webnovel arc8 chapter9

บทที่ 8 ตอนที่ 9 "ตัดสินใจที่จะรัก"

การตัดสินทอดทิ้งบัลลังก์จักรพรรดิและนครหลวงลูปุกาน่าของวินเซนต์นั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่จักรวรรดิก่อตั้งมา

เบลสเต็ตซ์: เนื่องจากเรายังไม่ทราบว่าเจ้าพวกน่าขนลุกนั่นคิดจะทำอะไร การตัดสินใจของฝ่าบาทนับว่าดีที่สุดแล้ว

โอลบาร์ต: คั่กคั่กคั่กคั่ก! จักรพรรดิทอดทิ้งวังนี่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลยมิใช่รึ? อย่างน้อยตัวข้าที่อายุปูนนี้แล้วก็เพิ่งจะเคยได้ยิน

กอซ: ห้ามขำนะ แม่ทัพเอกโอลบาร์ต! คำนึงถึงความรู้สึกของฝ่าบาทบ้าง… ฉันยังคิดถึงเลย! แกนะแก! ภายใต้การบัญชาของฝ่าบาท เราจะต้องยึดวังและนครหลวงจักรวรรดิกลับมาได้อย่างแน่นอน!!

อูบิรูค: โอ้โหววว จะหนีหรอกเหรอ ตัดสินใจอย่างไวเลยนะคร้าบ? แต่ผมอ่ะ ไม่คิดว่าการตายอย่างสมเกียรติมันน่ายกย่องหรอก เลยยอมรับการตัดสินใจนั้นได้

แม้ว่าเหล่าบริวารจะมีรีแอคชั่นตอบรับที่แตกต่างกันออกไป แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครปฏิเสธแผนการถอยทัพของวินเซนต์ เขาจึงสั่งการต่อทันที

วินเซนต์: โอลบาร์ต ดันคลูเคน ไปถ่วงเวลาเพิ่มอีกหน่อย หากปล่อยเอาไว้ อีกไม่ช้า โมโกร ฮากาเนะ คงจะพ่ายแพ้ ――อย่าพึ่งปล่อยให้พวกมันพังอ่างเก็บน้ำ

โอลบาร์ต: ไม่ไหวๆ ใช้งานคนแก่เก่งเหลือเกินน้อ ให้กอซไปไม่ดีกว่ารึ?

วินเซนต์: ตัวเบาและว่องไวคือเอกลักษณ์ของชิโนบิ จงทำตามหน้าที่เสีย

โอลบาร์ต: …ขอบอกเลย ถ้าพวกมันเอาแต่บินอยู่บนฟ้า ต่อให้เป็นข้าก็จับไม่ได้หรอก

จริงอยู่ว่าหน้าที่ถ่วงเวลาช่วยโมโกรให้กอซไปทำก็ได้ เหมือนกัน ถึงอย่างไร ณ ที่นี้ก็ไม่มีใครสามารถปราบบัลรอย เทเมกริฟในยามที่เหินเวหาได้อยู่ดี

กระนั้น ที่วินเซนต์เลือกใช้งานโอลบาร์ตแทนก็เพราะว่าเขามีบทบาทอื่นสำหรับกอซผู้เป็นที่เคารพรักของเหล่าทหารเตรียมไว้แล้ว

วินเซนต์: กอซ ราลฟอน จงใช้ประโยชน์จากน้ำเสียงทรงพลังของเจ้า จากนี้ไป เราต้องการกำลังคนในการถอยทัพออกจากนครหลวงจักรวรรดิ จงตามตัวเหล่าทหารที่กระจัดกระจายอยู่มาเสีย

กอซ: ขอรับ! วางใจได้เลยขอรับ ฝ่าบาท! จัดให้เดี๋ยวนี้แหละ!!

หลังน้อมรับบัญชา กอซก็กระโจนตัวขึ้นไปยืนบนกองเศษหิน เขาสูดหายใจเข้า แล้วตะโกนออกมาสุดเสียง ดังกระหึ่มไปทั่วสนามรบดุจกระสุนปืนใหญ่

กอซ: ――จงสดับฟัง เหล่าหมาป่าดาบแห่งวอลลาเคีย!! ฝ่าบาทวินเซนต์ วอลลาเคียมีพระบัญชาต่อพวกเราเหล่าหมาป่าดาบ! จงฟังเสียงของข้า! ตามมาทางนี้!!

ระหว่างที่กอซตะโกนสั่งทหาร วินเซนต์ที่ปิดหูอยู่ก็จ้องโอลบาร์ตจนสุดท้ายตาแก่ยอมรับว่าวินเซนต์ใช้คนได้ถูกงานแล้ว

ร่างของผู้เฒ่าอำมหิตหายวับไป จากนั้นเขาก็วิ่งไต่กำแพงพระราชวังแก้วผลึกต่อขึ้นไปบนร่างของโมโกรเพื่อไปช่วยต่อกรกับ “มังกรเมฆา” และ “มือปืนกระสุนมนตรา”

แม้ปากจะบอกว่าเขาไม่ถนัดรับมือศัตรูบนฟ้า แต่วิชาลึกลับของชิโนบิน่าจะช่วยกลบจุดอ่อนของโมโกรและซื้อเวลาเพิ่มได้บ้าง

. อูบิรูค: ฝ่าบาท มีอะไรให้พวกผมช่วยหรือเปล่าคร้าบ?

วินเซนต์: …พวกเจ้า “นักอ่านดารา” น่ะมีกันอยู่กี่คน?

อูบิรูค: นั่นสินะคร้าบ ณ ตอนนี้ที่เสียงพอส่งไปถึงก็มีอยู่ 27 คน น่ะคร้าบ

วินเซนต์: เยอะกว่าที่คิด เช่นนั้นก็จงไปไล่ตรวจสอบบ้านพักอาศัยให้ครบเสีย จักรพรรดิและทหารกำลังจะทอดทิ้งนครหลวงจักรวรรดิ หากไม่ออกจากเมืองก็เท่ากับว่าทิ้งชีวิตให้เสียเปล่า

อูบิรูค: รับทราบขอรับ! นี่แหละครับ ต้องงี้แหละ สงครามเต็มรูปแบบ… ระหว่างจักรวรรดิวอลลาเคียทั้งมวลและ “มหาภัยพิบัติ” นี่แหละครับที่ต้องการ

อูบิรูคตื่นเต้นออกนอกหน้าที่ได้บรรลุหน้าที่ตามลิขิตสวรรค์ของตน หลังไล่เขาไปทำหน้าที่ วินเซนต์ก็หันมาเสวนากับเบลสเต็ตซ์ต่อ

ที่เบลสเต็ตซ์นิ่งเงียบไป เนื่องจากเขารู้ดีว่าหากมีคนสั่งการสองคน สายบัญชาการย่อมสับสนวุ่นวาย หมาป่าดาบนั้นมีเพียงหัวเดียวก็เพียงพอ

. ที่แล้วมาเบลสเต็ตซ์มิได้ก่อกบฏเพราะต้องการอำนาจ เขาเป็นชายผู้คำนึงถึงจักรวรรดิอย่างแท้จริงและพร้อมให้ความร่วมมือกับวินเซนต์ในยามวิบัติเช่นนี้

วินเซนต์: ทันทีที่กอซ ราลฟอนกับพวกนักอ่านดาราเตรียมการเสร็จ เราจะอพยพทันที เบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอน ขอความเห็นด้วย อย่าชักช้าล่ะ

เบลสเต็ตซ์: ――ฝ่าบาทขอรับ หากคิดจะถอยทัพล่ะก็ โปรดทำตามความคิดของของพระองค์ท่านเองเสียเถิด

หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง วินเซนต์ก็เข้าใจว่าเบลสเต็ตซ์ต้องการให้เขาทำตามความคิดของ “จิชา โกลด์” ผู้เป็นจักรพรรดิตัวปลอมจนถึงก่อนหน้านี้

เบลสเต็ตซ์: ถ้าหากว่าแม่ทัพเอกจิชามีแรงจูงใจที่ทำให้ร่วมมือกับกระหม่อมเพื่อแทนที่ฝ่าบาทและยึดครองบัลลังก์แล้วล่ะก็…

วินเซนต์: ――แสดงว่าคาดการณ์ได้แล้วว่า “มหาภัยพิบัติ” จะเป็นเช่นไร และได้เตรียมการรับมือไว้พร้อม

สิ่งที่จิชาย่อมสละชีวิตเพื่อเตรียมการเอาไว้ มีเพียงวินเซนต์ วอลลาเคียเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ นั่นแหละคือสิ่งที่เบลสเต็ตซ์ต้องการจะสื่อ

ในตอนนั้นเอง “อัศวินราชสีห์” กอซก็นำเหล่าทหารจักรวรรดิที่ตามตัวได้มารวมกันต่อหน้าวินเซนต์ เหล่าทหารตั้งท่าเตรียมรับบัญชาอย่างพร้อมเพรียง

วินเซนต์: โมโกร ฮากาเนะ! อย่าปล่อยให้เจ้าพวกนอกคอกใช้ปืนใหญ่ผลึกมนตราเป็นอันขาด! หากปกป้องไว้ได้ จะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงเอง!!

แม้ว่ามีทิเออร์มีชีวิตจะมิได้ตอบรับเพราะวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้กับมังกร แต่วินเซนต์ก็เชื่อมั่นว่าเขาจะต้องรับฟังคำสั่งแบบไม่พลาดแน่นอน

จากนั้นวินเซนต์ก็หันกลับมาจดจ้องเหล่าทหารและแม่ทัพที่ยืนรอรับบัญชา หากจะมีที่แห่งใดที่จิชา โกลด์ เตรียมมาตรการรับมือมหาภัยพิบัติไว้ให้เขาล่ะก็…

วินเซนต์: สละนครหลวงจักรวรรดิ! มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปยังนครป้อมปราการการ์คลา!!

. ปัจจุบัน ทหารจักรวรรดิและทัพกบฏส่วนใหญ่รู้ตัวแล้วว่ากำลังเผชิญกับวิบัติร้ายแรง จนหันมาร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวในฐานะ “ประชาชนชาวจักรวรรดิ”

ทว่า ก็ยังหลงเหลือสนามรบอยู่ที่หนึ่งที่ยังคงลุกเป็นไฟและเผาทำลายทุกคนที่เข้ามาสอดแบบไม่เลือกหน้า

นั่นคือศึกระหว่างอาราเคีย “ผู้เสพวิญญาณ” และสองวีรสตรี พริสซิลล่า บาริเอล และ ยอร์น่า มิชิกุเระ

ยอร์น่า: ――รักนะเจ้าคะ

เมื่อยอร์น่าผู้มีดวงตาลุกเป็นไฟออกวิ่ง ผืนดินของนครหลวงจักรวรรดิที่ได้รับความรักจากวิชาคงคงก็นูนตัวขึ้นมาเสริมความเร็วและโมเมนตัม

แม้ที่นี่จะไม่ใช่เคออสเฟลม แต่เธอก็มิเคยลืมเลือนความทรงจำรักในอดีตต่อนครหลวงจักรวรรดิ ก่อนหน้าที่จะเป็นยอร์น่า มิชิกุเระหรือแซนดร้า เบเนดิกต์

ตัวเธอเคยใฝ่ฝันที่จะได้กุมมือกับชายสูงศักดิ์ผู้เป็นที่รักอยู่ในนครหลวง เขาผู้นั้นคือจักรพรรดิผู้มีฉายาว่า “ราชาแห่งหนาม” มันคือความรักที่เธอเคยคิดมิอาจเอื้อมถึง

สุดท้ายถึงแม้ราชาแห่งหนามจะถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์ เด็กสาวนาม “ไอริส” ก็ยังคงอยู่เคียงข้างและคอยสนับสนุนเขาไม่แปรเปลี่ยนจนผู้คนสรรเสริญชื่นชม

แต่แล้วไอริสก็ถูกหักหลังโดยมนุษย์ตัวตุ่นที่ถูกผู้ติดตามแสนเจ้าเล่ห์คนหนึ่งเป่าหูและมนุษย์หมาป่าที่ถูกหลอกใช้จากความโอหังและความทะเยอทะยาน

ราชาแห่งหนามผู้สูญเสียสรวงสวรรค์ที่วาดฝันไว้เกิดเสียสติขึ้นมา เขาใช้โลหิตของผู้ทรยศในการผูกดวงวิญญาณของเด็กสาวที่รักไว้กับแผ่นดินจักรวรรดิ

มันกลายเป็นคำสาปที่ทำให้ดวงวิญญาณของไอริสต้องเวียนว่ายตายเกิด เปลี่ยนชื่อและรูปลักษณ์แบบไม่จบไม่สิ้น

. ผืนดินที่เหยียบย่ำส่งร่างของยอร์น่าขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นเธอใช้รองเท้าส้นหนาตอกอัดใส่ร่างของอาราเคียที่ควรจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศธาตุ

อาราเคีย: ――อ๊ะ?

เกิดแรงกระแทกขึ้นบริเวณไหล่ของอาราเคียผู้ผสานร่างเข้ากับไฟ ลมและเงา อย่างน่าเหลือเชื่อ

ยอร์น่าใช้ส้นเท้าเป็นจุดยึดเพื่อหวดไปป์คิเซะรุโจมตีแบบต่อเนื่องทันที อาราเคียได้แต่ร้องประหลาดใจและเบิกตากว้าง

ยอร์น่า: หากมีความรักอยู่ อุปสรรคไร้ชั้นเชิงใดๆ ก็ล้วนแต่ไร้ความหมายเจ้าค่ะ

อาราเคีย: ความรัก…?

ยอร์น่า: เธอคือพี่น้องบุญธรรมของลูกสาวไร้วินัยของข้าน้อยใช่ไหมเจ้าคะ?

คำพูดที่ไม่เข้าใจความหมายทำให้อาราเคียผู้เดือดดาลบินฝ่าเวหาด้วยความเร็วสูง จนเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ

ซึ่งยอร์น่าที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศไม่ควรจะมีหนทางหลบการโจมตีหลากธาตุได้ กระนั้นผืนดินกลับงอกเงยขึ้นมาเป็นจุดยืนให้เธอวิ่งหนีได้สบาย

เนื่องจากตัวยอร์น่าในตอนนี้ตัดสินใจที่จะรักประเทศวอลลาเคียทั้งหมดทั้งมวลแม้จะมีทั้งความทรงจำที่ดีและความทรงจำอันขมขื่นปะปนกันอยู่นั่นเอง

. ยอร์น่าหลบห่าฝนเพลิง หอกวารี คลื่นวายุ และคมดาบแห่งแสง เพื่อเข้าประชิดตัวอาราเคียอีกครั้งและเตะอัดเข้าใส่หน้าท้องของเด็กสาวเต็มๆ

อาราเคียผู้เคยชินกับร่างที่การโจมตีควรจะผ่านทะลุรับแรงกระแทกอย่างแรงจนแสดงสีหน้าเจ็บปวดที่ปกติหาดูได้ยาก

ด้วยความโมโห อาราเคียใช้กิ่งไม้ในมือหวดสวนกลับจนยอร์น่าต้องยกไปป์คิเซะรุขึ้นมากัน เสียงเจ็บปวดเริ่มดังมาจากลำคอของยอร์น่าจากการปะทะครั้งนี้

ปกติความเสียหายที่ยอร์น่าได้รับจะถูกส่งผ่านไปยังวัตถุที่เธอหวงแหนได้ด้วยวิชาคงคง ทว่า คราวนี้กลับไม่มีของขวัญจากเหล่าชาวเมืองที่รักชิ้นใดเสียหายเลย

สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะ…

ยอร์น่า: ――รักนะเจ้าคะ

เพื่อที่จะสั่งสอนอาราเคีย ยอร์น่า มิชิกุเระเลือกที่จะไม่ยัดเยียดความรักอยู่ฝ่ายเดียวและเลือกที่จะใช้วิชาคงคงแบบตรงข้ามกับจุดประสงค์ดั้งเดิม

. ในระหว่างนั้นพริสซิลล่าก็กำลังจับตาดูการปะทะของแม่กับพี่น้องบุญธรรมของเธออยู่บนพื้นดิน เธอรับรู้ได้ทันทีว่ายอร์น่ากำลังใช้วิชาแบบต้องห้าม

พริสซิลล่า: คงไว้เพียงจุดแข็งของวิชาและเมินจุดอ่อนเลยงั้นหรือ? ท่านแม่เองก็ทำอะไรบุ่มบ่ามเป็นเหมือนกันสินะ

เคล็ดลับของการที่ยอร์น่าสามารถโจมตีอาราเคียได้คือการปรับสมดุลวิชาให้เน้นไปที่การโจมตี จนตอนนี้ร่างของเธอต้องรับความเสียหาย แถมยังเสี่ยงสูญเสียสายสัมพันธ์กับของขวัญมีค่าที่ได้รับมา

ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำไปนั้น เป็นเพราะว่ายอร์น่าไม่อยากให้พริสซิลล่าต้องลงมือสังหารอาราเคียด้วยดาบแสงตะวัน

“ดาบแสงตะวัน” มอบพลังให้ผู้ใช้สามารถโจมตีและแผดเผาสิ่งที่ประสงค์ได้ดังใจ ดังนั้น แม้อาราเคียจะรวมตัวกับอากาศธาตุ พริสซิลล่าก็ยังคงโจมตีให้โดนได้

เพราะไม่อยากให้พริสซิลล่าต้องฟันพี่น้องบุญธรรมตัวเองซ้ำสอง ก่อนหน้านี้ยอร์น่าถึงได้เขกหัวลูกสาวด้วยไปป์คิเซะรุ

. ทุกวิชาที่ทรงพลัง ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นดาบแสงตะวัน วิชาวิวาห์ดวงวิญญาณ(คงคง) หรือพลังของผู้เสพวิญญาณ

ซึ่งหลังไปสืบค้นเพิ่มเติม พริสซิลล่าก็ได้รู้ว่าผู้เสพวิญญาณนั้นจะอยู่ไม่ได้เลยหากปราศจาก “เสาหลัก” เป็นสิ่งค้ำจุน

ในกรณีอาราเคีย เสาหลักที่ว่าก็คือพริสซิลล่า กว่าสิบปีที่อาราเคียไร้นายหญิงอยู่เคียงข้าง มันคงเป็นดั่งโลกที่แสงตะวันถูกบดบังจนหลงเหลือเพียงเงามืด

เป็นไปได้ไหมที่จะมีใครสักคนสาดแสงเล็กๆ เข้าไปในโลกอันมืดมิดของอาราเคียแทนที่พริสซิลล่าในช่วงเวลานั้น?

พริสซิลล่าหวังให้บุคคลที่ว่าคือวินเซนต์ ทว่า…

พริสซิลล่า: คงเป็นไปไม่ได้สินะ…

ยามที่ได้เห็นพี่ชายรวบรวมยอดนักรบในประเทศมาเป็นเก้าแม่ทัพเทวะ เธอก็รู้ได้เลยว่าวินเซนต์กำลังต่อกรกับบางสิ่งที่ไม่ใช่การก่อกบฏ บางสิ่งที่เหนือกว่านั้น

และเธอก็รู้ได้เลยว่าวินเซนต์ไม่คิดจะมีชีวิตรอดอยู่หลังจบศึกที่ว่า ดังนั้น พริสซิลล่าจึงมิอาจฝากฝังอาราเคียไว้กับบุคคลที่จะขึ้นครองบัลลังก์แทนที่พี่ชายได้

พริสซิลล่า: เราห่างเหินกันมาตั้งสิบปี พอเสียที ท่านพี่น่ะปล่อยวางจากน้องสาวบ้างก็ได้

หลังกล่าวถึงชายที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น พริสซิลล่าก็ย่างก้าวเข้าสู่สนามรบที่ท้องฟ้าสีแดงเพลิงและพื้นดินงอกเงยไปทั่ว เป็นดั่งโลกที่ไม่ได้ต้อนรับเธอ ทว่า…

พริสซิลล่า: ――โลกใบนี้ถูกสรรค์สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ข้าพเจ้า

. อาราเคียนั้นไร้ซึ่งความยึดติดในชื่อเสียงหรือความภาคภูมิในฐานะใดๆ ทั้งที่ตัวเธอเป็นถึงเก้าแม่ทัพเทวะลำดับสอง ตัวตนที่แข็งแกร่งลำดับต้นๆ ของโลกใบนี้

เธอมองว่าตนเองเป็นเพียงเดรัจฉานที่มีชีวิตรอดไปวันๆ จากการล่าเหยื่อด้วยเขี้ยวเล็บที่ไร้ความภาคภูมิ แต่นั่นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว

สิ่งที่อาราเคียปรารถนาคือการเป็นดั่งปรากฏการณ์ ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เป็นดั่งอัคคี วายุ วารี ปฐพี แสง และเงาที่จับต้องไม่ได้

อาราเคีย: ฉันน่ะ――อึก

อาราเคียผสานร่างกับสายลมเพื่อรับมือการโจมตีดุจห่าฝนของศัตรู กระนั้นร่างสายลมของเธอก็ยังถูกโจมตีโดนอยู่ดี

ทั้งที่ร่างกายของเธอคุ้นชินกับความเจ็บปวดตั้งแต่ยังเด็กผ่านกระบวนการสร้างผู้เสพวิญญาณ แต่ทุกครั้งที่ยอร์น่าโจมตีโดน เธอกลับร้องออกมา

ไฟไม่ควรจะกลัวตายแท้ๆ อาราเคียเกรงกลัวเหลือเกินที่ตัวเธอไม่อาจเป็นดั่งปรากฏการณ์ได้อีกต่อไป

อาราเคีย: ฉั――

ยอร์น่า: ――เงียบไปเจ้าค่ะ

แก้มที่หลอมรวมกับเพลิงของอาราเคียถูกยอร์น่าตบอย่างรุนแรง สะเทือนไปทั้งกายและใจพร้อมๆ กัน

. อาราเคียรีบบินหนีมาตั้งหลักแล้วหันฝ่ามือไปทางยอร์น่าเพื่อเตรียมโจมตี ซึ่งเธอรู้ดีว่าการโจมตีเริ่มมีผลกับยอร์น่าที่สละการป้องกันจากวิชาไปแล้ว

แค่ทีเดียว การโจมตีโดนเต็มๆ เพียงครั้งเดียวก็จะตัดสินผลลัพธ์ของศึกในครั้งนี้ได้

อาราเคีย: องค์หญิงกับ…!

หากกำจัดยอร์น่าที่เป็นตัวกีดขวางออกไป ก็จะเหลือเพียงเธอกับองค์หญิงพริสก้า แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง

[ท็อดด์: ถ้ามีสิ่งที่อยากได้อยู่ ไปคว้ามันเอาไว้ย่อมดีกว่ารอเฉยๆ จริงมั้ย?]

คำพูดนั้นมันช่างตรงใจอาราเคียเหลือเกิน ไม่เพียงเพราะเนื้อหาที่พูด แต่เพราะคำพูดของท็อดด์มันไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ต่ออาราเคียด้วย

ท็อดด์มองอาราเคียไม่ต่างอะไรจากอากาศธาตุและสิ่งนั้นแหละที่ทำให้เธอรู้สึกจรรโลงใจ

ทันใดนั้นเอง กิ่งไม้ในมืออาราเคียก็ลุกไหม้และสลายกลายเป็นผงธุลีสีดำ

เดิมทีเจ้ากิ่งไม้นี้เธอก็แค่เก็บมาจากข้างทางเพื่อใช้เล็งตอนร่ายเวทมนตร์เท่านั้น มิใช่สิ่งสลักสำคัญใดๆ การที่เธอเผามันทิ้งแปลว่าไม่ต้องการเล็งเฉพาะจุดอีกต่อไป

. ที่ผ่านมา อาราเคีย “ผู้เสพวิญญาณ” ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเคยยิงเวทมนตร์แบบเต็มกำลังแค่ตอนที่ดวลกับเซซิลุส เซ็กมุนต์เท่านั้น

แม้อีกฝ่ายจะไร้บาดแผล เพราะดันเป็นเซซิลุส แต่อาราเคียก็ถูกวินเซนต์ตำหนิอย่างหนักที่เผาส่วนเหนือของนครหลวงจนราบเป็นหน้ากลอง

การโจมตีครั้งนั้นรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศได้ โชคดีที่จิชาออกความเห็นให้เปลี่ยนพื้นที่ที่ถูกทำลายให้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำในภายหลัง

พริสซิลล่า: ――โลกใบนี้ถูกสรรค์สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ข้าพเจ้า

ทว่า ทันทีที่เสียงของนายหญิงดังขึ้นมา การโจมตีของอาราเคียที่ควรจะเผาโลกาเป็นเถ้าถ่านก็ถูกประกายของ “ดาบแสงตะวัน” กลืนหายไป

พริสซิลล่ากระโจนตัวขึ้นมาอยู่ข้างๆ ยอร์น่า เครื่องประดับผมของเธอแตกสลายเพราะอากาศร้อนจนเส้นผมสะบัดพริ้ว ดวงตาทั้งสองข้างจดจ้องอาราเคีย

พริสซิลล่า: ท่านแม่

ยอร์น่าดีดตัวไปอยู่หลังพริสซิลล่าแล้วเริ่มถีบขาอย่างรุนแรง พริสซิลล่าประกบเท้ากับยอร์น่าแล้วอาศัยแรงเตะของแม่ดีดตัวพุ่งไปหาอาราเคียด้วยความเร็วสูง

พริสซิลล่า: อาราเคีย

ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว พริสซิลล่าสะกดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของอาราเคีย เธอไม่หลบ ไม่ผสานร่างกับบรรยากาศจนร่างถูกดาบแสงตะวันฟันเต็มๆ

คล้ายกันกับตอนที่อาราเคียปล่อยเวทมนตร์เต็มที่จนทำลายนครหลวงส่วนเหนือ ตอนนั้นเธอเห็นประกายจากการโจมตีของเซซิลุสก่อนที่จะหมดสติไป

พริสซิลล่า: ดาบแสงตะวันของข้าพเจ้าฟาดฟันเฉพาะสิ่งที่อยากฟัน แผดเผาเฉพาะสิ่งที่อยากเผา ――แล้วก็หวดโจมตีเฉพาะสิ่งที่อยากหวด

และในคราวนี้อาราเคียก็หมดสติด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของพริสซิลล่า ซึ่งเป็นการโจมตีจากส่วน “ด้ามจับ” มิใช่ใบดาบ

. เซซิลุสนั้นหัวเราะอยู่เสมอ แม้จะเป็นในยามที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี แผ่นดินสั่นสะเทือน หรือเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

หากถามว่าเขาบ้าไหม ก็คงบ้า หากถามว่าเขาเพ้อหรือเปล่า ก็คงเพ้อ

มิใช่เพราะการต่อสู้ เหล้า สีสัน หรือเลือด กระนั้นเจ้าเด็กหนุ่มก็ยังหัวเราะดุจคนบ้าและเพ้อฝันต่อไป

เซซิลุส: ――เวทีที่เต็มไปด้วยนักแสดงน่าเบื่อคงดึงดูดสายตาของเหล่าผู้คนที่วุ่นๆ กันอยู่ไม่ได้อยู่แล้วล่ะเนอะ?

การหัวเราะที่ไร้ความหมายคงไม่มีอยู่ เพราะเสียงหัวเราะของเขาคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว เป็นสัญญาณว่าเจ้าเด็กหนุ่มกำลังจะขึ้นสู่เวที

เซซิลุส: ไม่หัวเราะสักหน่อยเหรอครับ? อุตส่าห์เตรียมการมาถึงขนาดนี้เลยนี่ครับ หัวเราะลั่นออกมาเสียหน่อยน่าจะรู้สึกดีนะ!

??: …

เซซิลุส: โอ๋ หรือว่าจะสงสัยว่าผมมาที่นี่ได้ยังไงเหรอครับ? ถ้าคิดว่าพรรคพวกสักคนของคุณปากโป้งอยู่ล่ะก็ หายห่วงได้เลยครับ! ผมน่ะก็แค่ตามมาถึงที่นี่ด้วยสัญชาตญาณอย่างเดียวเท่านั้น!

เซซิลุส เซ็กมุนต์ ทั้งปรบมือและกระทืบพื้นด้วยรองเท้าโซริ ที่ด้านหลังของเขาคืออ่างเก็บน้ำที่แตกออก ซึ่งน้ำยังคงไหลทะลักออกมาไม่หยุด

ส่วนที่เบื้องหน้าของเขาคือวายร้าย “แม่มด” ร่างเตี้ยที่มีผู้วายชนม์มากมายอยู่ด้านหลังเธอ

สฟิงซ์: ไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงก็คุณดี ――‘ไตร่ตรอง’ จำเป็นค่ะ

. จบตอน