webnovel arc8 chapter74

บทที่ 8 ตอนที่ 74 "ความรัก"

สฟิงซ์: ถึงแม้ว่าคุณจะสัมผัสฉันได้ แต่คุณก็จับฉันไม่ได้อยู่ดี

สุบารุ: ――สฟิงซ์

สฟิงซ์ในปัจจุบันสามารถเปลี่ยนดวงจิตของตนได้แบบนับไม่ถ้วน สิ่งที่สุบารุกำลังทำอยู่จึงไม่ต่างอะไรจากการพยายามจับสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์เลย

ยิ่งพยายามจับมากเท่าไร มันก็ยิ่งดิ้นหลุดมือได้ง่ายเท่านั้น แต่ถ้าหากไม่ทำอะไร มันก็ยิ่งหลุดลอยห่างออกไป นี่จึงเป็นภาระที่ยากเข็ญราวกับการงมเข็มในมหาสมุทร

อัล: อย่าพายเรือออก “มหาสมุทร” โดยที่ไม่มีแผนที่กับคอมพาส(เข็มทิศ)สิเฟ้ย

อัลที่ทักเตือนสุบารุมีเปลวเพลิงปรากฏที่ดวงตาเช่นเดียวกับตัวเขา ในขณะเดียวกันสปิก้าที่กุมมือขวาของเขาอยู่ก็เอ่ยทักขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจ

สุบารุ: แผนที่น่ะ คือหัวใจของชั้น ส่วนคอมพาสก็คือพวกเธอนั่นแหละ ――สปิก้า เรม

สุบารุหวนนึกถึงจุดเริ่มต้นการผจญภัยในจักรวรรดิที่มีเพียงตัวเขา เรม และสปิก้า จากนั้นก็เอ่ยชื่อ “สฟิงซ์” อีกครั้งเพื่อพยายามสัมผัสดวงจิตของแม่มดให้ได้

พลัง “กินดารา” ก็คือความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวที่อยากจะช่วยใครสักคนด้วยพลังที่เคยใช้เพื่อช่วงชิงและบ่อนทำลายชีวิตผู้อื่น เปรียบได้ดั่งการขอพรกับดาวหางที่ผู้ขอจะต้องจริงใจ

ฉะนั้น แค่เพียงเรียกขานชื่อมันยังไม่พอ ถ้าอยากจะสัมผัสดวงจิตของอีกฝ่าย ทั้งสองฝั่งจะต้องพัฒนาความสัมพันธ์เกินกว่าคนรู้จักให้ได้เสียก่อน

[เอมิเลีย: ฉันชื่อเอมิเลีย แค่เอมิเลียเฉยๆ น่ะ]

ใช่แล้ว แค่เรียกกันว่า “เธอ” “คุณ” “ชั้น” “ฉัน” มันยังไม่พอ เพราะว่านี่คือการสนทนาระหว่าง “นัตสึกิ สุบารุ” กับ “สฟิงซ์”

สิ่งที่สุบารุต้องทำคือการเรียก “แม่มด” ไม่สิ เขาต้องเรียกให้หญิงสาวที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายหรือมหาสมุทรคนนี้หันกลับมามองตนเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นได้จากคอมมิวนิเคชั่นพื้นฐาน ดังที่เอมิเลียมักทำเป็นประจำ

สุบารุ: สฟิงซ์ ชื่อของชั้นคือ “นัตสึกิ สุบารุ” มีที่มาจากชื่อของดวงดาวน่ะ ――แล้วชื่อเธอล่ะ?

. ตัดไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ศึกระหว่างผู้ถือครองดาบตะวันสามคนกับทหารยักษ์ผลึกมนตราที่ขวางกั้นวันรุ่งขึ้นของจักรวรรดิยังคงดำเนินต่อไป

ทหารยักษ์ปล่อยลำแสงไปกวาดถนนของนครจักรพรรดิ แต่หมาป่าดาบทั้งสามกระจายตัวแยกออกไปคนละทิศ หนึ่งในนั้น “ราชาแห่งหนาม” วิ่งไต่หลังคาและกระโจนเข้าไปฟันขาของทหารยักษ์

แต่แล้วดาบของเขากลับกระดอนออก เนื่องจากทหารยักษ์ได้ถักถอมานาขึ้นมาเป็นอาภรณ์สีขาวที่สวมปกคลุมเรือนร่างของมันเอาไว้

พริสซิลล่า: โฮ่ เขินอายจนถึงขั้นต้องปกปิดเรือนร่างที่เปลือยเปล่าเลยงั้นหรือ

ถึงอย่างไร “แม่มด” ก็ยังเป็นสตรี เธอจึงอยากมีเสื้อผ้าสวมใส่ต่างจาก “มนุษย์โลหะ” โมโกร ฮากาเนะ

ทหารยักษ์หยิบแท่งเสาศิลาผลึกมนตรามาใช้ราวกับเป็นดาบแสงเล่มยักษ์ขนาด 50 เมตร มันสามารถฟันกวาดถนนนครจักรพรรดิจนเละเป็นแนวยาว 1 กิโลเมตรได้ในการฟันครั้งเดียว

พอชักดาบผลึกมนตรากลับมา ทหารยักษ์ก็พบว่าพริสซิลล่าขึ้นไปยืนอยู่บนใบดาบเสียแล้ว แถมเธอยังชี้ดาบตะวันไปยังส่วนศีรษะซึ่งก่อนหน้านี้เป็นฐานยิงปืนใหญ่ผลึกมนตรา ส่วนปัจจุบันเป็นบัลลังก์ของแม่มดสฟิงซ์

พริสซิลล่า: ข้าพเจ้าเองก็จะแสดง “เอนเตอเทนเมนต์” สุดตระการตาให้ดู!

ดาบตะวันเปล่งประกายออกมาและแผดเผาดาบยักษ์ทั้งเล่มจนสลายหายไปในชั่วพริบตา แน่นอนว่าพริสซิลล่าร่วงลงสู่เบื้องล่าง แต่อาราเคียที่มีปีกเพลิงบินมารับเธอไว้ได้ก่อน

. ทหารยักษ์หยิบแท่งผลึกอันที่สองมาใช้เป็นดาบเพื่อเตรียมฟาดฟันสองสาวซ้ำ แต่ “ราชาแห่งหนาม” และ “จักรพรรดิปราชญ์” ตวัดดาบฟันลำตัวของมันเป็นแนวทะแยงจากมุมต่ำสองฟากฝั่ง

การประสานวิชาดาบนั้นเจาะทะลวงอาภรณ์มานาเข้าไปได้ เจ้าทหารยักษ์จึงโดนกระหน่ำฟันจนมันส่งเสียงร้องโหยหวน ดาบยักษ์เล่มที่สองแตกออก แถมยังเกิดรอยร้าวขึ้นทั่วร่างของทหารยักษ์

ในเมื่อถูกไล่ต้อนจนมุม ทหารยักษ์จึงเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ รอยแตกบนร่างของมันเปล่งแสงออกมาก่อนที่ “หมอกแห่งแสง” จะถูกยิงกระจายมาจากรอยแตกทั่วทิศทาง

มันคือการโจมตีแบบกลุ่มหมอกที่ไร้หนทางหลบหลีก ต่อให้คู่ต่อสู้จะเป็นระดับ “นักดาบเทวา” “อัสนีสีฟ้า” หรือ “จอมพิสมัย” ก็ตาม

พริสซิลล่า/วินเซนต์/ยูการ์ด: ――“ดาบตะวัน” วอลลาเคีย

ทว่า สามราชวงศ์ประสานพลังกันสร้างกำแพงเพลิงขนาดใหญ่ขึ้นมาขวางกั้น การโจมตีของแม่มดไม่สามารถผ่านพ้นกำแพงที่เผาผลาญทุกสรรพสิ่งที่สัมผัสในพริบตาได้

. รอยแตกบนร่างทหารยักษ์ขยายขึ้นจนผลึกสีม่วงชั้นนอกสุดหลุดออกคล้ายกับการลอกคราบ แต่อาราเคียร่ายมนตร์เสกให้ซากอาคารที่กองอยู่บนพื้นลอยขึ้นมาล้อมทหารยักษ์ไว้ทันที

อาราเคีย: ฉันคือสุนัขขององค์หญิง

ซากอาคารหมุนวนเป็นพายุและเข้าบดขยี้เหยื่อทันที ทหารยักษ์ตอบโต้ด้วยการหยิบแท่งผลึกมาใช้เป็นดาบคู่และหมุนร่างท่อนบนด้วยความเร็วสูง

ความเร็วในการหมุนของทหารยักษ์ก่อให้เกิดเป็นพายุแสงอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งเป็นวิบัติการณ์เสี่ยงภัยต่อโลกรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ของวันนี้

สามผู้ถือครองดาบตะวันประสานพลังกันอีกครั้ง วายุแสงสีม่วงเริ่มเปลี่ยนสีเนื่องจากลุกติดไฟ จนมันกลายเป็นเสาเพลิงที่สูงจนทะลวงสรวงสวรรค์

ทหารยักษ์กระโจนตัวฝ่าเสาเพลิงออกมา แต่ดาบยักษ์ในมือข้างหนึ่งของมันถูกส้นรองเท้าเกี๊ยะของไอริสตอกใส่ทันที แน่นอนว่ามันยังมีดาบยักษ์อยู่ในมืออีกข้าง แถมไอริสก็ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ

ยูการ์ด: ไม่ปล่อยให้แตะต้องดวงดาราของข้าได้ง่ายๆ หรอก

ยูการ์ดกระโจนเข้ามาใช้ดาบตะวันรับการโจมตีของดาบยักษ์เล่มที่สองเอาไว้และเผาแท่งผลึกให้หายวับไปทันที มันคือฉากที่อลังการดุจภาคต่อของ “ไอริสและราชาแห่งหนาม”

ส่วนปลายของแท่งผลึกขาดกระเด็นและพุ่งจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ของเมือง ตอนนั้นเอง “มังกรเมฆา” ที่ก่อนหน้านี้เลือกอยู่ข้างคนรักได้เปลี่ยนข้างมาต่อต้านภัยพิบัติ

ลมหายใจมังกรพุ่งตรงจากทิศใต้มาปะทะเข้ากับทหารยักษ์จนมันต้องปักขาลงพื้นเพื่อพยายามยึดที่มั่นเอาไว้ ทหารยักษ์ทำการสลายแท่งผลึกให้กลายเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสร้างเป็นแนวป้องกันอีกชั้นหนึ่ง

ต่อหน้าจิตต่อสู้ที่ไม่ลดละของนังแม่มด วินเซนต์มองสังเกตรอบกายเพื่อหาตัวสุบารุ การที่เขาไม่เข้าร่วมศึกนี้ แปลว่าสุบารุกำลังดิ้นรนต่อสู้ศึกสำคัญอยู่ที่อื่น

วินเซนต์: ไปกันเถอะ เหล่า “แม่ทัพ” ที่ข้าเลือกสรรเอ๋ย ――พวกเราทั้งหลายคือเศษฝุ่นในสายตาของ “มหาภัยพิบัติ” เพียงเท่านั้น

. ในขณะที่นัตสึกิ สุบารุกับสปิก้ากำลังเผชิญหน้ากับแม่มดสฟิงซ์เพื่อพยายามจับดวงจิตของเธอ หน้าที่ของพวกอัลก็คือการปกป้องไม่ให้มีใครเข้าไปขัดได้

อัล: เออ เข้ามาเซ่! ไม่ว่าใครก็เอาชั้นกับท่านหญิงไม่ลงหรอกเฟ้ย!

การพึ่งพาพลังของ “ตะกละ” เป็นเรื่องบ้าบอในมุมมองอัล แต่ในเมื่อพริสซิลล่าเล็งอะไรบางอย่างและสั่งให้สุบารุลงมือ อัลก็พร้อมที่จะสนับสนุนเส้นทางสู่อนาคตนั้น

รอสวาล: อุล โกอา

สฟิงซ์: อุล ฮิวม่า

รอสวาลที่บินอยู่บนฟ้ากำลังกระหน่ำยิงลูกไฟอย่างต่อเนื่องไปปะทะกับกระสุนน้ำของสฟิงซ์อย่างสูสี มันคือการปะทะกันของสองจอมเวทเลเวลท็อปคลาส

สฟิงซ์ทุกตัวไม่ได้ไปรวมตัวกันที่พริสซิลล่าหมด ร่างแยกบางส่วนได้มายังสนามรบแห่งนี้พร้อมกับผีดิบที่เหลืออยู่เพื่อขัดขวางสุบารุด้วยเช่นกัน

เบียทริซร่ายมนตร์เสกหมอกสีม่วงมาลดความเร็วการเคลื่อนที่ของสฟิงซ์กับฝูงผีดิบ ซึ่งอัลก็ไม่ปล่อยให้ไนซ์แอสซิสของเบียทริซต้องสูญเปล่า

อัล: ดวงดาวมันแย่เฟ้ย!

การคอนโทรลเวทมนตร์แสนช่ำช่องทำให้มีเพียงอัลที่ได้เปรียบศัตรูในพื้นที่นั้น เขาไล่ตัดหัวพวกผีดิบจนหมดและหันมาขยิบตาให้เบียทริซผ่านหมวกเหม็ก

. เบียทริซ: งานเข้าแล้วกระมัง!

อยู่ดีๆ แท่งผลึกขนาด 10 เมตรที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาวุธของทหารยักษ์(ที่ยูการ์ดเป็นคนตัด)ก็กระดอนมาทางพวกอัล หากปล่อยเอาไว้สุบารุอาจจะถูกมันบดขยี้ได้

อัล: ปรับค่าเมทริกซ์ การทดลองทางความคิด――

การ์ฟีล: ――อย่าพึ่งชิงยอมแพ้เอาเองสิโว้ย!!

แต่แล้วการ์ฟีลก็โผล่มารับเศษแท่งผลึกเอาไว้ได้ เบียทริซจึงรีบอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟังว่าเงื่อนไขของชัยชนะคือการปกป้องสุบารุกับสปิก้า

สฟิงซ์: ――‘หลีกทาง’ จำเป็นค่ะ

แม่มดตัดสินใจปรากฏตัวออกมาเองและทำการยิงวังวันลำแวงไปทางสุบารุ อานุภาพของมันรุนแรงจนดูดกลืนเศษอาคารเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลำแสงได้

ตอนนั้นเองที่ฮาริเบลเขวี้ยงทันซ่าขึ้นไปบนฟ้าดุจกระสุนปืน สาวน้อยมนุษย์กวางเตะอัดลำตัวของแม่มดอย่างรุนแรงจนร่างขาดเป็นสองท่อน

ฮาริเบลร่างเดียวกันกระโจนตัวขึ้นไปใช้ฝ่ามือผ่าลำแสงของแม่มดจนสิ้นฤทธิ์แล้วรับร่างของกวางน้อยเอาไว้ก่อนที่จะลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย

อัลยินดีที่มีพวกพ้องระดับอสุรกายอย่างฮาริเบลมาเสริมทัพ ทั้งฮาริเบลและทันซ่าต่างก็มีเปลวเพลิงของพริสซิลล่าที่ดวงตาด้วยเช่นกัน

เบียทริซอาศัยประโยชน์จากแท่งศิลาผลึกมนตราที่การ์ฟีลรับเอาไว้ได้ก่อนหน้านี้ เธอสลายทั้งแท่งให้กลายเป็นมานา จากนั้นก็สร้างดาบสีม่วงนับร้อยเล่มออกมาเตรียมจู่โจมด้วยซอร์ดแดนซ์(ระบำดาบ)

เบียทริซ: มานามหาศาลขนาดนี้ เบ็ตตี้ขอเอามาใช้แบบนี้ละกันกระมัง พวกแกน่ะ ขืนแตะต้องสุบารุแม้แต่ปลายเล็บ รับรองว่าไม่มีปรานีแน่ย่ะ

. ในขณะที่พวกอัลกำลังปกป้องเขาอยู่ สุบารุก็เพ่งสมาธิถึงขีดสุดจนสภาพแวดล้อมภายนอกไม่อยู่ในการรับรู้อีกต่อไป

ปัจจุบันนัตสึกิ สุบารุ กำลังอยู่ในโลกสีขาวโพลนที่คล้ายกับ “โถงแห่งความทรงจำ” ร่วมกับสปิก้าที่เขากุมมืออยู่และสฟิงซ์ทีจ้องตากันอยู่

มันคืออดีตสถานที่เลวร้ายที่ตัวเขาเคยถูกกินความทรงจำจนเกิดเรื่องแย่ขึ้นมากมาย สปิก้าดูท่าจะไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว

บุคคลทั้งสามที่ชื่อขึ้นต้นด้วย “ส” เหมือนกันมารวมตัวกันอยู่ ณ ที่นี่เพื่อสนทนาโดยที่ไม่ต้องมีใครรบกวน

สฟิงซ์: “สฟิงซ์” น่ะคือนามของอสุรกายที่อยู่ในความรู้ของผู้สร้างค่ะ

สุบารุ: หือ? อ้อ ที่มาของชื่อสินะ

สฟิงซ์: ค่ะ ถ้าหากว่าความปรารถนาของผู้สร้างลุล่วงตั้งแต่แรกล่ะก็ ฉันคงจะเรียกตัวเองว่า “เอคิดน่า” ไปแล้ว ในเมื่อมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ชื่ออื่นแทนค่ะ

ตามความรู้ของสุบารุ “สฟิงซ์” คือชื่อของอสุรกายที่มีร่างกายเป็นไลอ้อนและมีศีรษะเป็นมนุษย์ มันมีหน้าที่พิทักษ์พีระมิดและชอบถามปริศนา

สุบารุ: ตอนเช้ามีสี่ขา กลางวันมีสองขา ตกค่ำมีสามขา… รู้ไหมเอ่ยว่าคือตัวอะไร?

สฟิงซ์: …? ไม่ใช่อสุรกายเหรอคะ? หรือว่าจะเป็นอสุรกายที่เปลี่ยนร่างได้กันแน่คะ

สุบารุ: กะแล้วเชียว ที่จริงคำตอบคือ “มนุษย์” น่ะ

พอเขาเฉลยคำตอบของปริศนา สฟิงซ์กับสปิก้าดันทำหน้าเอือมระอาเหมือนไม่ค่อยจะยอมรับได้นัก ซึ่งสุบารุก็ทำเพียงแต่โทษสฟิงซ์จากโลกเดิมในใจ

. สุบารุบอกสฟิงซ์ว่าเขามีอะไรที่อยากให้เธอเห็น แต่เตือนก่อนว่าเธออาจจะไม่ชอบใจนักก็ได้ ว่าแล้วสปิก้าจึงปล่อยมือจากสุบารุให้เขาทำการค้นหา “ตัวเอง” คนเดียว

ยามที่หลับตาลงใน “โถงแห่งความทรงจำ” คนเราจะได้กลิ่นตัวเองชัดขึ้น เนื่องจากสมองของมนุษย์มักเอาความทรงจำไปเชื่อมโยงกับกลิ่น

ช่วงที่วนลูป “ตายแล้วกลับมา” ก่อนหน้านี้ สุบารุได้ขอให้โอลบาร์ตสอนเทคนิคการคลายวิชา “ย้อนวัย” ซึ่งก็คือการอาศัยกลิ่นเป็นสิ่งนำทางภายในทางเดินแห่งความทรงจำ

สุบารุ: ――ชื่อของชั้นคือนัตสึกิ สุบารุ หนึ่งเดียวในใต้หล้าผู้ยาจกยิ่งกว่าใคร

ทันทีที่กล่าวประโยคแนะนำตัวสุดเห่ยนั้น น้ำเสียงของเขาก็ทุ้มต่ำลง ระดับสายตาสูงขึ้น มือของสปิก้าที่กุมอยู่ก็หดเล็กลง ไม่สิ สุบารุต่างหากที่ตัวใหญ่ขึ้น

ประสาทสัมผัสเปลี่ยนไปอันเป็นผลจากดวงจิตที่พยายามหวนคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม เซลล์ทั่วร่างรับรู้ได้ว่าร่างกายกำลังเติบโตจากเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ในพริบตา

สฟิงซ์: ――ยินดีที่ได้รู้จัก นัตสึกิ สุบารุ

สุบารุ: แต่เกรงว่า พวกเราคงจะต้องจบเรื่องนี้แล้วล่ะนะ

สฟิงซ์: อือ นั่นสินะคะ ――‘จากลา’ จำเป็นค่ะ

สุบารุคาใจว่าทำไมสฟิงซ์ถึงได้เลือกวิธีการแสนโหดร้ายเพียงเพื่อที่จะคืนชีพให้แก่ผู้สร้าง หากเธอไม่ใช้วิธีการนี้ พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องต่อสู้กัน

สฟิงซ์ฉีกยิ้มออกมาและบอกว่าเรื่องนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะตัวเธอมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เลือกใช้วิธีการโหดร้ายอยู่อีกเช่นกัน ซึ่งพอได้ยินเช่นนั้น สุบารุก็เข้าใจ

สุบารุ: สฟิงซ์

สฟิงซ์: มีอะไรคะ? ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ฉันก็ไม่――

สุบารุ: แฮปปี้เบิร์ธเดย์

คำอวยพรที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้ดวงตาของสฟิงซ์เบิกกว้าง สุบารุใช้จังหวะนั้นสัมผัสดวงจิตของเธอในทันที

. ตามจริงพริสซิลล่าไม่อยากให้ศึกสุดยิ่งใหญ่นี้รีบจบลงเลย เธออยากให้มันเป็นเรื่องราวที่ไม่มี “เอนดิ้ง” แต่ก็ตระหนักดีว่า “อีโก้” เช่นนั้นมิใช่สิ่งที่ควรยึดติด

พริสซิลล่า: ขอปิดม่านแบบที่คู่ควรต่อข้าพเจ้าหน่อย

เมื่อได้ยินคำสั่ง อาราเคียก็ปล่อยมือให้พริสซิลล่าร่วงหล่นจากหมู่เมฆ เธอเก็บดาบตะวันสู่ฝักดาบและอ้าแขนรับแสงตะวันจากอาทิตย์อัสดง

อาราเคียกับมังกรเมฆาประสานพลังกันผนึกเวทมนตร์ของแม่มดและระงับความเสียหายไม่ให้ออกจากตัวเมือง ยอร์น่าเองก็กำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับคนรักอย่างสุขสม

วินเซนต์: ชักช้า

ทหารยักษ์ชูดาบผลึกมนตราสองเล่มขึ้นมาเพื่อง้างเตรียมฟาดใส่องค์จักรพรรดิ แต่แล้วเซซิลุสที่มีทั้ง “ดาบมายา” และ “ดาบอสูร” อยู่ในมือก็ฟาดฟันแขนสองข้างของทหารยักษ์จนกุดถึงหัวไหล่

ทหารยักษ์ไร้แขนยังคงไม่ยอมแพ้ มันเสกดาบจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาลอยรอบตัวและเล็งจู่โจมไปยังพริสซิลล่าที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากฟ้า

สฟิงซ์: ――พริสซิลล่า บาริเอล

เธอกางมือสองข้างออกมาในจังหวะที่วินเซนต์กับยูการ์ดโยนดาบตะวันของตนไปเข้ามือพอดี จากนั้นพริสซิลล่าก็ตวัดดาบตะวันคู่เพื่อเผาผลาญดาบผลึกมนตราที่สฟิงซ์กระหน่ำยิงขึ้นมาจนมอดไหม้ต่อกันเป็นทอดๆ

. ร่างของ “เจ้าหญิงสุริยา” พุ่งผ่านทะลุม่านเพลิงเข้าประชิดส่วนศีรษะของทหารยักษ์ซึ่งคล้ายกับดอกไม้ที่หุบกลีบอยู่ได้สำเร็จ

พริสซิลล่าทำการเรียกดาบตะวันเล่มที่สามของตัวเธอเองออกมาจากฝักดาบอันว่างเปล่าและขี่มันพุ่งเข้าหาทหารยักษ์โดยที่สองมือยังถือดาบของพี่ชายและบรรพบุรุษไว้อยู่

สฟิงซ์: ――พริสซิลล่า บาริเอล

ดาบตะวันเล่มที่ขี่อยู่เจาะทะลุเปลือกนอกสุดเข้าไปด้านในศีรษะ จากนั้นเธอก็ใช้ดาบตะวันของยูการ์ดฟันกวาดลูกแก้วแสงที่กระหน่ำเข้ามาหา

สฟิงซ์: ――พริสซิลล่า บาริเอล

ทันทีที่พริสซิลล่าลงจอด สฟิงซ์ก็กระโจนตัวฝ่าม่านเพลิงเข้ามาหาพร้อมดาบแสงในมือ พริสซิลล่าใช้ดาบตะวันของพี่ชายเผาอาวุธของคู่ต่อสู้ทิ้ง

พริสซิลล่าฉีกยิ้มออกมายามที่ได้เห็นดวงตาสุดพิโรธของสฟิงซ์ นังแม่มดเรียกดาบแสงออกมาจากปลายนิ้วแต่ละนิ้วรวมเป็นสิบเล่ม แล้วตวัดเข้าหาจากทุกทิศทางจนเห็นเป็นภาพคล้ายกับกล้องสลับลายแห่งความตาย

สฟิงซ์: ――พริสซิลล่า บาริเอล!

พริสซิลล่าชูสองมือขึ้นฟ้าและอัญเชิญดาบตะวันของเธอเองออกมาใหม่อีกรอบ คมดาบที่เป็นดั่งรุ่งอรุณใหม่ผ่าร่างของแม่มดและเผาผลาญศิลาผนึกมนตราภายในศีรษะของทหารยักษ์จนลุกโชน

พริสซิลล่า: ภูมิใจเสียเถอะ สฟิงซ์ นอกจากตัวเจ้า ก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่เหมาะสมจะรับบทศัตรูร้ายของข้าพเจ้าว ――ต้องขอเชยชม

สฟิงซ์: …ต่อให้จะคว้าน้ำเหลวก็ตาม งั้นเหรอคะ?

พริสซิลล่า: แน่นอนอยู่แล้วสิ คิดว่าข้าพเจ้าเป็นใครกัน

สฟิงซ์ถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะเอ่ยตอบคำถามนั้นเป็นการทิ้งท้าย

สฟิงซ์: “พริสซิลล่า บาริเอล” ――ศัตรูคู่อาฆาตของ “มหาภัยพิบัติ” สฟิงซ์ผู้นี้

นั่นแหละคือเหตุผลในการมีตัวตนอยู่ของสฟิงซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของผู้สร้าง ศึกตัดสินระหว่าง “เจ้าหญิงสุริยา” และ “มหาภัยพิบัติ” สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น

. ดวงจิตของสฟิงซ์เกือบที่จะสูญสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง นี่จึงเป็นประสบการณ์บนเส้นคาบเกี่ยวของความตายรอบที่สอง

ในครั้งนี้เอง สฟิงซ์ก็ยังคงทำตามความปรารถนาไม่สำเร็จและต้องสลายหายไปทั้งอย่างนี้ กระนั้นจิตสำนึกสุดท้ายก็ยังนึกขอบคุณบุคคลที่ทำให้เธอได้รับรู้ว่าตัวเองคือใคร

สฟิงซ์ได้ตระหนักเสียทีว่าการเกิดมาเป็นอสุรกาย มิได้แปลว่าตัวเธอเป็นได้เพียงแค่ตัวสำรองของ “แม่มดแห่งโลภะ” เพียงเท่านั้น ถึงแม้ว่าความปรารถนาของตัวเองจะไม่สำเร็จก็ตาม

สฟิงซ์: ――อา เจ็บใจชะมัด

. ตัดกลับไปทางสุบารุที่ประกาศชื่อของ “สฟิงซ์” ออกมาและปล่อยให้สปิก้าสัมผัสดวงจิตแล้วกินตัวตนของเธอคนนั้นเข้าไป

นั่นคือการเปิดใช้งานพลัง “อ่านดารา” ซึ่งทำให้สุบารุรู้สึกทั้งพึงพอใจและเหงาหงอย คล้ายกับความรู้สึกเคว้งหลังมื้ออาหารที่แสนสุขจบลง

เขาอวยพรการถือกำเนิดให้แก่สฟิงซ์และใช้ปากเดียวกันนั้นกินเธอเข้าไป มันคือการจบเรื่องโดยปราศจากซึ่งความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายในแบบที่สุบารุต้องการ

ร่างของสฟิงซ์สลายกลายเป็นฝุ่น หัวหน้าของฝั่งศัตรูถูกกำจัดลงแล้ว เท่านี้ฝั่งพวกวินเซนต์ก็น่าจะหมดห่วงได้

เอมิเลีย: ――สุบารุ

น้ำเสียงแสนคุ้นเคยที่ไพเราะดุจกระดิ่งเงินผ่านทะลุหูและกะโหลกของเขาไปดังกังวาลอยู่ในสมองโดยตรง เสียงนั้นเรียกหาให้นัตสึกิ สุบารุต้องหันไปมอง

อาทิตย์อัสดงเลือนหายไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือใบหน้าของหญิงสาวผมเงินที่แสงจันทร์บนฟากฟ้าส่องให้เห็น ทั่วทั้งเรือนร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีส่วนไหนเลยที่สุบารุไม่หลงใหล

สปิก้า: อูอาอู

สปิก้าช่วยลูบหลังสุบารุที่น้ำตาคลอเบ้าจากความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายใน ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เขาเริ่มออกวิ่งเข้าไปหาหญิงสาว

สุบารุวิ่งผ่านอัลซึ่งมอบธัมส์อัพ(ชูนิ้วโป้ง)ให้ ผ่านฮาริเบลซึ่งพ่นควันจากกระบอกยาสูบ ผ่านการ์ฟีลที่ร้องห่มร้องไห้แทนเขาพร้อมช่วยตบไหล่ จุ๊บแก้มเบียทริซไปที ผ่านทันซ่าที่โค้งคำนับให้

รอสวาล: สุบารุคุง นายโป๊ล่อนจ้อนอยู่ม่ายช่ายรึไง

สุบารุลืมตัวไปเลยว่าร่างที่กลับมาเป็นผู้ใหญ่ไม่สามารถสวมเสื้อผ้าของเด็กได้ รอสวาลจึงบินลงมามอบเสื้อคลุมให้แก่เขา

เอมิเลีย: สุบา――

ก่อนที่เธอจะทันพูดจบ สุบารุก็เข้าไปสวมกอดเอมิเลียแล้ว เขาโอบกอดเอมิเลียอย่างแนบแน่นด้วยแขนที่กลับมามีขนาดเท่าเดิม

สุบารุ: ――EMT

เอมิเลีย: …ตาบ้า

จริงอยู่ว่าทั้งสองเคยพบเจอกันครั้งหนึ่งแล้วตอนที่สุบารุอยู่ในร่างเด็ก แต่ครั้งนี้ทั้งจิตใจ ร่างกาย และดวงจิตของนัตสึกิ สุบารุ กลับคืนมาดังเดิมอย่างสมบูรณ์

การได้สัมผัสเธออีกครั้งในร่างผู้ใหญ่จึงทำให้ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจของสุบารุล้นทะลักออกมา

เอมิเลีย: ยินดีต้อนรับกลับมานะ สุบารุ

สุบารุ: อื้อ ――กลับมาแล้วนะ เอมิเลียตัน

หนุ่มสาวสวมกอดกันโดยที่มีพระราชวังแก้วผลึกซึ่งลุกท่วมด้วยเปลวเพลิงอยู่เบื้องหลัง

“มหาภัยพิบัติ” แห่งจักรวรรดิวอลลาเคียปิดม่านลงเพียงเท่านี้

. จบตอน