ย้อนไปก่อนหน้าเล็กน้อย ตอนที่คลินด์กล่าวยินดีที่สุบารุกลับมาจากจักรวรรดิได้อย่างปลอดภัย แววตาของคลินด์บ่งบอกว่าเขาโล่งใจจริงๆ แม้ว่าปกติเจ้าตัวจะค่อนข้างรักษาระยะห่างจากผู้อื่น
คลินด์คือบุคคลที่สุบารุเรียกว่าเป็น “อาจารย์” ได้เต็มปาก เพราะเขาช่วยสอนทั้งการฝึกร่างกาย การใช้แส้ การเอาตัวรอด จนสุบารุแกร่งขึ้่นมาเท่าในปัจจุบัน
สุบารุอยากขอโทษคลินด์เรื่องที่ทำให้เขาต้องลำบาก แต่คลินด์ช่วยย้ำเตือนถึงคติประจำฝ่ายที่เอมิเลียยึดถือ ซึ่งก็คือให้เน้นการพูด “ขอบคุณ” แทนที่จะ “ขอโทษ”
คลินด์: จะว่าไปแล้ว จดหมายนกที่ได้รับก่อนหน้านี้แจ้งว่าเฟรเดริก้าจะมาด้วยกันนี่ครับ แต่ไม่ยักจะเห็นตัวหล่อนที่สูงชะลูดเตะตาขนาดนั้นเลยนะขอรับ “ยืนยัน”
สุบารุ: หืม? อา จริงด้วยสิ เดิมทีเฟรเดริก้าก็ควรจะมาด้วยอยู่หรอก แต่เกิดเปลี่ยนแผนกลางคัน เลยต้องติดตามรอสวาลไปแทน
ปัจจุบันสมาชิกฝ่ายเอมิเลียนอกเหนือจากกลุ่มสุบารุได้แยกแยะกันไปทำภารกิจตามที่ต่างๆ เอมิเลียกับออตโต้ไปที่นครหลวงเพื่อรายงานเหตุการณ์ในจักรวรรดิ
รัมอยู่ช่วยเรมรื้อฟื้น [ความทรงจำ] ที่คฤหาสน์ ส่วนรอสวาลกับเฟรเดริก้าก็เดินทางไปยังอาณาเขตบาริเอลทางตอนใต้ของราชอาณาจักร
. ทั้ง “พริสซิลล่า บาริเอล” และ “ไรป์ บาริเอล” ที่เป็นผู้ปกครองอาณาเขตต่างก็เสียชีวิตไปแล้ว เอมิเลียจึงส่งพวกรอสวาลไปที่นั่นเพื่อช่วย “ชูลท์” รับมือความวุ่นวายที่จะตามมา
เบียทริซไม่ค่อยไว้ใจให้รอสวาลไปคนเดียว การมีเฟรเดริก้าติดตามไปด้วยจึงทำให้อุ่นใจขึ้นเยอะ ส่วนสุบารุค่อนข้างพึงพอใจที่รอสวาลตอบรับคำขอของเอมิเลียในคราวนี้
จริงอยู่ว่ารอสวาลอาจจะว่าง่ายเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่อย่างน้อยมันก็น่าไว้วางใจกว่าการปล่อยให้คนอื่นฉวยโอกาสจากความตายของพริสซิลล่า
สุบารุแอบขอบคุณรอสวาลในใจที่เขาไม่แผดเผาทุกสิ่งให้วอดวายเพื่อบังคับให้สุบารุใช้อำนาจตามที่เคยพูดไว้ ทั้งที่สุบารุล้มเหลวในการรักษาชีวิตคนที่สำคัญอย่างพริสซิลล่า
มีความเป็นไปได้สองอย่างคือรอสวาลเปลี่ยนใจเรื่องนั้นไปแล้ว หรือไม่ก็พริสซิลล่ามิใช่บุคคลที่สำคัญต่อสุบารุมากพอในมุมมองของรอสวาล
สุบารุ: เอาเถอะ เพราะงั้นแหละเฟรเดริก้าถึงได้อยู่กับทางฝั่งรอสวาลน่ะ ถ้าคุณคลินด์อยากเห็นหน้าเธอล่ะก็ แค่เหาะเฟี้ยวฟ้าวไปทางนั้นก็พอนี่…
คลินด์: น่าเสียดาย แต่ว่ามนตร์เคลื่อนย้ายของกระผมไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้นหรอกขอรับ “เงื่อนไข” แล้วไหนจะเรื่องการใช้มันเพียงเพื่อไปพบเฟรเดริก้าอีกต่างหาก “ปฏิเสธ” แต่ว่า ――แอบกังวลที่กำหนดการตั้งต้นเปลี่ยนไปอยู่เหมือนกันน่ะครับ “เรื่องเล็กน้อย”
สุบารุเข้าใจความกังวลของคลินด์ แต่ถ้าหากเฟรเดริก้าไม่ได้ไปกับรอสวาล เพทร่าก็คงกลายเป็นคนที่ต้องไปแทน การแบ่งกลุ่มในปัจจุบันจึงลงตัวที่สุดแล้ว
สุบารุนับคลินด์เป็นพวกพ้องคนสำคัญที่เป็นโอชิของเอมิเลียเหมือนกัน แม้จะแอบเห็นต่างตรงที่สุบารุชื่นชอบพัฒนาการอันรวดเร็วของเอมิเลีย ส่วนคลินด์ชอบเฝ้าดูเธอเติบโตอย่างช้าๆ มากกว่า
คลินด์คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมและลำบากใจว่าเขาควรอยู่ช่วยพวกสุบารุแทนที่เฟรเดริก้าดีไหม แต่สุบารุมองออกว่าเขากำลังเป็นห่วงแอนเนโรเซ่อยู่
สุบารุ: ――ไม่เป็นไรหรอก คุณคลินด์ การ์ฟีลก็อยู่ด้วย เพทร่าเองก็น่าพึ่งพาขึ้นเรื่อยๆ กลับไปอยู่เคียงข้างแอนเนโรเซ่ให้สบายใจเถอะ
. ตัดกลับมาปัจจุบัน พวกสุบารุบุกฝ่าเนินทรายออกุเลียมาถึงหอคอยได้สำเร็จอย่างง่ายด้วยฝีมือของเมลี่
การ์ฟีลตัดพ้อที่ตัวเขาแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่สุบารุนั้นโล่งใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาดันปฏิเสธความช่วยเหลือจากคลินด์ไปแล้ว
เมลี่เหน็บการ์ฟีลที่เขาพูดจาเหมือนอดแสดงฝีมือเพราะตัวเธอ เพทร่าจึงออกปากขอโทษการ์ฟีลแทนและตักเตือนเมลี่จนหงอ
อาจจะฟังดูแปลกที่เมลี่เป็นฝ่ายกลัวเพทร่า แต่ที่จริงก็ไม่ใช่แค่เมลี่เท่านั้น ในฝ่ายเอมิเลียแทบไม่ค่อยมีใครเถียงชนะเพทร่าได้เลย ยกเว้นแค่เอมิเลียกับรัม
การกลับมาถึงหอสังเกตการณ์เพลอาเดสทำให้หัวใจของสุบารุปวดร้าว เพราะที่นี่คือสถานที่ที่เขาสูญเสีย “ชอล่า” บุคคลแรกที่สุบารุมิอาจใช้ [ตายแล้วกลับมา] ช่วยไว้ได้
การสูญเสียพริสซิลล่าเพิ่มอีกคนเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า [ตายแล้วกลับมา] มิใช่พลังไร้เทียมทานที่แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง สุบารุจึงไม่อยากสัมผัสประสบการณ์นั้นอีก
. ปัจจุบันฝุ่นทรายรอบหอคอยมีความแน่นหนาน้อยลง พวกสุบารุจึงสามารถมองเห็นหอสังเกตการณ์เพลอาเดสได้ตั้งแต่ที่เมืองมิรูล่า
แถมในเมื่อรู้ความลับเรื่องการบิดเบือนมิติของ [ห้วงเวลาทราย] แล้ว คราวนี้พวกสุบารุจึงใช้มันเข้าสู่หอคอยได้อย่างง่ายดาย
ที่จริงตอนฝ่าห้วงเวลาทราย การ์ฟีลก็มีผลงานช่วยเฝ้าระวังไม่ให้ล้อรถมกรไปติดหินหรือหล่มด้วยซ้ำ แต่พอไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อแก้ปัญหา เจ้าตัวก็ดันซึมเสียอย่างงั้น
สุบารุยกความดีความชอบให้แก่เมลี่ การ์ฟีล และพาทรัชในฐานะผู้มีส่วนช่วยเหลือในการเดินทางรอบนี้มากที่สุด เมื่อจบภารกิจแล้ว สุบารุกะจะตอบแทนพาทรัชด้วยการพาเธอไปปิกนิกและแปรงขน
อัล: ที่นี่เองเรอะ
ระหว่างนั้นอัลก็ลงจากรถมกรมาจ้องมองหอสังเกตการณ์เพลอาเดสซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทางอยู่เงียบๆ
อัลพยายามเก็บซ่อนความเศร้าซึม ส่วนสุบารุก็พยายามเก็บซ่อนความเป็นห่วงไม่ให้อีกฝ่ายลำบากใจ ต่างคนจึงต่างทำเป็นเข้มแบบไม่แนบเนียนนัก
เบียทริซ: ไม่มีใครที่มองว่านายเป็นผู้ชายที่น่าสมเพชตลอดเวลาหรอกย่ะ ไม่ว่าใครก็ต่างมีช่วงเวลาที่เงยหน้าไม่ขึ้นกันทั้งนั้นกระมัง สิ่งสำคัญคือการสำนึกตัวเองให้ได้ต่างหากย่ะ
อัล: …ไม่ไหวๆ เป็นการปลอบประโลมที่ชวนอุ่นใจซะเหลือเกิน ขอบใจนะ เบียโกะจัง
เบียทริซ: ――วิธีเรียกแบบนั้นน่ะ ยอมให้ใช้ได้แค่สุบารุแค่กระมัง ครั้งหน้าก็ระวังปากด้วยนะยะ
. อัล: ――ขอบคุณนะ พี่น้อง
ระหว่างที่สุบารุกำลังเดินไปรวมตัวกับพวกการ์ฟีลที่หน้าประตูทางเข้า อัลก็ทักขึ้นเช่นนั้นจากข้างหลัง สุบารุจึงโบกมือให้โดยไม่หันไปมอง
ไม่ว่าพวกเขาจะหา [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ของพริสซิลล่าเจอไหม อย่างน้อยสุบารุก็มั่นใจแล้วว่าความเป็นห่วงที่เขามีต่ออัลนั้นมิได้สูญเปล่าเลย
ปัจจุบันเมลี่เดินทางไปกลับหอคอยมา 3 รอบแล้ว แถมน่าจะมีโอกาสได้เดินทางมาอีกหลายรอบในอนาคต เธอจึงอาจจะกลายเป็นบุคคลที่ได้แวะมาที่หอสังเกตการณ์เพลอาเดสบ่อยที่สุดในโลกก็ได้
ประตูทางเข้าของหอคอยจำเป็นต้องใช้พละกำลังในการเปิด ซึ่งในรอบก่อนๆ คนที่เปิดมันคือชอล่า เอมิเลีย และไรน์ฮาร์ดตามลำดับ
การ์ฟีล: ใช้แรงเปิดงั้นเรอะ!?
เมลี่พยายามจะเล่าเหตุการณ์ตอนที่เธอมาเยี่ยมหอคอยรอบก่อน แต่การ์ฟีลที่กำลังตื่นเต้นสุดขีดดักคอเธอว่าไว้ค่อยเล่าทีหลังก็ได้
แต่ก่อนที่การ์ฟีลจะทันได้แสดงฝีมือ ประตูหินบานใหญ่ก็เปิดออกเองช้าๆ โดยที่เขายังไม่ทันได้แตะมันเลยด้วยซ้ำ แถมยังมีเสียงของชายผู้เปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจดังมาจากอีกฝาก
??: ――เป็นไงบ้าง แปลกใจไหม? ในเมื่อจากนี้ไปจะมีผู้คนอีกมากมายเดินทางมาที่หอคอย ก็เลยคิดค้นสูตรอาคมที่ช่วยชำระล้างไอพิษรอบๆ เนินทรายออกุเลียขึ้นมาน่ะ
เจ้าของเสียงเป็นชายร่างเตี้ยเผ่าคนแคระผมสีเขียวที่สวมผ้าคลุมสีดำ ซึ่งมีเด็กสาวผมสีชมพูที่ส่วนสูงพอๆ กันเดินตามหลังมาด้วย
เอซโซ่: แม้จะน้อยนิด แต่มันคือกลไกการเชื่อมต่อกับประตูด้วยการร่ายมานาจำนวนหนึ่งให้ไหลเข้าไปในวงเวทล่ะ ผลลัพธ์ก็คือหอคอยไร้สมรรถภาพที่เข้าออกได้ยากลำบากได้รับการแก้ไขตั้งแต่ที่ทางเข้าเลย! กลไกอันนี้ขอตั้งชื่อให้ว่า “ประตูเหนี่ยวนำคาถาอาคมประสิทธิภาพสูง”
แฟรม: ――ในเมื่อมันเปิดแบบอัตโนมัติ เรียก “ประตูอัตโนมัติ” สิคะ
เอซโซ่: ชะอ้าว!? ท่านแฟรม! ต้องให้บอกสักกี่ครั้งกันเนี่ย นี่คือเทคโนโลยีใหม่ที่ทั้งเรียบง่ายและสะดวกสบายอย่างน่าฉงน ซึ่งสักวันหนึ่งน่าจะมีประโยชน์ต่อการใช้งานกับอาคารสถานที่มากมายเชียวนะ เพราะอย่างนั้น เลยจำเป็นที่จะต้องมีการตั้งชื่อให้เหมาะสม…
แฟรม: แต่ว่านั่นมันทั้งพูดยากและจำยากเลยนี่คะ “ประตูอัตโนมัติ” ดีกว่า
เอซโซ่: …เรียบง่ายเกินไปไหม!
. สุบารุมึนงงกับคนแปลกหน้าทั้งสองที่มัวแต่เถียงกันแทนที่จะต้อนรับแขก เมลี่จึงแนะนำตัวให้ว่าสองคนนี้คือ “อาจารย์” และ “แฟรมจัง”
ทั้งคู่คือสมาชิกฝ่ายเฟลท์ซึ่งประจำการอยู่ที่หอสังเกตการณ์เพลอาเดสเพื่อคุ้มกันและเป็นคนกลางประสานงาน
เอซโซ่: อุก นั่นมันท่านการ์ฟีลนี่นา! ไม่ได้เจอกันเสียนาน ตั้งแต่ที่พริสเทล่าเลยนะ! หวังว่าจะสบายดีนะ นี่ “เอซโซ่ คาโด” ไงครับ
“เอซโซ่ คาโดน่า” จอมเวทผู้เป็นมันสมองของฝ่ายเฟลท์ตามข่าวลือที่สุบารุเคยได้ยินมากล่าวแนะนำตัวและทักทายการ์ฟีล แต่อีกฝ่ายกลับออกอาการจ๋อยไม่โต้ตอบ
การ์ฟีล: เมื่อไหร่..จะถึงตาตูข้าแสดงฝีมือสักที… โฮก…
. หลังได้รู้ข่าวเรื่องการจากไปของพริสซิลล่า เอซโซ่ก็ไว้อาลัยเธออย่างเงียบงัน แม้ภายนอกจะรูปร่างเหมือนเด็ก แต่เขาก็เป็นชายผู้มีภูมิฐานและเฉลียวฉลาดน่าดู
เอซโซ่แสดงความเสียใจต่ออัล แม้จะไม่ได้รู้จักพริสซิลล่าโดยตรง แต่เขาก็พอทราบจากเฟลท์ว่าเธอคนนั้นเป็นคู่แข่งผู้เที่ยงธรรมและความสามารถล้นเหลือ
สิ่งที่เอมิเลียนำไปรายงานที่นครหลวงคงจะทำให้การคัดสรรกษัตริย์ต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน แต่สุบารุก็ทอดทิ้งอัลไว้คนเดียวไม่ได้ เขาจึงจำใจต้องยอมแยกห่างจากเธอไว้ก่อน
เอซโซ่เข้าใจความรู้สึกของสุบารุ เพราะไรน์ฮาร์ดเองก็แทบไม่อยากอยู่ห่างกายเฟลท์เช่นกัน สุบารุสงสัยว่าไรน์ฮาร์ดอาจจะแอบชื่นชอบสีหน้าไม่พอใจของเฟลท์ก็เป็นได้
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางการพูดของเอซโซ่ทำให้ผู้ฟังคล้อยตามง่ายเป็นอย่างมาก สุบารุจึงไม่แปลกใจเลยที่เมลี่เรียกเขาว่า “อาจารย์”
. ที่จริงสุบารุก็อยากพัก แต่ในเมื่อมาถึงที่แล้ว เขาก็อยากขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสามของหอคอย เพื่อไปยังหอสมุด [ไทเกต้า] โดยทันที ทว่า เอซโซ่มีเรื่องที่อยากยืนยันจากอัลก่อน
เอซโซ่: เมื่อครู่นี้ ฉันบอกว่าไม่ได้รู้จักกับท่านพริสซิลล่าเป็นการส่วนตัวก็จริง แต่เท่าที่ได้ฟังจากบุคลิก ท่านพริสซิลล่าอาจจะไม่ได้อยากให้นายอ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ของเธอก็ได้นะ จริงไหม? ถึงกระนั้นแล้ว นายก็ยังอยากอ่านคัมภีร์ของเจ้านายอยู่อีกงั้นเหรอ?
อัล: …
สุบารุ: คุณเอซโซ่ แบบนั้นมัน…
เอซโซ่: เงียบก่อน ท่านนัตสึกิ ฉันกำลังถามท่านอัลอยู่ นี่เป็นเรื่องสำคัญ
ปลายนิ้วที่เอซโซ่ชูขึ้นมาเปล่งแสงอย่างเบาบาง ซึ่งส่งผลให้ “เสียง” ของสุบารุถูกช่วงชิงหายไปจากลำคอโดยทันที
เอซโซ่เอ่ยต่อว่าทุกคนต่างมีประสบการณ์สูญเสียคนสำคัญ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหาทางออกด้วยการอ่านคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์ของบุคคลนั้นๆ
อัล: นายพูดถูกแล้วล่ะครับ ท่านเอซโซ่ บางคนเขาก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เองหลังคนใกล้ตัวตายจากไปอย่างที่นายบอก ไม่จำเป็นต้องยืมพลังจากหนังสือเลยด้วยซ้ำ
เอซโซ่: ยินดีที่เราเห็นพ้องกัน ทว่า ยังมีเรื่องที่จะพูดต่ออยู่อีกสินะ
อัล: มีแน่นอนครับ มีอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่นายพูดถูก ท่านหญิงน่ะ ――พริสซิลล่าน่ะ ไม่อยากให้ใครอ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ของตัวเองหรอก …แต่ว่า เธอตายไปแล้ว
การที่อัลยอมรับความตายของพริสซิลล่าโดยตรงทำให้สุบารุเจ็บปวดราวกับถูกมีดปาด แถมเลือดยังไหลทะลักออกร่างจนตัวเย็น
อัล: พริสซิลล่าน่ะตายไปแล้วล่ะ ――จะมาห้ามไม่ให้ชั้นทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
เอซโซ่: ――งั้นเหรอ
การสูญเสียดวงตะวันนามว่า “พริสซิลล่า” ทำให้หัวใจของอัลเยือกเย็นเพราะขาดเปลวเพลิงที่เคยมีอยู่
. สรุปแล้ว ทั้งหมดนั่นคือการทดสอบของเอซโซ่เพื่อวัดระดับการเตรียมใจของอัล ถ้าหากว่าอัลแสดงความลังเลออกมา เอซโซ่ก็จะไม่ยอมให้เขาไปที่หอสมุด
แต่ในเมื่อเจ้าตัวไร้ความลังเล เอซโซ่ที่พึงพอใจในคำตอบจึงกล่าวขอโทษอัลและดีดนิ้วเพื่อคืนเสียงให้แก่สุบารุ
สิ่งที่เอซโซ่ใช้อาจจะดูคล้ายเวทเงา แต่แท้จริงแล้วมันคือเวทตะวันที่เปลี่ยนเสียงของสุบารุให้แหลมสูงคล้ายค้างคาวจนมนุษย์คนอื่นไม่ได้ยิน
ปัจจุบันเอซโซ่ได้อ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ไปหลายเล่มแล้ว เขามองว่าหากตนเองตายจากไป ก็อยากให้คนอื่นได้อ่านคัมภีร์ของตนเพื่อนำความรู้ที่เขาสั่งสมมาไปเป็นรากฐานในการพัฒนาอนาคตต่อไป
เอซโซ่เปลี่ยนท่าทีกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนตอนที่เปิดบานประตูออกมาครั้งแรก หลังไปอยู่จักรวรรดิมาเสียนาน สุบารุอุ่นใจที่ไม่ต้องคอยระแวงคนแปลกหน้าบ้างเสียที
ว่าแล้วเอซโซ่จึงอาสานำทางพวกสุบารุไปสู่ [ไทเกต้า] หอสมุดใหญ่เพลอาเดส สถานที่เก็บรวบรวม [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้
. จบตอน