เอซโซ่นำทางทุกคนมายัง [ไทเกต้า] หรือหอสมุดใหญ่เพลอาเดส สถานที่เก็บ [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ซึ่งเรียงรายกันอยู่ภายในชั้นวางชั้นแล้วชั้นเล่า
แม้โครงสร้างของหอสังเกตการณ์เพลอาเดสจะกว้างใหญ่อยู่แล้ว แต่สเปซ(พื้นที่)ภายใน [ไทเกต้า] บางส่วนจะต้องถูกบิดเบือนให้กว้างกว่าที่ตาเห็นด้วยเวทเงาอย่างแน่นอน
กระทั่งเบียทริซผู้เป็นมหาวิญญาณธาตุเงายังทึ่งในวิทยาการแสนล้ำยุคที่สามารถคงเวทมนตร์ให้ทำงานต่อเนื่องได้หลายร้อยปีหลังจากที่ผู้ร่ายมนตร์ไม่อยู่แล้ว
ทั้งเพทร่าและการ์ฟีลที่พึ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรกต่างพากันอึ้งต่อปริมาณหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วน และขนลุกที่หนังสือเหล่านี้คือสิ่งแทนตัวของเหล่าผู้ล่วงลับ
อัล: ――อ่านไม่ออกแฮะ
ตอนนั้นเองที่อัลผู้พึ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันได้เดินไปสุ่มหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวาง แถมยังพลิกหน้ากระดาษอ่านแบบหน้าตาเฉย
สุบารุ: เฮ้ย! ดะ…เดี๋ยวดิ เดี๋ยวดิ เดี๋ยวดิ! จู่ๆ อย่าจับเล่นสิ! คนอื่นเขาตกกะใจหมด!
อัล: หือ… อา โทษที พอดีเห็นมันอยู่ตรงหน้าทั้งที ก็เลยเผลอ
สุบารุ: การแตะต้องสิ่งที่ไม่รู้จักมันไม่น่ากลัวกว่ารึไงฟะ!?
สุบารุรีบคว้าหนังสือออกมาจากมือของอัลและย้ำเตือนถึงความอันตรายของ [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ซึ่งเคยเกือบเปลี่ยนให้เขากลายเป็นเมลี่มาแล้ว
อัลตัดพ้อว่าตัวเขาในตอนนี้อาจจะอยากไม่เป็นตัวของตัวเองก็ได้ แต่แล้วก็กลับคำพูดว่าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ซึ่งไม่ว่ามองยังไงก็อาการหนักน่าเป็นห่วง
. เอซโซ่เตือนการ์ฟีลกับเพทร่าเรื่องบาดแผลภายในใจที่มิอาจรักษาได้ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการอ่านคัมภีร์ และยังกำชับให้รีบปรึกษาเขาถ้าหากเกิดอะไรขึ้น
สุบารุเดาจากคำพูดว่าเอซโซ่น่าจะเคยอ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] มาแล้วเช่นเดียวกับตัวเขาและยุลิอุส แถมเอซโซ่ยังเรียกตัวเองว่า “ผู้มีประสบการณ์” อีกด้วย
โชคร้ายที่แฟรมหักหน้าเอซโซ่ยับเยินด้วยการเผาเรื่องที่เขาทั้งตาเหลือก น้ำลายฟูมปาก และฉี่ราดหลังจากที่ได้อ่านคัมภีร์เป็นรอบแรก
เอซโซ่จึงรีบกอบกู้ชื่อเสียงโดยการแย้งว่าหลังจากความผิดพลาดในรอบแรก เขาก็ค้นพบวิธีการที่ช่วยให้สามารถอ่านคัมภีร์ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งก็คือ…
เอซโซ่: หากให้สรุปง่ายๆ มันก็คือการทำจิตใจให้ว่างเปล่า ปิดกั้นจิตใจเอาไว้ ตราบใดที่คงสภาพจิตใจของตนไว้แบบนั้นได้ ก็จะสามารถรับรู้ข้อมูลที่ไหลผ่านเข้ามาในฐานะข้อมูลเพียงเท่านั้นได้ไงล่ะ
แฟรม: พูดอย่างกับว่ามันทำได้ง่ายเลยนะคะ แต่ไม่ว่าจะได้ยินกี่รอบก็ไม่เข้าใจอยู่ดีค่ะ
เอซโซ่พยายามกวาดสายตาหาพวก แต่กลุ่มสุบารุก็ไม่มีใครเข้าใจหลักการที่เขาอธิบายเช่นกัน ตัวสุบารุเองคิดว่าเขาคงเลียนแบบวิธีของเอซโซ่ไม่ได้แหงๆ
บนสันปกหนังสือที่แย่งมาจากอัลมีชื่อของบุคคลที่สุบารุไม่รู้จักอยู่ กระนั้นมันก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุกคล้ายการสัมผัสป้ายหลุมศพอยู่ดี เขาจึงรีบเก็บมันใส่ชั้นวาง
สุบารุกำชับอัลอีกทีว่าห้ามไปแตะต้องคัมภีร์เล่มอื่นนอกเหนือจากคัมภีร์ของพริสซิลล่าที่เป็นเป้าหมายของเขา ซึ่งอัลก็ยอมทำตามแต่โดยดี
เอซโซ่: การจะหาหนังสือที่เป็นเป้าหมายจากภายในจำนวนที่กองพะเนินขนาดนี้ต้องลำบากแน่นอน รีบลงมือเลยน่าจะดีกว่านะ ――จะทำไมเสียอีก ก็กระทั่ง ณ วินาทีนี้ จำนวนหนังสือบนชั้นวางพวกนี้อาจจะกำลังเพิ่มขึ้นอีกก็ได้
. [วอลคานิก้า: ――ข้า วอลคานิก้า จักขอไถ่ถามปณิธานของผู้ที่มาถึงยอด ตามพันธสัญญาแต่โบราณ]
การ์ฟีลและพวกพ้องที่ขึ้นมายังบนยอดหอคอยได้พบกับ [มังกรเทพ] ผู้กล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านไปถึงดวงจิตของผู้ฟัง
นี่มิใช่ครั้งแรกที่การ์ฟีลเคยพบกับมังกร ช่วงที่เกิด [มหาภัยพิบัติ] ในจักรวรรดิ สุบารุได้มอบหมายให้การ์ฟีลเป็นผู้ต่อกรกับ [มังกรเมฆา] เมโซเรย์อามาแล้ว
มังกรคือสายพันธุ์ระดับท็อปแรงกิ้งที่อยู่เหนือกว่าทั้งมนุษย์ อมนุษย์ สัตว์มาร และวิญญาณ กระทั่งตอนที่เผชิญหน้ากับเมโซเรย์อา การ์ฟีลก็ไม่ได้ต่อสู้ชนะแบบตรงๆ
[วอลคานิก้า: ――เจ้า ผู้มาถึงยอดสูงสุดของหอคอย จงก้าวมาสู่ชั้นแรกเสีย ผู้เข้ารับการทดสอบผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย]
ทว่า การ์ฟีลรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณเลยว่าวอลคานิก้านั้นแข็งแกร่งเหนือกว่าเมโซเรย์อาแบบคนละมิติ เทียบได้ราวกับเป็นผู้ใหญ่กับเด็กเลยทีเดียว
. การ์ฟีลเป็นคนร้องขอว่าอยากขึ้นมาพบ [มังกรเทพ] วอลคานิก้าให้ได้สักครั้ง สุบารุกับเบียทริซจึงสละเวลาติดตามมาเป็นเพื่อน
โดยสุบารุเปรียบเทียบความรู้สึกของการ์ฟีลว่าคงคล้ายกับ “แฟน” ที่ได้รู้ว่าคนดังที่ตนชื่นชอบมาพักอยู่ชั้นบนของที่พักเดียวกัน แม้ว่าเจ้ามังกรจะแก่จนสติเลอะเลือนไปแล้วก็ตาม
นอกเหนือจากการ์ฟีลแล้ว สุบารุเองก็พึ่งมีโอกาสได้เห็นวอลคานิก้าเป็นครั้งแรก เขายังทำใจเชื่อแทบไม่ลงว่าเอมิเลียเคยสู้กับมังกรตัวนี้มาแล้ว
ช่วงก่อนที่สุบารุจะบินหายไปโผล่ที่จักรวรรดิ พวกพ้องแต่ละคนต้องรับศึกหนักแบบเสี่ยงตายกันทั้งนั้น การ์ฟีลเองก็แอบเสียใจที่ไม่ได้อยู่เป็นกำลังให้สุบารุในตอนนั้น
สุดท้ายการที่สุบารุถูกส่งไปจักรวรรดิน่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว เพราะเขาและพวกพ้องได้ช่วยกอบกู้วอลลาเคียเอาไว้ แม้ว่ามันจะจบไม่ค่อยดีต่อฝ่ายพริสซิลล่านักก็ตาม
การได้พบกับวอลคานิก้าทำให้การ์ฟีลตระหนักรู้อีกครั้งว่าเพดานของตัวตนที่แข็งแกร่งมันอยู่สูงแค่ไหน กระนั้นเขาก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไต่เต้าไปยังระดับนั้น
. เอซโซ่ตามมาสมทบกับทั้งสามและชื่นชมความสุดยอดของวอลคานิก้าโดยทันที สุบารุแอบเห็นพ้องกับเขา เพราะ “ดราก้อนไรเดอร์” คือความใฝ่ฝันของเด็กผู้ชายในโลกเก่าอยู่แล้ว
การ์ฟีลตื่นเต้นกับคำศัพท์ “ดราก้อนไรเดอร์” ด้วยความเบียวตามวัย สุบารุจึงต้องขยายความว่ามันคล้ายกับ [นักขี่มกรบิน] ของจักรวรรดินั่นแหละ
เอซโซ่: งั้นเหรอ กะว่าจะชวนถกเรื่องความสำคัญของตัวตนของ [มังกรเทพ] ในเชิงประวัติศาสตร์และวิชาการอยู่หรอก แต่เรื่องนั้นไว้ทีหลังก็แล้วกัน ――เอาล่ะ ท่านนัตสึกิ อธิบายเรื่องคลังสมุดให้ท่านอัลฟังเรียบร้อยตามที่ขอแล้ว ตอนนี้คุณหญิงแฟรมกำลังจับตาดูอยู่ข้างๆ
สุบารุ: ขอบใจนะ ช่วยได้มากเลย ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับแฟรมจังดีๆ เลยแฮะ สบายใจได้ไหมเนี่ย?
เอซโซ่: อย่าได้กังวลไปเลย เธอมีนิสัยแบบที่หากไม่ชอบอะไรก็จะบอกตรงๆ ว่าไม่ชอบเลยน่ะ ในฐานะคนรับใช้มันก็แอบน่ากังวลที่พูดบ่อยไปหน่อยอยู่หรอก…
เบียทริซ: พอดีว่าคุ้นชินกับเมดที่พูดจาขวานผ่าซากเวลาที่ไม่ชอบอะไรอยู่แล้วย่ะ
การ์ฟีลเห็นพ้องกับเบียทริซว่านิสัยด้านนั้นของแฟรมทำให้ชวนนึกถึงหญิงสาวคนที่เขารัก ในด้านความแข็งแกร่งก็น่าจะพึ่งพาได้คล้ายกัน
. เอซโซ่เล่าว่าแฟรมมีน้องสาวฝาแฝดชื่อ “กราซิส” ที่ทั้งหน้าตาและนิสัยคล้ายกันอยู่ด้วย สุบารุจึงถือโอกาสถามว่าเอซโซ่มาเข้าร่วมฝ่ายเฟลท์ได้ยังไง
เอซโซ่: ครั้งหนึ่ง เคยติดหนี้บุญคุณต่อคุณหญิงเฟลท์และท่านไรน์ฮาร์ดน่ะ คงจะสนใจเพราะสายสัมพันธ์ที่มีในตอนนั้นและถูกเลือกมาในที่สุดก็ว่าได้ล่ะนะ
สุบารุ: ถ้างั้นก็แสดงว่าเจอของดีนะเนี่ย เหมือนกับออตโต้ของทางเราเลย
ดูเหมือนว่าบุคลากรคนขยันและมากความสามารถประจำฝ่ายจะมีเอกลักษณ์เป็นสีเขียวทั้งคู่ คนหนึ่งสีชุด อีกคนเป็นสีผม การ์ฟีลคิดเรื่องนั้นแล้วแอบขำเบาๆ
การ์ฟีลขอให้เอซโซ่เลิกเติมคำว่า “ท่าน” เวลาเรียกเขาเพราะมันรู้สึกทะแม่งๆ เอซโซ่จึงเปลี่ยนไปเรียกว่า “การ์ฟีลคุง”แทน
ที่จริงเอซโซ่เคยพบกับการ์ฟีลและออตโตมาก่อนแล้วตอนที่เกิด [อุบัติการณ์พริสเทล่า] โดยเฟลท์ได้เรียกตัวเอซโซ่มาช่วยเก็บกวาดงานหลังลัทธิแม่มดล่าถอยไป
เหตุการณ์นั้นคือช่วงเดียวกับตอนที่พวกสุบารุไปถึงหอสังเกตการณ์เพลอาเดสรอบแรก โดยหน่วยเก็บกู้ที่มีเมมเบอร์เป็นการ์ฟีล เอซโซ่ ริคาร์โด้ และลิเลียน่าได้นำ [อัฐิของแม่มด] ออกมาจากใต้เมืองได้สำเร็จ
การมีจอมเวทระดับรอสวาลอยู่ใกล้ตัวทำให้การ์ฟีลมักเผลอประเมินฝีมือเอซโซ่ต่ำเกินควร ทั้งที่จริงๆ แล้วเอซโซ่ถือว่าเป็นจอมเวทที่ยอดเยี่ยมและเป็นงาน
. เอซโซ่: ――เอาล่ะ การกระชับความสัมพันธ์แบบนี้มันก็ไม่เลวอยู่หรอก แต่มาถกเรื่องประเด็นหลักกันก่อนดีกว่า เรื่องของท่านอัลที่แฟรมกำลังจับตาดูอยู่น่ะ
สุบารุ: ――เรื่องของอัลเหรอ
เอซโซ่: ใช่แล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราต้องยืนยันให้ได้… กำลังสงสัยอยู่ว่าเป้าหมายของท่านอัลอาจจะเป็นการคืนชีพท่านพริสซิลล่า บาริเอลก็เป็นได้ คิดว่าไงกันบ้าง?
สุบารุ: …ห๊ะ!?
การ์ฟีล: เหอ?
จู่ๆ เอซโซ่ก็เปิดประเด็นที่สุดโต่งจนสองหนุ่มเหวอ ส่วนเบียทริซนั้นบ่นว่าเธอไม่อยากเจอกับ [สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ] อีกแล้ว
เอซโซ่: พอได้ยินเกี่ยวกับเรื่องทางจักรวรรดิมาบ้างล่ะนะ ศาสตร์ต้องห้ามที่เรียกว่า [สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ] มันน่าสนใจเป็นอย่างมากก็จริง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่ในตอนนี้หรอก ที่น่ากังวลคือวิธีการที่ท่านนัตสึกิบังเอิญพูดถึงแบบติดตลกก่อนหน้านี้ต่างหาก
สุบารุ: …ที่ชั้นพูดติดตลกเหรอ?
เอซโซ่: ――การคืนชีพผู้วายชนม์แบบเทียมด้วยการอ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ของท่านพริสซิลล่า บาริเอล เพื่อเขียนทับตัวตนของตนเองยังไงล่ะ
สุบารุแสดงสีหน้าตื่นตระหนักและเหงื่อไหลท่วมทันทีที่ได้ฟังทฤษฎีการคืนชีพเทียมของเอซโซ่ การ์ฟีลจึงเชื่อมั่นว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แน่นอน
. เอซโซ่เคยอ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ไปทั้งหมด 12 เล่มแล้ว และประสบการณ์ล้มเหลวรอบแรกสุดทำให้เขาเชื่อว่าการถูกเขียนทับจิตใจอาจจะพอเป็นไปได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้อ่านคัมภีร์ตั้งใจที่จะเป็นฝ่าย “หายไป” ตั้งแต่แรกและอ้าแขนยอมรับให้ตัวตนจากคัมภีร์ฝังรากลงไปยึดครองจิตใจอย่างสมบูรณ์
การ์ฟีลคัดค้านทฤษฎีของเอซโซ่ว่ามันไม่ใช่การคืนชีพที่แท้จริง เพราะว่า “ดวงจิต” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญขาดหายไป สิ่งที่อยู่ในหนังสือเป็นแค่ “ความทรงจำ” และ “ข้อมูล”
เอซโซ่: อื้ม ฉันเห็นด้วยกับการ์ฟีลคุง
การ์ฟีล: …อ้าว?
สรุปแล้วเอซโซ่มองว่าวิธีการนี้มิใช่การคืนชีพอย่างแท้จริงเช่นกัน มันเป็นแค่การสร้างตัวตนใหม่ที่มีความทรงจำ ประสบการณ์ และความคิดความอ่านของผู้ล่วงลับขึ้นมาเท่านั้น
ประเด็นคือตัวอัลอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะงั้นหากเขาอยากที่จะคืนชีพพริสซิลล่าด้วยวิธีการดังกล่าว ความปรารถนาของเขาก็จะไม่สมหวัง
. สุบารุ: โง่รึไร ชั้นเนี่ย ไม่สิ โง่ชะมัดเลย ตัวชั้นเนี่ย
สุบารุกล่าวโทษตัวเองที่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้นี้ เขานึกว่าอัลแค่อยากรับรู้ความนึกคิดสุดท้ายของพริสซิลล่า ทึกทักเอาเองว่าการได้อ่านคัมภีร์จะช่วยเยียวยาอัลได้
สุบารุพยายามทำร้ายตัวเองด้วยการชกศีรษะ แต่การ์ฟีลรีบคว้ามือห้ามไว้ก่อน เพราะเขารู้จากประสบการณ์ว่าการลงโทษตนเองเช่นนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เอซโซ่ปลอบใจสุบารุว่าเขาไม่ได้ผิดเลย และมันยังไม่แน่ชัดว่าจุดประสงค์ของอัลคือการคืนชีพเทียมแบบที่ว่าจริงไหม สุบารุที่ใจเย็นลงจึงขอโทษการ์ฟีล
ถ้าหากว่าอัลไม่ได้คิดถึงการคืนชีพเทียมเลย การไปตื้อถามเขาในประเด็นนั้นอาจกลายเป็นการผลักดันเจ้าตัวแทน แต่เพื่อความปลอดภัย พวกเขาก็ไม่ควรปล่อยอัลทำตามใจชอบเช่นกัน
การ์ฟีลกังวลว่าพวกเขาอาจจะจับตาดูอัลได้ไม่ตลอดเวลา เอซโซ่จึงเสนอทางเลือกในการหาคัมภีร์ของพริสซิลล่าให้เจอก่อนอัลเพื่อความได้เปรียบ
ทว่า สุบารุก็ไม่อยากให้เกิดสถานการณ์ที่ต้องสู้กันเพื่อแย่งคัมภีร์
. การ์ฟีลเริ่มรู้สึกชิงชังหอสังเกตการณ์เพลอาเดสขึ้นมา เขาเริ่มกังขาว่าสถานที่แห่งนี้กักเก็บ [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ที่ทำให้ผู้คนหลงผิดและเจ็บปวดไปเพื่ออะไรกัน
ปัจจุบันอัลก็กำลังค้นหาหนังสือดังกล่าวอยู่โดยที่มี “แฟรม” คอยจับตาดูอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งทำให้เบียทริซกังวลอยู่ไม่น้อย
เอซโซ่เสริมว่าแฟรมมาจากตระกูลที่เป็นข้ารับใช้ของตระกูลแอสเทรอามาหลายชั่วอายุคน เธอแข็งแกร่งผิดจากรูปลักษณ์ที่เห็น ตัวเขาเองก็คงสู้ไม่ไหวหากไม่มีเวทมนตร์
เพียงแค่ท่ายืนอย่างเดียวก็ทำให้การ์ฟีลรู้แล้วว่าแฟรมไม่ธรรมดา ถึงจะไม่ได้เก่งกาจเท่ารัม แต่ฝีมือน่าจะพึ่งพาได้ระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
เอซโซ่: ไม่แน่ว่าท่านอัลอาจจะยอมสละเรื่องกินและนอนทิ้งเพื่อตามหาหนังสือก็เป็นได้ อยากเสนอให้พวกเราแยกกลุ่มกันเพื่อช่วยตามหาด้วยอยู่หรอก… ว่าแต่ระยะเวลาที่กะจะพักอยู่ที่หอคอยล่ะ?
สุบารุ: ――กำหนดการคือสามวันน่ะ อัลเองก็รู้เรื่องนั้นดีเหมือนกัน
หลังผ่านไป 3 วัน หากว่าพวกเขายังหา [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ของพริสซิลล่าไม่พบ อัลก็จะยอมกลับไปยังอาณาเขตบาริเอลเพื่อคอยอยู่เคียงข้างชูลท์แต่โดยดี
ก่อนที่จะถึงตอนนั้น การ์ฟีลตั้งใจจะช่วยให้อัลสามารถกลับมายืนหยัดด้วยตนเองให้จงได้ เพราะเขาแบกรับความคาดหวังจากเอมิเลีย เฟรเดริก้า ออตโต้ รัม เรม และรอสวาลเอาไว้
[วอลคานิก้า: ――เจ้า ผู้มาถึงยอดสูงสุดของหอคอย จงก้าวมาสู่ชั้นแรกเสีย ผู้เข้ารับการทดสอบผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย]
ในระหว่างนั้น [มังกรเทพ] ก็ยังคงพูดซ้ำประโยคเดิมๆ และจดจ้องไปยังสถานที่อันคลุมเครือที่มิอาจล่วงรู้ได้เหมือนเคย
. จบตอน