ณ ห้องแห่งหนึ่งบนชั้น 4 เพทร่าที่กำลังเตรียมอาหารสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดภายในกลุ่มที่กำลังวุ่นอยู่กับการค้นหาหนังสือหลังมาถึงหอสังเกตการณ์ได้เพียงครึ่งวัน
เมลี่ที่อยู่ด้วยกันใช้ช้อนตักอาหารมาชิมและชมว่าฝีมือของเพทร่าพัฒนาขึ้นอีกแล้ว แต่ฝั่งเพทร่ามองว่าเธอยังต่างชั้นจากเฟรเดริก้าอยู่มาก แถม “เรม” ที่เป็นคู่แข่งตัวฉกาจดันฟื้นแล้วอีก
เมลี่มองว่าเพทร่าคิดมากเกินไป เพราะเรมไม่มีความจำอะไรเลย แต่เพทร่าระแวงว่าหากเรมเคยตกหลุมรักสุบารุมาแล้วครั้งหนึ่ง การจะตกหลุมรักอีกรอบก็คงไม่แปลก
ในฐานะคนที่เคยช่วยดูแลตอนที่ยังไม่ฟื้น เพทร่ารู้ดีว่าสุบารุกับรัมห่วงใยเรมมากแค่ไหน เธอจึงดีใจที่เรมตื่นขึ้นมา แต่ก็มองเรมเป็นศัตรูหัวใจด้วยเช่นกัน
ความสัมพันธ์ของสุบารุกับเรมในปัจจุบันค่อนข้างซับซ้อน ภายนอกเรมจะมีท่าทีที่เย็นชาและใจร้ายต่อสุบารุ แต่เพทร่าก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างทะแม่งๆ อยู่
เมลี่: หืม งั้นเหรอค้า? แต่ว่า พี่ชายเขาก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วแหละน้า ไม่ว่าทางนี้จะมองตาขวางใส่สักแค่ไหน ก็ยังทำตัวบ้าบอได้เสมอเลยค่า
เพทร่า: ใช่ๆ ถูกเผงเลย ฉันเอง ตอนแรกก็คิดว่าสุบารุเป็นพวกแปลกคนอยู่เหมือนกัน… ว่าแต่ที่เมลี่จังพูดมาเมื่อกี้มันแอบน่าสงสัยอยู่นะเนี่ย?
เมลี่: พอเลยค่า ขี้ระแวงเกินไปแล้ว
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รู้จักและเห็นด้านดีของสุบารุ ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกพิเศษขึ้นมา แต่พอถูกเมลี่แลบลิ้นใส่ด้วยสีหน้าเอือมระอา เพทร่าก็ยอมลดความสงสัยลง
เพทร่า: กระทั่งที่จักรวรรดิ ตอนที่พวกเราไม่อยู่ด้วย ก็ยังอุตส่าห์ตีสนิทกับผู้คนได้อีกมากมาย… จำนวนคนที่ชอบสุบารุคงเพิ่มมาเป็นประมาณพันคนแล้วล่ะ
เมลี่: เว่อร์เกินไปแล้วค่า ไม่ว่ายังไงพันคนมันก็ออกจะ…
เพทร่า: เพิ่มขึ้นอยู่แล้วน่า ถึงจะโล่งใจที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายก็เถอะ แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด
. พอพ้นสายตาเพทร่าไปหน่อย สุบารุก็มักจะทุ่มเทสุดตัวเพื่อช่วยคนอื่นที่ตกที่นั่งลำบากจนหัวใจตนเองต้องปวดร้าวไปด้วยอยู่เสมอ
ตราบใดที่สุบารุยังไม่ยอมพักผ่อนบ้าง เพทร่าก็ยังไม่อยากบ่นว่าเหนื่อยเหมือนกัน เธอจึงช่วยทั้งทำอาหารและสอนเมลี่ให้ปรับตัวเข้ากับสมาชิกฝ่ายคนอื่น
อีกคนที่เพทร่ากังวลก็คือออตโต้ซึ่งมักทุ่มเทกับงานจนแทบไม่ได้นอน แล้วพอได้หลับหลังเสร็จงานใหญ่ที เขาก็จะสลบเป็นตายและหายไปเกินครึ่งวันเลยทีเดียว
การเดินทางรอบนี้คือครั้งแรกที่เพทร่าถูกมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลประจำฝ่ายเพียงคนเดียวในกลุ่ม เธอจึงใส่ใจดูแลทุกคนเป็นพิเศษ รวมถึงอัลด้วยเช่นกัน
เหนือสิ่งอื่นใด เพทร่าเป็นห่วงทั้งสุบารุและการ์ฟีลที่แสดงท่าทีไม่ไว้วางใจอัลออกมาอย่างชัดเจน เป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังรู้สึกขัดแย้ง เพราะใจนึงอยากให้อัลได้อ่านหนังสือ ส่วนอีกใจก็ระแวงผลลัพธ์
. อัล: โย่ ก็คิดอยู่ว่าได้กลิ่นอะไรหอมๆ พวกคุณหนู 2 คนเตรียมอาหารกันอยู่เหรอ?
ตอนนั้นเองที่อัลเข้ามาทักทายเพทร่ากับเมลี่โดยที่มีแฟรมเดินติดตามมาข้างหลังด้วย อัลหยอกล้อเมลี่ว่าเธออู้งาน แต่ก็ขอบคุณที่เมลี่ช่วยพาทุกคนข้ามเนินทรายมาได้อย่างปลอดภัย
แฟรมขอโทษเพทร่าที่ปล่อยให้เธอทำอาหารคนเดียว แต่เพทร่ามองว่าก่อนหน้านี้แฟรมคงช่วยดูแลเอซโซ่มาตลอดอยู่แล้ว คราวนี้เธอจึงอาสาทำอาหารเลี้ยงทุกคนเอง
แฟรมบ่นว่าเอซโซ่ชอบลืมกินลืมนอนเวลาที่จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ซึ่งทำให้เพทร่านึกถึงพฤติกรรมของออตโต้ สองสาวจึงเข้าใจกันเป็นอย่างดี
เพทร่า: ในฐานะผู้ดูแลของทุกคน มาพยายามไปด้วยกันเถอะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ปรึกษามาได้เลยนะ
เพทร่าคือสมาชิกที่เด็กที่สุดในฝ่ายเอมิเลีย นานๆ ทีเธอถึงจะได้เจอกับคนที่เด็กกว่าอย่างแฟรม ชูลท์ และอูตาคาตะ เพทร่าจึงถือโอกาสอวดความเป็นพี่สาวอย่างภาคภูมิ
แฟรมปรึกษาทันทีว่าต้องทำอย่างไรนายน้อย(ไรน์ฮาร์ด)ถึงจะเลิกปฏิบัติต่อตัวเธอกับน้องสาว(กราซิส)เหมือนเป็นเด็กเสียที
เพทร่าจึงแนะนำให้แฟรมเลิกยอมให้ไรน์ฮาร์ดลูบหัว ซึ่งทำให้แฟรมงง เพราะทั้งเธอและน้องสาวต่างก็ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องการถูกนายน้อยลูบหัว
แม้ไรน์ฮาร์ดจะมีชื่อเสียงในฐานะ “อัศวินในหมู่อัศวิน” เพทร่าก็ยังมองว่าสุบารุเป็นอัศวินที่ยอดเยี่ยมกว่าอยู่ดี แต่ก็แอบรู้สึกแย่ที่ด่วนตัดสินไรน์ฮาร์ดทั้งที่ยังไม่เคยพบกันเลย
อัลที่มองอยู่จากวงนอกขำฮุฮุขึ้นมา เพราะว่าความรู้สึกที่เพทร่ากับแฟรมมีต่ออัศวินของฝ่ายตนมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง แฟรมไม่ได้มองไรน์ฮาร์ดในเชิงชู้สาวเลย เพทร่าแค่ด่วนสรุปไปเอง
. จู่ๆ ท้องของอัลก็ส่งเสียงร้อง แต่เจ้าตัวก็ยังแถหน้าด้านๆ ว่าท้องมันร้องเอง เขาเปล่าหิว เพทร่าอมยิ้มพลางรู้สึกว่าสุบารุกับการ์ฟีลกังวลเรื่องอัลมากเกินเหตุ
ถ้าหากว่าอัลจิตใจหม่นหมองดำดิ่งจริงๆ เขาคงไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างจนหยอกล้อกันเชิงขำขันได้หรอก
ที่จริงอัลเองก็มองว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง เขาจึงจะกินให้ท้องอิ่มก่อน เมลี่แอบสงสัยว่าอัลดูไม่รีบร้อนเลยทั้งที่มีลิมิตแค่ 3 วัน เธอนึกว่าเขาจะไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอนเสียอีก
อัล: ชั้นคือตัวตลกของท่านหญิง การดิ้นรนแทบตายจนเลือดตาแทบกระเด็น… อะไรทำนองนั้นน่ะ มันออกจะไม่ใช่แนวล่ะนะ
เพทร่า: คุณอัล…
อัล: แล้วอีกอย่างนะ กำหนดลิมิตไว้ที่ 3 วันก็จริงอยู่หรอก แต่รู้อะไรไหม? เราไม่ได้เอานาฬิกาทรายมาตั้งจับเวลาแบบเป๊ะๆ สักหน่อย ถ้าไปเกาะขาร้องห่มร้องไห้ขอร้องจากใจจริงสักหน่อย ไม่คิดว่าน่าจะขอยืดเวลาได้อีกสักครึ่งวันมั่งเหรอ?
เพทร่าเผลอขำพรืดออกมาเมื่อได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึง จริงอยู่ว่าถ้าหากอัลทำแบบนั้น พวกเธอคงยอมใจอ่อน กระนั้นเพทร่าก็ยังกำชับให้อัลกิน ดื่ม และหลับพักผ่อนให้เหมาะสมอยู่ดี
เพทร่า: ในช่วงสามวันนี้น่ะ ฉันเองก็จะช่วยดูแลพวกสุบารุรวมทั้งคุณอัลเป็นอย่างดีเลยค่ะ ――เอ้า พร้อมทานแล้วนะคะ
อัล: เข้มงวดจริงน้า โอ๊ะๆ ร้อนๆๆ …แต่ว่า อร่อยได้ใจวุ้ย
พอได้เห็นอัลรับถ้วยอาหารที่เธอตักให้ไปกินผ่านหมวกเหล็กที่ง้างเปิดส่วนปาก เพทร่าก็รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
. หลังทานอาหารเสร็จ สุบารุ เบียทริซ อัล การ์ฟีล และเอซโซ่ก็ได้มารวมตัวกันที่หอสมุดไทเกต้าเพื่อตามหาคัมภีร์ของพริสซิลล่าต่อ โดยที่สุบารุกับการ์ฟีลคอยจับตาดูอัลไปด้วย
เอซโซ่อาศัยจังหวะนั้นประกาศผลการค้นคว้าจากการอ่านคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์มาหลายเล่ม เขาเชื่อมั่นว่าหอสมุดแห่งนี้สามารถใช้เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ที่เลือนหายไปแล้วได้
เบียทริซยังเคลือบแคลงใจ เพราะการอ่านคัมภีร์ช่วยให้ผู้อ่านได้เห็นชีวิตเสี้ยวหนึ่งของเจ้าของเพียงเท่านั้น แต่ว่านั่นคือกรณีที่อ่านแค่ 1 เล่ม
เอซโซ่มองว่าการอ่านคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์หลายๆ เล่มจะสามารถเติมเต็มเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไปได้
สุบารุสงสัยขึ้นมาว่าเอซโซ่หาคัมภีร์ที่ตัวเขาสามารถอ่านออกเจอตั้ง 12 เล่มได้ยังไง ช่วงเช้าการ์ฟีลไม่เจอคัมภีร์ของบุคคลที่เขารู้จักสักเล่มเลยด้วยซ้ำ
ข้อจำกัดในการอ่านคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์คือผู้อ่านต้องรู้จักเจ้าของชื่อบนสันปกเป็นการส่วนตัว การเคยได้ยินชื่อเฉยๆ ยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ
ช่วงที่ค้นหาหนังสือด้วยกัน มีบางจังหวะที่เบียทริซเก็บซ่อนอาการไว้ไม่อยู่ว่าเธอรู้จักบางชื่อบนปกหนังสือ แต่สุบารุไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวที่เธอไม่อยากเล่าเอง
. อัล: เล่ามาขนาดนี้ ก็คิดว่าคุณเอซโซ่ไม่น่าใช่พวกขี้อวดที่โกหกเพียงเพื่อที่จะโม้ว่าตัวเองเป็นลัคกี้บอยหรอกนะ ถ้าพอจะมีเคล็ดลับอะไรของความดวงดีอยู่ล่ะก็ ช่วยแบ่งปันกันหน่อยได้ไหม?
เอซโซ่: ขออภัยด้วยที่ทำให้ผิดหวัง แต่ว่าเคล็ดลับน่ะไม่ใช่ความดวงดีหรอกนะ ท่านอัล พวกท่านนัตสึกิเองก็ควรคิดนอกกรอบกว่านี้หน่อย… เริ่มต้นจากการกังขาสมมติฐานก่อนก็ได้
เอซโซ่เสนอว่าสมมติฐานเรื่องเงื่อนไข “ต้องรู้จักเจ้าของคัมภีร์เป็นการส่วนตัว” เป็นแค่ความเข้าใจผิด และชวนให้ทุกคนลองวิเคราะห์ดูว่าทำไม
เวลาที่เอซโซ่อธิบายเรื่องอะไร เขามักจะตั้งคำถามที่จูงใจให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้สุบารุนึกถึงอาจารย์ที่ชื่นชอบสอนนักเรียน
อัลมองว่าคำตอบคือไม่จำเป็นต้องรู้จักเจ้าของคัมภีร์โดยตรง เพียงแค่ได้รู้จักเจ้าของคัมภีร์ผ่านประสบการณ์ที่เห็นจากการอ่านคัมภีร์เล่มอื่นก็พอแล้ว
สรุปคือ ยิ่งได้อ่านคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้จักผู้คนมากยิ่งขึ้น และยิ่งทำให้สามารถอ่านคัมภีร์ของบุคคลที่อยู่ในยุคอดีตได้มากยิ่งขึ้น มันคือการ “รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ที่หายไป” นั่นเอง
เอซโซ่พึงพอใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นคนหนุ่มสาวอย่างอัล สุบารุ และเบียทริซค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง แต่อัลกับเบียทริซขัดคอทันทีว่าพวกตนแก่กว่าเอซโซ่
ส่วนการ์ฟีลก็กำลังนับนิ้วด้วยความสับสน เนื่องจากตามคนอื่นยังไม่ทัน ความกระตือรือร้นในการสอนของเอซโซ่จึงถูกเบรกให้หยุดแบบกะทันหัน
. ตามทฤษฎีที่เอซโซ่เสนอมา วิธีการสั่งสมประสบการณ์ผ่านคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์อาจทำให้สามารถเรียนรู้ข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ในยุคสมัยแห่ง [แม่มด] เมื่อ 400 ปีก่อนได้เลย
แต่ว่ากันตามตรง ส่วนตัวสุบารุไม่ได้มีความสนใจในยุคสมัยนั้น เว้นเสียก็แต่…
สุบารุ: ――ซาเทล่า
สุบารุรีบส่ายหน้าขจัดความคิดชั่ววูบทิ้ง เขาอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเธอคนนั้นก็จริง แต่ว่าซาเทล่ายังไม่ตาย เธอเพียงแค่ถูกผนึกเอาไว้
ความเป็นไปได้ที่จะมีคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์ของซาเทล่าอยู่จึงเป็นศูนย์ แต่ต่อให้มีคัมภีร์ของเธอจริง สุบารุก็ไม่มั่นใจว่าเขา “รู้จัก” ซาเทล่าดีมากพอที่จะสามารถอ่านมันได้ไหม
ระหว่างนั้นเอซโซ่ก็เล่าเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากการทำจิตใจให้ว่างเปล่าเพื่อรับข้อมูลอย่างเดียวแล้ว เคล็ดลับอีกอย่างคือการพัก 2 วันทุกครั้งที่อ่านคัมภีร์ 1 เล่ม
ในมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเอซโซ่เป็นคนบ้าบิ่นถึงกล้าอ่านคัมภีร์ตั้ง 12 เล่ม แต่ในความบ้าบิ่นนั้นก็มีความระแวดระวังซ่อนอยู่ด้วยเช่นกัน สุบารุจึงโล่งใจที่เอซโซ่เป็นคนรอบคอบ
อัล: อยากบอกว่า “เพลินดี” อยู่หรอก แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยล่ะ แต๊งกิ้วครับ
เอซโซ่: ความเพลิดเพลินและความน่าสนใจมันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ตราบใดที่พึงระลึกเรื่องการแสดงออกในเรื่องนั้นไว้ล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องโทษความรู้สึกตัวเองหรอก จริงไหม ขอขอบคุณที่ช่วยฟังบรรยายจนจบนะ
. สุบารุที่มองดูบทสนทนาระหว่างอัลกับเอซโซ่อยู่ห่างๆ เริ่มคิดว่าบรรยากาศความอันตรายที่ลอยอยู่รอบตัวอัลมันเริ่มเจือจางลงไปมากแล้ว
ถึงแม้เจ้าตัวจะยังพูดจาด้อยค่าตัวเองเป็นครั้งคราว แต่อย่างน้อยสุบารุก็ดีใจที่อัลกลับมาพูดจาหยอกล้อกับคนอื่นเล่นได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
การสงสัยคนอื่นตลอดเวลามันทำให้จิตใจต้องแบกรับภาระสาหัส สุบารุที่สบายใจขึ้นได้เปราะนึงแล้วจึงกลับไปค้นหาหนังสือต่อ
――ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบไปเห็น [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ที่มีชื่อ [นัตสึกิ สุบารุ(菜月・昴)] เขียนไว้บนสันปก
สุบารุจ้องเขม็งไปที่หนังสือชื่อตัวเองพลางกลั้นลมหายใจเอาไว้ ความรู้สึกหนักแน่นมันอัดอั้นอยู่ในท้องจนเขาอยากรีบเดินออกจากตรงนั้นโดยเร็ว
แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เนื่องจากอัลที่ถูกอัญเชิญมาจากต่างโลกเหมือนกันน่าจะสามารถอ่านไตเติล [นัตสึกิ สุบารุ] ที่เขียนเป็นอักษรคันจิได้
ถ้าหากอัลเผลออ่านมันล่ะก็ สุบารุกลัวว่าการที่อัลได้รับรู้ถึง [ตายแล้วกลับมา] อาจจะก่อให้เกิดเพนัลตี้ ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่โตได้
. จนถึงตอนนี้ สุบารุเชื่อมั่นแล้วว่า [แม่มดแห่งริษยา] ซาเทล่าคือผู้มอบพลัง [ตายแล้วกลับมา] ให้แก่เขา และเธอมิได้มีจุดประสงค์ร้ายต่อตน
กระนั้นสุบารุก็ยังคงมิอาจเชื่อมั่นในเพเนลตี้สุดเข้มงวดของแม่มดคนนั้นได้อยู่ดี เพื่อความปลอดภัย เขาจึงอยากที่จะซ่อนหนังสือไว้ที่ไหนสักแห่งก่อน
เบียทริซทักขึ้นมาพอดีว่าสุบารุเป็นอะไร ตัวสั่นเหมือนอยากไปเข้าห้องส้วม สุบารุจึงถือโอกาสนั้นบอกเธอว่าเขาเจอคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์ที่อาจเป็นปัญหา
ทีแรกเบียทริซนึกว่าเขาเจอหนังสือของพริสซิลล่า แต่สุบารุส่ายหน้าปฏิเสธและคิดหาหนทางที่จะขอความช่วยเหลือจากเธอโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลเกินจำเป็น
สุบารุ: เบียโกะ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ไม่ว่ายังไงก็ห้ามอ่านโดยเด็ดขาดเลยน่ะ ขืนพลาดขึ้นมา [แม่มดแห่งริษยา] อาจจะโผล่ออกมาจากศาลเจ้าอีกครั้งก็ได้
เบียทริซ: จะ…จู่ๆ ก็พูดเรื่องน่าเหลือเชื่อเฉยเลยกระมัง! ขืนออกจากศาลเจ้ามาส่งสุบารุบินไปโผล่ที่จักรวรรดิเป็นรอบสองจะทำไงดีล่ะยะ? เรื่องนั้นไม่ว่ายังไงก็ต้องหลีกเลี่ยงให้ได้กระมัง!
ว่าแล้วสุบารุจึงค่อยๆ หยิบหนังสือชื่อ [นัตสึกิ สุบารุ] ออกมาจากชั้นวางและระวังไม่ให้เผลอเปิดอ่านมัน
เบียทริซ: มูรัค
เบียทริซร่ายมนตร์ต้านแรงโน้มถ่วงที่ช่วยให้สุบารุร่างเบาเหมือนขนนก เขาอาศัยจังหวะนั้นกระโจนขึ้นไปบนชั้นเก็บหนังสือเพื่อซ่อนคัมภีร์เอาไว้แล้วกระโดดกลับลงมา
. สุบารุกังวลว่าพฤติกรรมของเขาไม่ต่างอะไรจากพวกเด็กเกรียนที่มักทำให้บรรณารักษ์โมโหเลย พอครบลิมิตสามวัน เขาจึงตั้งใจจะเอาหนังสือมาเก็บใส่ที่เดิม
สุบารุ: ถ้าคนอยากรู้อยากเห็นอย่างคุณเอซโซ่เป็นคนมาเจอและอ่านมันล่ะ …แต่ไม่ว่าใครจะอ่านก็มีโอกาสงานเข้าไปหมด กำจัดมันทิ้งไปเลยจะดีกว่ามั้ยนะ?
อัล: ที่ว่าจะกำจัดนี่ หมายถึงอะไรเรอะ พี่น้อง?
สุบารุ: อุว้ากกกกก!
เสียงทักอย่างกะทันหันของอัลทำให้สุบารุสะดุ้งโหยงจนเผลอแหกปากดังไปทั่วหอสมุด กระทั่งอัลยังสับสนว่าสุบารุจะตกใจอะไรปานนั้น
สุบารุหันไปเห็นเบียทริซที่กำลังอุดหูและน้ำตาคลอเบ้า เนื่องจากเสียงแหกปากของเขาดังจนเธอหูอื้อไปหมด สุบารุจึงรีบเข้าไปกอด ขอโทษ และบอกรักเบียทริซ
อัลแซวเล่นหลังได้เห็นสุบารุกับเบียทริซรักใคร่กลมเกลียวกันดี เขาขอโทษและขอบคุณสุบารุอีกครั้งที่ต้องรีบกลับออกจากจักรวรรดิและยอมสละเวลา 3 วันมาช่วยตน
ที่จริงลิมิต 3 วันก็เป็นสิ่งที่อัลเสนอขึ้นเองด้วยซ้ำ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจว่าเจ้าตัวไม่ได้กะพึ่งพาพวกสุบารุอย่างไร้จุดหมาย
อัล: ขอโทษเบียโกะจังด้วยนะ ที่ต้องติดสอยห้อยตามมากับพี่น้อง ขอบคุณนะที่ช่วยมาด้วยกัน
เบียทริซ: ――เบ็ตตี้ก็ต้องมากับสุบารุเป็นธรรมดาอยู่แล้วย่ะ แล้วก็อย่าได้คิดว่าเบ็ตตี้ใจอ่อนพอที่จะเตือนเรื่องเดิมซ้ำๆ กระมัง แก้ไขตัวเองให้ดีด้วยนะยะ
อัล: รับทราบ รับทราบ ――ใจดีจังเลยน้า ยัยหนูโอตาคุ
. อัลรู้สึกว่าการตามหาหนังสือของพริสซิลล่าคงยากระดับการงมหาเข็มในทะเลทราย 3 วันจึงอาจจะไม่เพียงพอ แถมทุกวินาทีจำนวนหนังสือยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีก
สุบารุกับเบียทริซให้กำลังใจว่าพวกตนจะช่วยอัลหาคัมภีร์อย่างเต็มที่ และต่อให้สุดท้ายหาไม่เจอ พวกเขาก็ไม่อยากให้อัลยอมแพ้ต่อทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่นี้
สุบารุหวังเป็นอย่างยิ่งว่า 3 วันนี้จะช่วยให้อัลยอมรับความตายของพริสซิลล่าและค้นพบความพึงพอใจที่จะช่วยให้เขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไป
สิ่งสำคัญคือการไว้อาลัยต่อเธอ การคิดถึงเธอ และการปิดประตูในใจเพื่อยอมรับให้เรื่องนี้มันจบลง
อัล: สามวันเรอะ
อัลเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับว่าเขาพึ่งยกภูเขาออกจากอก
สุบารุ: ใช่แล้ว ไม่มีให้ขอยืดเวลาเพิ่มนะเฟ้ย …ไม่สิ ถ้าร้องขออย่างจริงจังก็อาจจะพิจารณาอยู่หรอก แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้ตั้งแต่ต้นเชียวล่ะ!?
เบียทริซ: ขืนกลับไปช้ากว่ากำหนดการ เดี๋ยวก็โดนเอมิเลียโกรธจนหน้าแดงหรอก
สุบารุ: เอมิเลียตันตอนโกรธเหรอ! …นั่นอาจจะเป็นอะไรที่พอได้เห็นแล้วดันน่ารักก็ได้นะเนี่ย
ไม่ว่าจะมีอารมณ์และสีหน้าใด หรือมองจากมุมไหน เอมิเลียก็ยังคงน่ารักในสายตาของสุบารุอยู่เสมอ กระนั้นเขาก็อยากที่จะช่วยลดความกังวลใจเพื่อที่จะได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มเชิงโพสิทีฟจากเธอนับจากนี้ไป
สุบารุ: ก็นะ ไม่ว่าจะสีหน้าแบบไหน เธอก็ยังคง EMT ไม่เคยเปลี่ยนนั่นแหละ…
สุบารุยักไหล่ให้เบียทริซผู้มีสีหน้ามึนงง จากนั้นก็หันกลับมาสบตาอัลซึ่งพยักหน้าให้กับเขาและกล่าวต่อว่า…
อัล: ――โอล ชามัค
วินาทีต่อมา โลกของ “นัตสึกิ สุบารุ” ก็ได้ดับมืดลง
. อัล: 3 วัน ในเมื่อมีเวลา 3 วัน ก็คงระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 3 ล่ะสินะ
เสียงวัตถุทรงกลมบางอย่างตกลงบนพื้นหอสมุด [ไทเกต้า] อัลใช้เท้าเหยียบเอาไว้ไม่ให้มันกลิ้งไปไหน
อัล: ผลลัพธ์ทำให้ประมาทมากที่สุดในคืนแรกหลังจากที่พึ่งคุยเรื่องดีๆ ไงล่ะ
อัลก้มลงไปหยิบลูกแก้วสีดำซึ่งมีผิวสัมผัสเย็นสนิท มันมิใช่วัตถุเปราะบางอย่างที่ตาเห็น เพราะสิ่งนี้คือคุกที่ผนึกได้กระทั่ง [แม่มด]
อัล: รู้หรอกน่า พี่น้อง… ไม่สิ นัตสึกิ สุบารุ ――ชั้นน่ะ ไม่ฆ่าแกหรอก
ศัตรูคนอื่นอาจจะรีบสังหาร นัตสึกิ สุบารุ ทันทีที่มีโอกาส แต่พวกนั้นไม่เข้าใจว่ามันเปล่าประโยชน์ สิ่งสำคัญคือห้ามต่อสู้กับ “นัตสึกิ สุบารุ” ในสนามรบที่เขาถนัดต่างหาก
อัล: จะเริ่มล่ะนะ อาจารย์ ――เพื่อที่ชั้นจะได้เป็นตัวชั้นเอง
ในเมื่อ “พริสซิลล่า บาริเอล” ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว “อัลเดบารัน” จึงจะทำตามจุดประสงค์ดั้งเดิมที่ตัวเขาเคยทอดทิ้งไป
――นั่นก็คือการต่อสู้เพื่อกำจัด “นัตสึกิ สุบารุ” ออกไปจากโลกใบนี้
. จบตอน