินถล่มใส่มีเปลวเพลิงที่ดวงตากันหมด จนไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส
เรม: ――ท่านพริสซิลล่า?
ความร้อนจากเปลวเพลิงที่ไร้พิษภัยบ่งบอกให้เรมเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ที่มอบมันให้แก่เธอในทันที เรมจึงตั้งรถเข็นที่ล้มอยู่ขึ้นและอุ้มคาชัวขึ้นไปนั่ง
เรม: รู้สึกเหมือนกำลังถูกบอกอยู่เลยค่ะ ――ว่าต้องทนให้ได้อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
. ตัดกลับมาทางลูปุกาน่า หลังจากที่กระจกวารีแตกออก หญิงสาวในชุดแดงก็ร่วงหล่นลงมาพร้อมกับหยาดฝนเต็มท้องฟ้า
สฟิงซ์: ――พริสซิลล่า บาริเอล!
ปัจจุบันสฟิงซ์ได้งัดเอามานาจากวงเวทที่ไม่สมบูรณ์มาใช้เพื่อสร้างร่างจำแลงของตัวเธอขึ้นจำนวน 44 ร่าง ทุกร่างชูฝ่ามือขึ้นฟ้าเพื่อเตรียมจู่โจมพริสซิลล่าขณะร่วงหล่น
เซซิลุส: สาวนักเต้นระบำที่งดงามจนห้ามกระพริบตาน่ะ ห้ามแตะต้องเด็ดขาด!
ฮาริเบล: ไม่น่าเลย เดินหมากพลาดแล้วล่ะ
สองตัวตนเหนือสามัญสำนึกลดจำนวนร่างแยกของสฟิงซ์ลงจนเหลือแค่ 36 ร่างในพริบตา แต่ร่างที่เหลืออยู่ยังคงร่ายมนตร์เสกลูกแก้วแสงขึ้นล้อมจู่โจมพริสซิลล่าจากรอบทิศ
ไอริส/ยอร์น่า: ไม่ยอมหรอกเจ้าค่ะ!!
กระเบื้องปูถนนถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าราวกับหอก ซึ่งไปปะทะเข้ากับลูกแก้วแสงจนเกิดการระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รอสวาล: ประสานกันนะ เบียทริซ!
เบียทริซ: ไม่ต้องให้นายมาบอกหรอกกระมัง!
จอมเวทและวิญญาณประสานเวทมนตร์กันสร้างเป็นโล่แผ่นผลึกทรงกลมสีม่วงครามที่ปกป้องพริสซิลล่าจากลูกแก้วแสงที่หลงเหลืออยู่
. สฟิงซ์: ยังหรอกน่า!
แม่มดผมขาวแผดเสียงจนแทบจะสำลักเป็นเลือด เธอยิงลำแสงความร้อนที่เจาะทะลุโล่ผลึกจนแตกสลาย จากนั้นก็บินขึ้นไปใกล้ๆ พริสซิลล่าเพื่อเตรียมยิงซ้ำ
สปิก้า: อูวอาอู!!
ทันซ่า: ไม่ยอมหรอกค่ะ!!
สปิก้าที่เคลื่อนย้ายมวลสารขึ้นมาและทันซ่าที่กระโจนตัวขึ้นมาด้วยรีบถีบสุดทรงพลังเตะอัดเข้าใส่สีข้างของนังแม่มดพร้อมกัน ส่งผลให้ลำแสงความร้อนยิงพลาดเป้า
สฟิงซ์: ‘ล่อลวง’ จำเป็นค่ะ
ในขณะที่แม่มดที่ถูกเตะอัดจนร่างแหลกสลายพึมพำเช่นนั้น แม่มดตัวที่เหลือบนพื้นก็ประสานมือเข้าหากันเพื่อทำการซิงโคร ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการร่ายเวทมนตร์ให้รวดเร็วขึ้น
มหาวายุที่ก่อตัวขึ้นจากเวทมนตร์ธาตุวารี วายุ และแสงหมุนวนห้อมล้อมพริสซิลล่า พร้อมที่จะฉีกร่างของเธอให้เละเป็นชิ้นๆ ในไม่ช้า
เอมิเลีย: ――ไอซิเคิลไลน์!
ทว่า พายุแห่งการทำลายล้างก็ถูกทำลายจากภายใน ดอกไม้น้ำแข็งงอกเงยขึ้นมาและกักขังลูกแก้วแสงมิให้ไปถึงตัวพริสซิลล่า
. อัล: ――ท่านหญิง!!
อัลเดบารันกู่ร้องพลางร่ายมนตร์เสกเนินดินจากพื้นให้ยืดออกมาส่งร่างเขาขึ้นไปหาพริสซิลล่า ระยะห่างระหว่างทั้งสองค่อยๆ หดลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ …จนกระทั่งกลายเป็นศูนย์
อัลที่ทรงตัวอยู่บนเสาหินที่ไม่บาลานซ์ยืดแขนข้างเดียวของเขาออกไปรับพริสซิลล่าได้อย่างทันท่วงที เขายอมเสี่ยงที่จะตกไปตายพร้อมกันเธอ แต่ก็อุตส่าห์ช่วยไว้ได้สำเร็จ
พริสซิลล่า: ต้องขอเชยชม
คำชมเชยสั้นๆ ของพริสซิลล่าทำให้อารมณ์อันลึกซึ้งก่อตัวขึ้นภายในใจของอัลเดบารัน จนน้ำเสียงของเขายังสั่นเทาไปหมด
อัล: ท่านหญิง… ท่านหญิง… ท่านหญิงของชั้น… ฮึก! ในที่สุด ก็ได้พบกันอีก… โอ๊ยยย!!
พริสซิลล่า: เจ้าคนเขลา ใครกันที่เป็นของเจ้า
พริสซิลล่าใช้ส่วนด้ามจับของดาบตะวันทุบหมวกเหล็กของอัลไปทีเพื่อเรียกสติ อัลถามสารทุกข์สุกดิบว่าพริสซิลล่าได้รับบาดเจ็บอะไรไหม พร้อมตีเนียนชมไปด้วยว่าขนาดถูกจับตัวไปเธอก็ยังสวยอยู่ดี
พริสซิลล่า: อย่าพูดเรื่องงี่เง่าซ้ำซ้อน เดิมทีแค่การถูกจับไปเป็นเชลยชั่วคราวก็ไม่มีทางเปลี่ยนใบหน้าอันงดงามของข้าพเจ้าได้อยู่แล้ว ระวังปากไว้หน่อย อัล
พริสซิลล่ากวาดสายตาดูรอบข้างจากบนเสาหินที่เธอยืนอยู่กับอัล เหล่านักรบที่กำลังต่อสู้อยู่ภายในเมืองล้วนแต่มีเปลวเพลิงก่อตัวขึ้นที่ดวงตาข้างหนึ่ง
สิ่งนั้นคือเปลวเพลิงจากดวงจิตของพริสซิลล่า บาริเอล ที่เธอจะมอบให้แก่ผู้ที่ตนมองว่าน่าหลงใหลเท่านั้น
อัล: ท่านหญิง?
พริสซิลล่าทำการแง้มส่วนกระบังหน้าของหมวกเหล็กของอัลขึ้นมาเพื่อส่องดูภายใน สิ่งที่ปรากฏอยู่คือใบหน้าที่อัลมิเคยยอมให้ผู้ใดได้เห็นนอกเสียจากพริสซิลล่า
――พอได้เห็นว่าใบหน้าของอัลมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ที่ตาขวาด้วยเช่นกัน พริสซิลล่าก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
พริสซิลล่า: ไม่มีอะไรหรอก ――โลกใบนี้ถูกสรรค์สร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของข้าพเจ้าอย่างที่คิดไว้เลย
. จบตอน