ช่วงที่กลืนกินมุสเปลเข้าไป อาราเคียรู้สึกราวกับว่าร่างของเธอถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในที่มืด ขาค่อยๆ จมลงไปในดินผสมทรายและก้อนหินที่ลึกเหมือนไร้ก้นบึ้ง
ร่างของเธอจมลงไปจนเหลือแค่ส่วนคอที่โผล่เหนือดิน อาราเคียจึงพยายามเงยหน้าสูดหายใจเพื่อยื้อเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด อิสรภาพในการเคลื่อนไหวถูกช่วงชิงจนอยากที่จะร่ำไห้ออกมา
แต่แล้วจู่ๆ ฝุ่นที่ถูกเทลงมาจากข้างบนอย่างต่อเนื่องก็หายไป จากนั้นเธอก็เห็นแสงสีฟ้าขาวที่หมุนวนอยู่รอบๆ อาราเคียจึงงัดแขนที่จมอยู่ออกมาและพยายามคว้าแสงเอาไว้
แสงฟ้าขาวลอยหนีจากมือ อาราเคียจึงต้องพยายามงัดร่างกายส่วนที่เหลือออกมาจากดินเพื่อไล่จับแสง เริ่มจากหัวไหล่ หน้าอก เอว ไปจนถึงปลายเท้า
พอรู้ตัวอีกทีสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็คือเปลวเพลิงสีแดงที่มอบแสงสว่างทั่วอาณาบริเวณ ในขณะที่แสงสีฟ้าขาวพยายามช่วยผลักดันให้อาราเคียเข้าไปหาเปลวเพลิง
ความลังเลก่อตัวขึ้นในใจเล็กน้อยว่าตัวเธอคู่ควรแก่การถูกแผดเผาโดยเปลวเพลิงนั้นไหม แต่อาราเคียก็ตัดสินใจว่านั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนา ควรค่าหรือไม่นั้นไม่สำคัญ
พริสซิลล่า: ――รีบตื่นขึ้นมาเสียที คิดจะปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องรออีกนานแค่ไหนกัน?
อาราเคีย: …องค์หญิง ฉันน่ะ พยายามแล้วนะ
พริสซิลล่า: แหงอยู่แล้ว ――เจ้าน่ะจำให้ขึ้นใจเสียว่าใครกันคือพี่น้องอุปถัมภ์ของข้าพเจ้า
. แม่มดสฟิงซ์รู้ซึ้งได้ทันทีว่าแผนการทุกอย่างที่เธอเตรียมการมาจนถึงตอนนี้ได้แตกพ่ายไปเสียแล้ว
ความตั้งใจที่จะทำลายจักรวรรดิบ้านเกิดของพริสซิลล่า บาริเอล เพื่อล้างแค้นให้แก่ ไรป์ บาริเอล ผู้สอนให้เธอรู้จักอารมณ์ “รุ่มร้อน” ได้พังไม่เป็นท่าไปหมด
สฟิงซ์ได้ติดตั้งวงเวทไว้ห้าวงตามตำแหน่งการเคลื่อนย้ายของ “ก้อนศิลา” มุสเปล ซึ่งเป็นพิกัดบริเวณทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกของจักรวรรดิ โดยที่มีนครจักรพรรดิลูปุกาน่าเป็นศูนย์กลาง
จากนั้นก็เปิดใช้งานเวท “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” เพื่อคืนชีพคนตายกลับมา โดยอาศัยแผ่นดินที่นองเลือดของจักรวรรดิเป็นสื่อกลาง
สฟิงซ์: “ผู้เสพวิญญาณ” อาราเคีย… นี่หล่อนควบคุมมุสเปลได้แล้วงั้นเหรอ
การแทรกแซงของนักดาบผู้ถือครอง “ดาบมายา” และความดื้อด้านของอาราเคียเองทำให้เธอสามารถชิงการควบคุมจากมหาวิญญาณมาได้ แทนที่จะตัวแตกตามแผนของสฟิงซ์
อาราเคียกับมุสเปลมิใช่ตัวตนเดียวกันอีกต่อไป นั่นหมายความว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป ผีดิบจะไม่สามารถคืนชีพได้อีกแล้ว หากถูกฆ่าก็จะตายจริงเหมือนกับคนเป็น
. ในเมื่อมานาฉุกเฉินที่ดูดได้จากวงเวทถูกตัดขาดไป สฟิงซ์จึงขอเวลาประเมินสถานการณ์ดูก่อนว่าควรเดินหมากก้าวต่อไปอย่างไร
แต่พอเวลาผ่านไปเพียงแค่ 5 วินาที “อัสนีสีฟ้า” กับ “จอมพิสมัย” ก็สังหารร่างจำแลงของสฟิงซ์เพิ่มอีก 7 จนเหลือแค่ 29 ร่าง
สฟิงซ์ยังคงเทียบไม่ติดกับผู้สร้างของเธอ ทั้งที่ควรจะถอดแบบความสามารถทั้งหมดของ “แม่มดแห่งโลภะ” ได้แท้ๆ แถมตัวอันตรายต่อ “แม่มด” ก็ไม่ได้มีแค่สองคนนั้น
สฟิงซ์: ――‘ถอนตัว’ จำเป็นค่ะ
ดังนั้น นังแม่มดจึงมองว่าการล้มเลิกแผนการคือการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลที่สุดในเวลานี้ แม้จะเจ็บใจที่พึ่งบรรลุจุดประสงค์หลักเพียงอย่างเดียวก็ตาม
สฟิงซ์: ――‘ถอนตัว’ จำเป็นค่ะ
เดิมทีสฟิงซ์ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นร่างจุติใหม่ของ “แม่มดแห่งโลภะ” เพราะงั้นจุดประสงค์หลักในตอนนี้จึงควรเป็นการลบล้างอัตตาที่เหลืออยู่ของสฟิงซ์จนกลายเป็น “เอคิดน่า”
สฟิงซ์: ――‘ถอนตัว’ จำเป็นค่ะ
สฟิงซ์โน้มน้าวตนเองว่ามีเพียงเป้าหมายนั้นที่สำคัญ ตัวตนของสฟิงซ์จะต้องหายไปเพื่อให้เอคิดน่าถือกำเนิดใหม่อย่างสมบูรณ์ ความยึดติดอันยาวนานกว่า 300 ปีจะได้สิ้นสุดลง
พริบตาต่อมา “ดาบตะวัน” ก็ส่องแสงเปล่งประกายจนมองเห็นได้จากทั่วนครจักรพรรดิ มันคือการท้าทายจากหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงที่กำลังเผยรอยยิ้มออกมา
พริสซิลล่า: ――แน่จริงก็เข้ามาสิ สฟิงซ์ ข้าพเจ้านี่แหละคือศัตรูของแก
ทันทีที่ได้ยินคำท้าทายนั้น ร่างจำแลงของแม่มดสฟิงซ์ตั้ง 29 ร่างก็ตัดสินใจแบบเดียวกัน
สฟิงซ์(x29): ――ศัตรูของเธอก็คือฉัน พริสซิลล่า บาริเอล!!
. พริสซิลล่า: ขืนปล่อยให้ยัยนั่นหนีไปได้ล่ะก็ จะต้องกลายเป็นหายนะต่อโลกอย่างแน่นอน เดิมที ข้าพเจ้าไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสถานะการคงอยู่ของโลกก็จริง ――ทว่า เจ้านั่นได้เลือกให้ข้าพเจ้าเป็นโชคชะตาของมัน
ย้อนความไปเล็กน้อยทางฝั่งพริสซิลล่าที่พึ่งลงจากอ้อมแขนของอัลหลังทั้งสองกลับถึงพื้น อัลพยายามโน้วน้าวให้ใช้วิธีการรุมสกรัมสฟิงซ์ไปเลย แต่พริสซิลล่าตั้งใจจะเผชิญหน้ากับสฟิงซ์ด้วยตัวเอง
อาราเคียกับสุบารุเองก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน พริสซิลล่าเอ่ยว่าเรื่องแพ้ชนะไม่สำคัญ แต่ก็พูดต่อว่าเธอไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ สุบารุจึงโวยวายการพูดจาย้อนแย้ง
พริสซิลล่า: อะไรของเจ้าน่ะ นี่มิใช่ที่สำหรับเด็กน้อยอย่างเจ้านะ ไสหัวไปให้พ้น
สุบารุ: โทษทีนะเฟ้ย! ถึงไซส์จะเป็นแบบนี้ แต่นี่นัตสึกิ สุบารุไงล่ะ! อัศวินอมตะของเอมิเลียตันผู้แสนเลิฟลี่คิวท์!
พริสซิลล่า: หากกระทั่งเด็กยังกลายเป็นอัศวิน ดูท่าว่ายัยครึ่งมารนั่นจะขาดแคลนคนน่าดูเลยนะ หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ สู้ใช้เจ้าสามัญชนโง่เง่าจอมโหวกเหวกคนนั้นยังดีเสียกว่า
สุบารุ: ก็นั่นแหละชั้นไงเล่า! แดทส์มี!(That’s me)
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าพริสซิลล่ามักจะลบคนที่เธอไม่สนใจออกไปจากความทรงจำ แต่สุบารุก็แอบเจ็บใจเพราะเขาอุตส่าห์เป็นห่วงเธอ แม้จะไม่ได้ห่วงมากเท่าอัล ชูลท์ หรือเจ้าซิสค่อนอาเบลก็ตาม
พริสซิลล่า: ――เจ้าคนเขลา
สุบารุ: เอ๋?
พริสซิลล่า: หัดแยกให้ออกสิว่าสิ่งใดเป็นการล้อเล่น ――นัตสึกิ สุบารุ
แต่แล้วพริสซิลล่าก็เฉลยว่าที่จริงเธอจำชื่อเขาได้ ทำเอาสุบารุทั้งรู้สึกอึ้งและอิ่มเอมใจราวกับว่าตัวเขาคนเก่าที่เคยถูกเธอเตะเสยคางได้รับการชดเชยแล้ว
. พริสซิลล่า: ――ต้องสั่งสอนเจ้านั่นเสียหน่อย ว่าสิ่งที่แกควรมองดูมันมิใช่โลก หากแต่เป็นข้าพเจ้า
ว่าแล้วพริสซิลล่าจึงชูดาบตะวันขึ้นฟ้าและเปล่งแสงจากใบดาบให้สว่างจ้าราวกับว่าดวงตะวันดวงที่สองถือกำเนิดขึ้นมา ณ ที่แห่งนั้น
แสงสว่างอันเจิดจ้าไม่ทำร้ายดวงตาหรือแผดเผาบุคคลที่ผู้ถือครองไม่ต้องการ แต่มันทำการดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ภายในนครจักรพรรดิ
พริสซิลล่า: ――แน่จริงก็เข้ามาสิ สฟิงซ์ ข้าพเจ้านี่แหละคือศัตรูของแก
สฟิงซ์: ――ศัตรูของเธอก็คือฉัน พริสซิลล่า บาริเอล!!
สฟิงซ์ผู้ยึดติดในตัวพริสซิลล่าติดกับดักคำประกาศสงครามอย่างง่ายดาย มันคือการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล แต่อาจจะเป็นเพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถเบือนหน้าหนีจากดวงตะวันได้
พริสซิลล่า: อัล ฝากจัดการที่นี่ต่อด้วย อาราเคีย ตามมา
อัล: ――อึก เข้าใจแล้ว
อาราเคีย: อื้อ องค์หญิง
พริสซิลล่าหันมาเรียกสุบารุด้วยชื่อเต็มอีกครั้งและกำชับให้เขาทำสิ่งที่ควรจะทำ จากนั้นอาราเคียก็โอบเอวของพริสซิลล่าไว้และเริ่มลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า
อัล: ท่านหญิง! ขอฝากจัดการอย่างทุกทีด้วยนะ
พริสซิลล่า: แน่นอนอยู่แล้ว คิดว่าข้าพเจ้าเป็นใครกัน
อัล: พริสซิลล่า บาริเอล! ท่านหญิงของชั้นไงล่ะ!
พริสซิลล่า: ใครเป็นของเจ้ากัน เจ้าคนเขลา
สุบารุเห็นภาพติดตาแว่บๆ ว่าพริสซิลล่าฉีกยิ้มออกมาก่อนที่อาราเคียจะพาเธอบินจากไป
. สุบารุกับอัลหันไปสนใจ “แม่มด” ที่นั่งพิงกำแพงอยู่โดยที่ทั่วร่างของเธอถูกแสงสีดำผนึกไว้คล้ายคลึงกับวิธีการที่ใช้จับกุมบิชอปมหาบาปตะกละรอย อัลฟาร์ด
ตอนนั้นเองที่รอสวาลพาเบียทริซกับสปิก้ามาสมทบกับสองหนุ่ม หน้าที่ของพวกสุบารุคือการจัดการกับร่างจำแลงของสฟิงซ์ที่ถูกผนึกตัวนั้น
สุบารุ: สปิก้า คงจะอิ่มจนพุงป่องและจุกท้องไปหมดแล้ว แต่ช่วยพยายามอีกสักครั้งทีนะ
สปิก้า: อู!
ว่าแล้วสุบารุจึงกุมมือของสปิก้าและหันมาเผชิญหน้ากับนังแม่มดผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับ “แม่มด” ที่นิสัยเลวร้ายที่สุดในโลก
สฟิงซ์: คุณน่ะ คิดว่าจะเข้าถึงดวงจิตของฉันได้งั้นเหรอคะ?
สุบารุ: อย่าได้เข้าใจผิดไป คนที่จะโค่นเธอน่ะมันไม่ใช่แค่ชั้น พวกเราต่างหาก ――สฟิงซ์
ว่าแล้วสุบารุกับสปิก้าจึงเอื้อมมือไปสัมผัสนังแม่มดเพื่อใช้งานอำนาจ “กินดารา” เป็นครั้งสุดท้าย
. ตัดไปทางฝั่งฐานยิงปืนใหญ่ผลึกมนตราซึ่งถูกร่างจำแลงของสฟิงซ์กระหน่ำโจมตีด้วยลูกแก้วแสง วินเซนต์จึงรีบอุ้มมีเดียมที่อุ้มมาเดลินอยู่อีกที แล้วกระโจนตัวลงจากหอคอย
วินเซนต์: โอลบาร์ต ดันคลูเคน!
โอลบาร์ต: ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วน้อ!
นังแม่มดยิงลำแสงความร้อนซ้ำใส่ทันที แต่วินเซนต์รวมถึงโอลบาร์ตที่เสียแขนไปแล้วสองข้างต่างดีดตัวจากกำแพงและหนีลงมาได้อย่างปลอดภัย
วินเซนต์มองกลับขึ้นไปเห็นแม่มดผมขาวลงจอดที่ฐานยิงปืนใหญ่ซึ่งสูญเสียแก่นมนตราไป แถมมานาจากศิลาผลึกมนตราก็ถูกช่วงชิงไปโดยวงเวทเป็นส่วนใหญ่แล้ว
วินเซนต์: โมโกร ฮากาเนะงั้นหรือ
โอลบาร์ต: โอ๋? พูดอะไรของท่านน้อ ใต้เท้า ถ้าเป็นเจ้าโมโกรล่ะก็ บัลรอยจัดการไปเรียบร้อยแล้วไม่ใช่รึไงน้อ แล้วทำไม…
วินเซนต์: เจ้าคนเขลา สิ่งที่ถูกถอดออกไปมีเพียงแค่แก่นมนตรา พระราชวังยังคงมี “มีทิเออร์” ส่วนอื่นนอกเหนือจากแกนกลางอยู่――
มีเดียม: ――อาเบลจิน!
ตอนนั้นเองที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับพระราชวังแก้วผลึกต่อหน้าต่อตาพวกวินเซนต์ วังทั้งหลังกำลังค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างที่วินเซนต์คาดการณ์เอาไว้
. โมโกร ฮากาเนะ ผู้เป็นหนึ่งใน “เก้าแม่ทัพเทวะ” นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ “มีทิเออร์” ขนาดยักษ์ที่เรียกว่า “พระราชวังแก้วผลึก” เท่านั้น
สิ่งที่นังแม่มดทำคือการบังคับเปิดใช้งานกลไกการป้องกันตัวเองของพระราชวังแก้วผลึกที่ไร้แก่นมนตรา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวังทั้งหลังให้กลายเป็นทหารยักษ์ผลึกมนตรา
ทั่วร่างของเจ้าทหารยักษ์ที่มีความสูงกว่า 50 เมตรตัวนี้ทำมาจากศิลาผลึกมนตรา มันจึงไม่ต่างอะไรกับระเบิดขนาดยักษ์ที่สามารถเดินได้
พริสซิลล่า: จู่โจม
อาราเคีย: อื้อ องค์หญิง
ตอนนั้นเองที่อาราเคียซึ่งบินผ่านมาพอดีได้เสกกำปั้นขนาดใหญ่ 10 เมตรที่ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงขึ้นมาต่อยอัดใส่ทหารยักษ์จนมันล้มหงายหลัง
การโจมตีแสนบ้าบิ่นก่อให้เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงเหนือน่านฟ้าและพื้นส่วนที่ทหารยักษ์ล้มใส่เองก็เกิดการระเบิดขึ้นจนราบเป็นหน้ากลอง
ในขณะที่อาราเคียผู้มีอัญมณีบินวนอยู่รอบตัวประจันหน้ากับทหารยักษ์ พริสซิลล่าที่ลงจอดบนพื้นอย่างสง่างามก็เข้ามาทักทายวินเซนต์กับมีเดียม
. วินเซนต์สงสัยว่าพริสซิลล่าถูกขังไว้ที่ไหน พริสซิลล่าจึงเปิดเผยว่าแม่มดกักขังตัวเธอไว้ในมิติแยก
วินเซนต์: เช่นนั้นเองหรือ มิน่าถึงได้หาตัวไม่เจอ แล้วออกมาได้อย่างไรกัน?
พริสซิลล่า: แน่นอนว่าเผาทิ้งไงเล่า
วินเซนต์: ――พริสซิลล่า นี่เจ้า
วินเซนต์รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยถามให้แน่ชัด ทั่วร่างของทหารยักษ์ผลึกมนตราก็เปล่งแสงออกมา จากนั้นมันก็ยิงเพลิงแห่งการทำลายล้างจากแขนขวาโดยเล็งใส่อาราเคีย
แต่ในขณะที่วินเซนต์เตรียมจะเข้าไปสนับสนุนอาราเคีย ทหารยักษ์ก็ใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่เล็งยิงลำแสงแห่งความพินาศใส่พวกวินเซนต์ด้วยเช่นกัน
พริสซิลล่ากับวินเซนต์ต่างชักดาบตะวันที่เปลวเพลิงลุกท่วมขึ้นมาปกป้องมีเดียมที่อยู่ด้านหลังจากแสงที่พุ่งเข้ามา แต่การต่อสู้อย่างต่อเนื่องที่ผ่านมาทำให้ฝ่ามือที่กำดาบแน่นของวินเซนต์เริ่มมีเลือดไหล
สองพี่น้องยังอุตส่าห์พูดจาเหน็บแนมกันได้ทั้งที่กำลังจะต้านลำแสงแห่งความพินาศไว้ไม่อยู่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะวินเซนต์แอบยินดีอยู่ในใจที่พริสซิลล่ากลับมาพบเขาได้อย่างปลอดภัย
. ยูการ์ด: ――เหล่าลูกหลานของข้าเอ๋ย ต้องขอเชยชม
ตอนนั้นเองที่ “ดาบตะวัน” เล่มที่สามเข้ามาเสริมทัพ การตวัดดาบอย่างงดงามของยูการ์ด วอลลาเคียผ่าลำแสงแห่งความพินาศจนแยกออก
พริสซิลล่า: หืม ――คู่ครองดวงจิตของท่านแม่ หรือก็คือ “ราชาแห่งหนาม” สินะ
นักอ่านตัวยงอย่างพริสซิลล่าย่อมเคยอ่าน “ไอริสและราชาแห่งหนาม” อยู่แล้ว แต่เธอรู้จักตัวตนของยูการ์ดมากกว่าวินเซนต์ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไอริส/ยอร์น่า/แซนดร้า
ยูการ์ด: เจ้าเองก็เป็นราชวงศ์รุ่นปัจจุบันงั้นหรือ มีความคล้ายคลึงกับมเหสีตัวจริงของเราผู้นี้… คล้ายกับเทริโอล่าเลยนะ
พริสซิลล่า: ――หึ
ถือเป็นเรื่องแปลกที่พริสซิลล่ายอมรับการถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นโดยไม่ทักท้วงอะไร วินเซนต์ไม่คาดฝันเลยว่าจะได้เห็นด้านน่ารักน่าเอ็นดูของน้องสาวผู้ตื่นเต้นที่ได้พบตัวจริงของบุคคลในหนังสือ
วินเซนต์: การมี “ดาบตะวัน” สามเล่มทั้งที่มิได้อยู่ใน “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” นี่มันบ้าบอสิ้นดี
ยูการ์ด: นั่นสินะ ที่จริงการปรากฏของ “ดาบตะวัน” หลายเล่มนอกเหนือจากยามที่มอบให้แก่พี่น้องมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แถมยังมาอยู่ในมือของศัตรูของจักรวรรดิอีกต่างหาก
ปกตินี่ควรจะเป็นสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผลลัพธ์จากการแหกกฎของ “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” โดยวินเซนต์และกลไกการคืนชีพคนตายของ “มหาภัยพิบัติ” ก็ดลบันดาลให้มันเกิดขึ้นจริง
มีเดียม: อาเบลจิน! พริสซิลล่าจัง! สามีของคุณยอร์น่า! ――พยายามเข้านะ!!
เมื่อผู้ถือครองดาบตะวันทั้งสามหันหน้าไปเผชิญกับทหารยักษ์ผลึกมนตรา มีเดียมที่คอยเฝ้าดูมาเดลินกับโอลบาร์ตที่เจ็บหนักอยู่ด้านหลังก็ตะโกนส่งเสียงเชียร์
พริสซิลล่า: แน่นอนอยู่แล้ว ――จงชื่นชมระบำดาบของข้าพเจ้าให้สาแก่ใจเสีย
. จบตอน