ณ เวลานี้บุคคลที่การ์ฟีลโกรธมากที่สุดมิใช่อัลที่เปลี่ยนสุบารุกับเบียทริซกลายเป็นลูกแก้ว แต่เป็นตัวเขาผู้แสนไร้ค่าที่ปกป้องทั้งสองเอาไว้ไม่ได้ ทั้งที่ออตโต้กับเอมิเลียฝากฝังมาแล้ว
การ์ฟีลเดือดดาลจนถึงขั้นกัดฟันตัวเองจนแหลก เขาทำการซ่อมแซมฟันขึ้นใหม่ด้วย [พรคุ้มครองแห่งวิญญาณปฐพี] เพื่อที่จะกัดมันให้แหลกอีกรอบ
ออตโต้เคยเตือนการ์ฟีลไว้ล่วงหน้าแล้วว่าให้จับตาดูสุบารุไว้ด้วย เพราะเขาอาจจะยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลืออัล แต่สุดท้ายการ์ฟีลก็ตามเกมอัลไม่ทันไปครึ่งก้าว
การ์ฟีล: ฮร้าาาาา!!
อัลก้มหลบกำปั้นหลังมือของการ์ฟีลไปได้อย่างฉิวเฉียว ไม่ว่าจะกระหน่ำโจมตีไปกี่ครั้ง การ์ฟีลยังโจมตีแบบคลีนฮิตไม่โดนอีกฝ่ายเสียที ราวกับว่าตามหลังอยู่หลายก้าว
อัล: โดน่า
ก้อนศิลาที่โผล่มาดักทางกลางอากาศในทิศที่การ์ฟีลหันหน้าไปพอดี มันอัดกระแทกเข้าใส่ใบหน้าของเขาอย่างจังจนเกิดบาดแผลขึ้นในปาก
ว่ากันตามตรง หากเทียบกันกับศึกที่การ์ฟีลเคยเผชิญมาในจักรวรรดิแล้ว ความเสียหายเท่านี้มันถือว่าไม่เท่าไหร่เลย มันช่วยแค่สกัดมิให้การ์ฟีลบุกต่อเนื่องได้เท่านั้น
. อัล: ฟู่ว… ฟู่ว…
ฝั่งอัลเองก็ดูจะไม่ได้กั๊กฝีมือ แถมยังเริ่มหมดแรงแล้ว ภาษากายและวิธีสวนกลับของอัลมันบ่งชี้ถึงระดับความสามารถของเขาอย่างชัดเจน
หากอัลเผลอรับการโจมตีจากการ์ฟีลเข้าไปอย่างจังสักทีเดียว เขาก็คงจะสิ้นท่าไปเลย นี่ไม่ใช่การประเมินแบบโอหัง ฝีมือของการ์ฟีลนั้นต่างชั้นจากอัลหลายขุมจริงๆ
เพราะงั้นการ์ฟีลถึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอัลถึงหลบหลีกทุกการโจมตีของเขาได้หมด แถมสวนกลับแต่ละทีก็เข้าเป้าตลอดทั้งที่การ์ฟีลคอยระวังแล้ว
เอซโซ่: การ์ฟีลคุง ถอยออกมา! เดี๋ยวช่วยสนับสนุนเอง!
คำเตือนของเอซโซ่ทำให้การ์ฟีลเริ่มชั่งใจว่าเขาควรไล่ตามอัลต่อหรือถอยกลับมาดูเชิงเพื่อคิดหาหนทางรับมือก่อนดี
อัล: โอ้ กลับไปเลยๆ กลับไปร้องไห้ให้พี่จ๋ากับยายจ๋าโอ๋เลย การ์ฟจัง
การ์ฟีล: ――วอนซะแล้วเอ็ง!
แต่แล้วคำท้าทายของอัลก็ทำให้การ์ฟีลตามืดมัวไปด้วยโทสะ คราวนี้การ์ฟีลตั้งใจที่จะไม่ยั้งมือ ไม่ว่าอัลจะสวนกลับมาแบบไหน เขาก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อหยุดอัลเอาไว้ให้ได้
อัล: ที่จริง เจออะไรแบบนั้นน่ะรับมือยากที่สุดเลยล่ะ
. การ์ฟีลย่ำพื้นอย่างหนักแน่นแล้วพุ่งตัวเข้าประชิดอีกฝ่ายโดยทันที แต่อัลสวนกลับด้วยการปาทรายใส่ดวงตาเพื่อช่วงชิงการมองเห็นออกไปชั่วคราว
ลูกไม้ตื้นๆ แค่นั้นย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้การ์ฟีลยั้งมือ เขาตั้งใจจะคว้าอัลเอาไว้ให้ได้แล้วลากติดตัวเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เอซโซ่: ――การ์ฟีลคุง!!
พร้อมกันกับที่เอซโซ่ตะโกนเตือน การ์ฟีลสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งตรงมาหาจากเบื้องหน้า เขาจึงอ้าปากแล้วใช้เขี้ยวขบมันไว้โดยทันที
พอเริ่มสัมผัสรูปร่างได้ว่าสิ่งนั้นคือกำปั้น การ์ฟีลก็ขย้ำมันไว้ไม่ยอมปล่อย เขากะจะเล่นงานอัลให้หมดสภาพการต่อสู้ แล้วค่อยช่วยรักษาให้ในภายหลัง
เพื่อการนั้นแล้ว การ์ฟีลจึงเริ่มขย้ำส่วนกำปั้นให้เละและกะจะเขมือบลากยาวไปถึงส่วนข้อศอก แต่เพียงแค่เคี้ยวส่วนแรกเสร็จ เขาก็รับรู้ได้ว่ามือข้างนั้นคือมือซ้ายซึ่งอัลไม่ควรจะมีอยู่
ทันใดนั้นเองที่ “กำปั้นดิน” ในปากการ์ฟีลก็ระเบิดออกจนกรามเขาหัก ฟันเขี้ยวทั้งบนและล่างแตกละเอียด แถมส่วนนิ้วยังพุ่งเข้าไปแหย่ลำคอซ้ำ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาสำรอกอาหาร
ถูกช่วงชิงการมองเห็น ถูกโจมตีใส่กรามจนสะเทือนถึงสมอง สมดุลร่างกายถูกทำลาย จากนั้นการ์ฟีลที่แน่นิ่งขยับตัวไม่ได้ก็ถูกต่อยเสยคางอย่างรุนแรงในมุมทะแยงเป็นการปิดฉาก
อัล: ที่บอกว่าการทุ่มสุดตัวรับมือยากที่สุดน่ะแค่โกหกจ้า คนที่ไม่ยอมใช้หัวคิดน่ะ ไม่ครณามือชั้นหรอก
คำพูดดูหมิ่นและคำยั่วโมโหของอัลยิ่งทำให้ทัศนวิสัยของการ์ฟีลแดงฉานไปด้วยความเดือดดาลมากขึ้นทุกที
. ตัดไปทางมุมมองของเอซโซ่ซึ่งเห็นการ์ฟีลถูกอัลเล่นงานเต็มสองตา เขาพยายามเตือนแล้ว แต่เจ้าหนุ่มหัวร้อนก็ยังรุดหน้าไปถูกปาทรายอัดใส่หน้า ซึ่งอัลคงเก็บมาจากทะเลทรายด้านนอก
อัลสร้างแขนดินเทียมขึ้นมาให้การ์ฟีลเขมือบต่อ จากนั้นก็ทำให้มันระเบิดคาปาก ปิดฉากด้วยการเสกศิลาออกมาเคลือบมือขวาเป็นถุงมือเกราะแล้วต่อยเสยคางซ้ำ
เอซโซ่ประเมินว่าการโจมตีต่อเนื่องของอัลมันสมบูรณ์แบบเกินไป ไม่ว่าจะเตรียมการล่วงหน้าไว้มากเพียงใด มันก็ไม่ควรที่จะราบรื่นขนาดนี้
เอซโซ่: จะมัวมาดูแคลนนายเป็นพวกปลายแถวไม่ได้อีกแล้ว! ไม่ใช่แค่แขนซ้ายเท่านั้น เตรียมใจเสียขาอีกสักข้างไปด้วยได้เลย! ――อุล ชีฮา!!
กระแส [ลม] รุนแรงก่อตัวขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมาย ทั้งที่คำร่ายมนตร์เป็นเวทวารีตระกูล “ชีฮา” มิหนำซ้ำยังมีเวทอัคคีตระกูล “โกอา” ที่ยิงขนาบมาจากด้านหลังอีกคาถา
เอซโซ่ที่เลิกออมมือสำแดงศักยภาพในฐานะจอมเวทอัจฉริยะด้วยร่ายมนตร์แบบหลอกชื่อคาถาหนึ่งบทและร่ายมนตร์แบบไม่เอ่ยชื่อคาถาอีกหนึ่งบท
ว่ากันว่าการจะร่ายมนตร์สองคาถาพร้อมกันจำเป็นต้องมีความสามารถคิดคำนวณแบบแยกส่วนราวกับว่ามี 2 สมองเลยทีเดียว
ซึ่งในโลกใบนี้มีจอมเวทอยู่ไม่เกิน 5 คนที่มีทักษะในระดับนั้น และหนึ่งในนั้นก็คือรอสวาล
. อัลตัดสินใจหันหลังวิ่งหนีพายุเบื้องหน้าและกระโจนตัวเข้าไปในกองเพลิงโดยใช้เกราะศิลาบนแขนขวาเป็นโล่กำบังตัวเองจากไฟ
อัล: โอ้ววววว!!
แต่ถึงจะฝ่าเปลวเพลิงออกมาได้ ร่างของอัลก็ยังถูกวายุพัดไปอัดกระแทกใส่กำแพงและพื้นหอคอยสลับกันไปมาจนเดินต่อไม่ออกอยู่ดี
เอซโซ่: ――บ้าน่า
ทว่า ทุกครั้งที่อัลลอยไปกระแทกตรงไหน เขาจะร่ายมนตร์สร้างโคลนขึ้นมาเคลือบส่วนที่กำลังจะกระแทกได้ทันท่วงทีทุกรอบ เอซโซ่จึงเริ่มคิดทฤษฎีบ้าบอขึ้นมาได้
อัลเล่นงานการ์ฟีลได้ทั้งที่ฝีมือในฐานะนักรบเทียบกันไม่ติด แถมยังมีกลโกงบางอย่างที่รับมือได้กระทั่งไพ่ตายของเอซโซ่ผู้เป็นจอมเวทระดับหัวกะทิของราชอาณาจักร
เอซโซ่: นี่หรือว่าจะเป็น “การมองเห็นอนาคตแบบระยะสั้นเป็นพิเศษ” งั้นเหรอ?
ว่ากันว่ายอดนักรบและปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูล่วงหน้าด้วยสัญชาตญาณได้
จอมเวทระดับสูงบางคนก็สามารถอ่านกระแสมานาของคู่ต่อสู้จนล่วงรู้มนตร์ที่กำลังจะร่ายได้เช่นกัน
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอัลมันเกินกว่าที่ทฤษฎีเหล่านั้นจะอธิบายได้ไปแล้ว แค่เพียงคิดถึงความเป็นไปได้นั้น ก็ชวนให้รู้สึกขนลุกซู่
เอซโซ่: นอกเหนือจากที่ใช้ผนึกท่านนัตสึกิกับคุณหญิงเบียทริซแล้ว ยังมีเวทมนตร์ลึกลับอยู่อีกอย่าง…
เอซโซ่เคยอ่านงานเขียนและสั่งสมความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันมาครบแล้ว แต่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่อัลใช้อยู่เลย
ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่มิได้ถูกบันทึกไว้หรือไม่ก็เป็นเวทมนตร์แขนงใหม่ที่ไม่สามารถจัดประเภทตามธาตุทั้ง 6 ได้
ในเมื่อทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะถูกอีกฝ่ายอ่านออก เอซโซ่จึงประเมินอัลให้เป็นภัยคุกคามระดับสูงสุดเช่นเดียวกับ “บิชอปมหาบาป” และ “แม่มด” โดยทันที
เอซโซ่: ――ตัดสินผลการดวลให้ได้ตอนที่ยังมีมานาเหลืออยู่นี่แหละ!
. ตัดไปทางเพทร่ากับเมลี่ซึ่งพึ่งจะช่วยกันล้างจานมื้อเย็นเสร็จ ตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงคำรามของการ์ฟีล เพทร่าก็สังหรณ์ใจไม่ดีมาโดยตลอด
เมลี่เดาว่าการ์ฟีลกำลังต่อสู้กับเอซโซ่หรือไม่ก็อัลอยู่บนชั้น 3 แต่เพทร่าไม่กล้าขึ้นไปดูเพราะกลัวที่จะเป็นตัวถ่วง เมลี่จึงชั่งใจว่าเธอควรส่งเจ้าแมงป่องน้อยไปสังเกตการณ์ดีไหม
เพทร่าเป็นห่วงความปลอดภัยของสุบารุ แต่ก็เลือกที่จะเชื่อมั่นว่าหากเขามีเบียทริซกับการ์ฟีลอยู่เคียงข้างก็คงจะปลอดภัย
การ์ฟีล: ――เพทร่าาา! เมลี่!
เพทร่า: ――เฮือก คุณการ์ฟ!?
ตอนนั้นเองที่การ์ฟีลรีบรุดหน้าเข้ามาในห้องที่เด็กสาวทั้งสองอยู่ ร่างของเขาทั้งโชกเลือดและมีบาดแผลเต็มไปหมด ฟันเขี้ยวเองก็หายไปหลายซี่
การ์ฟีลร้องขอให้เพทร่าใช้เวทตะวันเสริมแก่งให้แก่ร่างของเขาโดยด่วน เพทร่าจึงรีบทำตามที่ขอแม้ว่าประสบการณ์เสริมแกร่งคนอื่นของเธอจะยังน้อยก็ตาม
การ์ฟีลกระชากพื้นหินของห้องออกมาอย่างกะทันหันจนกระทั่งเมลี่ยังตกใจร้องกรี๊ด จากนั้นเขาก็รีบเอาพื้นหินที่ดึงออกมาไปปิดทับประตูห้องโดยทันที
. เมลี่: ――น้ำ!?
ก่อนที่พวกเด็กสาวจะทันได้ถามเหตุผล ทั้งคู่ก็สังเกตเห็นและได้ยินเสียงกระแสน้ำโคลนที่ไหลเชี่ยวกรากและอัดแน่นเต็มชั้น 4 ของหอคอย
การ์ฟีล: อ่านล่วงหน้าไปสิวะ… ต่อให้อ่านไปก็กันการโจมตีนี้ไม่ได้หรอกเฟ้ย!
ระหว่างที่ออกแรงสู้กับกระแสน้ำ การ์ฟีลก็เยาะเย้ยคู่ต่อสู้ด้วยสีหน้าโมโหที่ทำให้เพทร่าทั้งกลัวและสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือเขากำลังสู้อยู่กับใคร
เพทร่า: ――พยายามเข้านะ!
แต่เพทร่าก็เลือกที่จะเก็บคำถามเหล่านั้นไว้แล้วหันมาส่งกำลังใจให้การ์ฟีลที่ช่วยปกป้องพวกเธออยู่แทน หลังจากนั้นไม่นานเสียงกระแสน้ำก็เริ่มจางหายไป
เอซโซ่: การ์ฟคุง! มาทางนี้! ข้างบน! อีกชั้นที่ไม่ใช่ [ไทเกต้า]!
น้ำเสียงของเอซโซ่ดังกึกก้องจนบอกไม่ถูกว่าเขาตะโกนบอกมาจากที่ไหน เป็นไปได้ว่านี่คือผลลัพธ์ของเวทมนตร์สักคาถาหนึ่ง
การ์ฟีลไม่มีเวลาอธิบายสถาณการณ์ แต่เพทร่าถามสั้นๆ เพียงคำเดียวว่า “คุณอัลเหรอ?” ซึ่งการ์ฟีลก็ยืนยันว่า “ใช่แล้ว”
เพทร่า: อย่าร้องนะ อย่าร้องนะ อย่าร้องนะ อย่าร้องนะ อย่าร้องนะ อย่าร้องนะ… อึก
หลังการ์ฟีลวิ่งจากไปจนพ้นระยะแล้ว เพทร่าก็เอามือกุมใบหน้าเพื่อพยายามฝืนปิดกั้นสิ่งที่จะไหลออกมาตามน้ำเสียงที่สั่นเทา เมลี่จึงพยายามลูบหัวปลอบใจเพทร่า
เมลี่: บางทีฉันอาจจะผิดเองแหละน้า …ไม่ใช่ทุกคนที่ความอ่อนโยนของพี่ชายกับพี่สาวจะสามารถช่วยเยียวยาได้
เพทร่า: ไม่จริง…น่า…
เพทร่าอยากที่จะปฏิเสธคำพูดนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา เธอทำได้เพียงแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
. ต่อหน้ากระแสน้ำโคลนเชี่ยวกรากที่ไหลท่วมเต็มทางเดินในหอคอย อัลเดบารันไม่สามารถต่อต้านอะไรได้เลย แม้ว่าตัวเขาจะมีแอดแวนเทจ(ข้อได้เปรียบ)จากกลโกงที่มีอยู่ก็ตาม
กระนั้นอัลเดบารันก็ไม่คิดจะทำตัวเป็นขี้แพ้ชวนตีและเลือกยอมรับในความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้ที่ขัดเกลาทักษะมาจนเชี่ยวชาญ
อัล: ――โอ้กกกก
กระแสน้ำวนที่มิอาจหนีพ้นช่วงชิงทั้งเรี่ยวแรงและอุณหภูมิไปจากร่างกายของอัล แถมการฝืนต่อต้านสายน้ำยิ่งเป็นการทำให้เปลืองแรงหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
การสร้างกำแพงดินหรืออุปกรณ์ศิลาก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะกระแสน้ำคือสิ่งที่โจมตีได้จากทั่วทุกทิศ ต่างจากลมหรือเวทมนตร์อื่นๆ ที่มีทิศทางชัดเจน
กว่าที่จะถูกพัดขึ้นมาถึงยอดหอคอย อัลต้องกินน้ำเข้าไปมหาศาลจนตัวพองเป็นลูกโป่งน้ำ ตอนนี้ร่างกายช่วงล่างก็แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย
อัลพยายามขับน้ำให้ออกมาจากทุกรูทั่วร่าง ทั้งจมูก ปาก ตา และหู แต่เขาไม่กล้าตรวจดูว่าตนเองเผลอฉี่ราดไปบ้างไหม
. เอซโซ่: ――เอาล่ะ ในเมื่อไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านแล้ว ขอฟังคำอธิบายหน่อย
นักรบและจอมเวทเดินขึ้นบันไดมายังยอดหอคอยที่อัลอยู่ ทั้งสองมีสภาพเหนื่อยล้าแต่ก็ยังพร้อมที่จะสู้ต่อหากจำเป็น ส่วนอัลนั้นไม่ต่างอะไรจากผ้าขี้ริ้วชุบน้ำ
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวส่องแสงระยิบระยับจึงมาเยือนในขณะที่อัลได้แต่นอนหงายอยู่บนพื้นของยอดหอคอย
อัลเกลียดดวงดาว เขาเกลียดดวงดาวที่คอยมองลงมาจากที่สูงส่งและส่องประกายไปวันๆ ราวกับว่ากำลังดูหมิ่นและเยาะเย้ยสภาพในปัจจุบันของเขาอยู่
การ์ฟีล: คืนจอมพลกับเบียทริซมา…
อัลรู้สึกนับถือการ์ฟีลที่ให้ความสำคัญกับสองคนนั้นเหนือกว่าอาการบาดเจ็บของตนเอง น่าเสียดายที่ความเห็นทั้งคู่สวนทางกัน
ที่จริงอัลมิได้เกลียดการ์ฟีล เอซโซ่ เพทร่า เมลี่ แฟรม หรือใครก็ตามที่เขาอาจจะต้องสู้ด้วยในอนาคตเลยด้วยซ้ำ
บุคคลที่อัลเดบารันเกลียดชังมีเพียงแค่ “ตัวเขาเอง” และ “นัตสึกิ สุบารุ”
. เอซโซ่เตือนอัลว่าต่อให้เขามีศาสตร์ต้องห้ามหรือเวทมนตร์ลึกลับอะไรอยู่ สุดท้ายก็ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะได้ทุกศึก ยังไงก็มีโอกาสถูกแก้ทางได้อยู่ดี
ซึ่งฝั่งอัลก็ไม่คิดจะปฏิเสธ ผลลัพธ์มันเห็นชัดกันอยู่แล้วว่าความสามารถกับทักษะการสังเกตและวิเคราะห์ของเอซโซ่เอาชนะอำนาจของอัลเดบารันมาได้
อัล: ――ท่านเอซโซ่ คุณพูดถูกแล้วครับ ชั้นน่ะเอาชนะทุกศึกไม่ได้หรอก
คำพูดนั้นทำให้การ์ฟีลรู้สึกขุ่นเคือง ในขณะที่เอซโซ่รู้สึกระแวงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าอัลจะลองพูดอะไร เขาก็ไม่ยอมประมาทเลย น่ารำคาญจริงๆ
รีเซ็ตผ่านไป “748 ครั้ง”
ไม่ว่าจะเริ่มใหม่สักกี่ครั้ง อัลเดบารันก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยช่วงที่ถูกกระแสน้ำซัด นอกเสียจากพยายามสังเกตว่ากระแสน้ำพาเขาไปที่ไหนบ้าง
ไหลไปตามกระแสน้ำ วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในที่สุุด อัลเดบารันก็คว้าโอกาสแห่งชัยชนะมาไว้ในมือได้สำเร็จ
อัล: ไม่มีทางชนะทุกศึกได้ ――เพราะงั้น ชนะในตอนท้ายสุดให้ได้แค่รอบเดียวก็พอแล้ว
เอซโซ่: พูดถึงอะไร…
อัล: ชั้นอยากจะมาที่นี่นั่นแหละ ที่นี่นี่แหละ เงื่อนไขแห่งชัยชนะหนึ่งเดียวของชั้นล่ะ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพราะอัลเดบารันอยากโอ้อวดชัยชนะ แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากให้คนอื่นได้รู้ว่าตนเองต้องสั่งสมละอองดาวมากเพียงใดกว่าที่จะคว้าโอกาสชนะมาได้
ว่าแล้วอัลที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นจึงชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งเพื่อเฉลยคำตอบของข้อสงสัย แล้วเมื่อการ์ฟีลกับเอซโซ่มองตามไป พวกเขาก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งตกอยู่ในบนพื้น
การ์ฟีล: [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] เรอะ…
เอซโซ่: ของใครกัน!?
คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์เล่มหนึ่งไหลมากับกระแสน้ำด้วย แถมยังตกอยู่บนพื้นในสภาพที่หน้ากระดาษเปิดค้างเอาไว้
เป้าหมายที่แท้จริงของอัลเดบารันในการเดินทางมายังหอสังเกตการณ์เพลอาเดสคือการตามหาหนังสือเล่มนั้นและใช้งานมันตั้งแต่แรกเริ่ม
เพราะมันคือหนทางเดียวที่อัลเดบารันจะสามารถเตรียมการเพื่อกำจัด “นัตสึกิ สุบารุ” ได้ และไตเติลของ [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] เล่มนั้นก็คือ…
อัล: ――ชื่อของชั้นเองไงล่ะ
คำพูดประโยคนั้นทำให้ทั้งเอซโซ่และการ์ฟีลสับสนจนแน่นิ่งไปชั่วขณะ มันคือช่องโหว่ใหญ่ให้อัลเดบารันเล่นงาน น่าเสียดายที่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว เขาจึงฝากให้ [อัลเดบารัน] จัดการแทน
สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีน้ำเงินจากสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้จดจ้องไปยังหน้ากระดาษของ [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ที่เปียกโชก จากนั้นก็สยายปีกออกและกล่าวว่า…
[มังกรเทพ(อัล): ――ดวงดาวนั่นแหละที่ผิด]
[มังกรเทพ] วอลคานิก้า ――ไม่สิ [มังกรเทพ] อัลเดบารันพ่นลมหายใจใส่นักรบและจอมเวทที่ยืนแน่นิ่งอยู่อย่างไร้ปรานี
. จบตอน