เอคิดน่า: ค่าตอบแทนยังไงล่ะ
เพทร่าชิงชัง [แม่มด] ผู้เรียกค่าตอบแทนในการออกจากโลกแห่งความฝันจากเขาเหลือเกิน เธอเป็นตัวตนอันตรายที่ใช้ความงามอันกลวงเปล่าล่อลวงผู้อื่น
เอคิดน่า: ดีล่ะ ตัดสินใจได้แล้ว
ค่าตอบแทนครั้งแรกคือการทำให้เขาลืมตัวตนของเธอ แต่ในคราวนี้ [แม่มด] ได้เอื้อมมือมาสัมผัสผืนผ้าสีขาวที่โบกสะบัดตามสายลม
มันคือผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ตกแต่งขอบเป็นสีทองและมีการเย็บปักลายมหาวิญญาณรูปร่างแมวสีเทาเอาไว้ด้วย
สุบารุ: …ผ้าเช็ดหน้าที่เพทร่าให้ไว้ก่อนที่จะออกเดินทางมายัง [แดนศักดิ์สิทธิ์] เนี่ยนะ?
ถึงอยากจะตะโกนว่า “อย่านะ” ให้ดังจนลำคอระเบิด เธอก็ไม่มีลำคอให้ตะโกนอยู่ดี
ถึงอยากจะขัดขวางนาง [แม่มด] ผู้น่าชิงชังมิให้ทำอะไรมากกว่านี้ เธอก็ไม่มีร่างกายที่จะไปยืนขวางอยู่ดี
เพทร่าทำได้เพียงแค่ร่ำร้อง “หยุดนะ” จากดวงจิตโดยที่หยุดยั้งอะไรมิได้เลย
เอคิดน่า: เก็บค่าตอบแทนของงานเลี้ยงน้ำชามาแล้วล่ะ ขอภาวนาจากหัวใจว่าจะได้พบกันอีกในการเข้าร่วมครั้งหน้า
การได้รู้คุณค่าของสิ่งนั้นทำให้เพทร่าแอบสุขใจ แต่การที่มันไปต้องตาของ [แม่มด] กลับสร้างความหวาดผวาที่เหนือยิ่งกว่านั้นหลายเท่า
หลังกลับออกจากโลกแห่งความฝันสู่ห้องมืดที่เย็นเฉียบ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
สุบารุ: …เอมิเลียหายไปไหน?
การที่เธอหายไปไม่เหมือนหลายครั้งก่อนหน้าสร้างความกระวนกระวายที่ท่วมท้นหัวใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีชักจูงให้เขารีบออกจากสุสานและไปพบเข้ากับ…
สุบารุ: เงา…เรอะนั่น
ภาพเบื้องหน้าคือ [แดนศักดิ์สิทธิ์] ที่จมอยู่ใต้ความมืดมิดซึ่งเป็นร่องรอยของ [แม่มด] ที่น่าสะพรึงกลัวไม่แพ้ [แม่มด] คนก่อนหน้า
ไม่ว่าเธอจะร้องขอให้มันหยุด ปฏิเสธ รำพึง หรือฝืนต้านทานอย่างไร เหตุการณ์ก็ไม่มีทางหยุดลง เพราะว่านี่คือร่องรอยในประวัติศาสตร์ที่เขาเคยย่างกราย
“นี่ฉันได้มีส่วนร่วมในเรื่องอะไรกันเนี่ย?”
. ตัดกลับมาปัจจุบัน กลุ่มของอัลเดบารันกำลังถูกดักโจมตีโดยบุคคลที่มีน้ำเสียงชวนคุ้นเคย ซึ่งแปลว่าแผนการดึงความสนใจล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ไฮน์เคล: เฮ้ย! เสียงเมื่อกี้มัน นังเด็กผมทองคนนั้นนี่หว่า! เจ้านายของไรน์ฮาร์ดไง! ไหงถึงมาอยู่นี่ได้เนี่ย …ไหนว่าไม่มีทางถูกเจอตัวได้ไง!?
อัล: …พึ่งตั้งค่าเมทริกซ์ไปเมื่อ 15 วินาทีก่อน
เนื่องจากไฮน์เคลออกอาการแตกตื่นแทนไปแล้ว อัลที่ตกใจไม่ต่างกันจึงพอเก็บอาการเอาไว้ได้ ทั้งสองต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายคือ “เฟลท์”
มาตรการอัปเดตเมทริกซ์แบบถี่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกลอบโจมตีก็ดันแว้งกัด เพราะว่าจุดเซฟนี้ทำให้พวกอัลเลี่ยงการถูกดักโจมตีไม่ได้แล้ว
หากเทียบระหว่างสองกลยุทธ์ อำนาจของอัลจะแพ้ทางการถูกดักโจมตีมากกว่าการลอบจู่โจม สถานการณ์ปัจจุบันจึงค่อนข้างย่ำแย่
ฝั่งยาเอะที่ผ่านการฝึกฝนในฐานะชิโนบิไม่ตื่นตระหนกเหมือนสองชายวัยกลางคนเลยสักนิด แถมเธอยังเสนอให้ใช้ไฮน์เคลเป็นโล่มนุษย์
ไฮน์เคลค้านทันทีว่าตัวเขาไร้ค่าในฐานะตัวประกัน เนื่องจากเฟลท์อยากให้ไรน์ฮาร์ดขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแอสเทรอาแทนที่เขาอยู่แล้ว ฝั่งนั้นจึงมีแรงจูงใจให้เชือดไฮน์เคลทิ้ง
. ยาเอะ: เอาไงดีค้า~?
อัล: ยาเอะ เตี่ย รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวชั้นจะไปดูลาดเลาให้
ไฮน์เคล: หา …ยังสติดีอยู่ไหม!? ผู้หญิงคนนี้เป็นชิโนบิไม่ใช่เหรอ? คนที่จะไปก่อนมันก็ควรจะเป็นยัยนี่ไม่ใช่เรอะ!? แกเองก็ช่วยย้ำหน่อยสิ!
ยาเอะ: ――ท่านอัล แบบนั้นคือดีที่สุดใช่ไหมคะ?
อัล: ใช่แล้ว
ในขณะที่ไฮน์เคลยังโกรธจนหน้าแดง ยาเอะกลับเชื่อมั่นในการตัดสินใจของอัลและช่วยโน้มน้าวไฮน์เคลว่าอัลต้องมีแผนรับมือไว้แล้วอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าการที่อัลเปลี่ยน [มังกรเทพ] มาเป็นพวกจะสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเขาพอสมควร แต่ในความเป็นจริงเจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ
กระนั้นอัลก็เก็บซ่อนหัวใจที่หนักอึ้งกับจิตใจที่ฟุ้งซ่านเอาไว้แล้วย่างก้าวออกไปด้านนอกป่าเพื่อประเมินกำลังรบของศัตรู
เฟลท์: ――เห? กล้าเสนอหน้าออกมาเหมือนเตรียมใจไว้พร้อมเชียวนี่หว่า
เด็กสาวผมทองฉีกยิ้มกว้างยืนรอต้อนรับอัลอยู่บนทุ่งราบที่อีกฟากหนึ่ง เธอเป็นคู่ต่อสู้ที่อัลคิดไว้อยู่แล้วว่ามีโอกาสต้องปะทะกัน
[นักดาบเทวา] และ [สีเทา] ผู้เป็นกำลังรบสูงสุดของฝ่ายเฟลท์ถูกขจัดออกจากกระดานไปแล้ว
สมาชิกที่เหลืออยู่จึงน่าจะเป็นสามอันธพาล น้องสาวของแฟรม(กราซิส) และชายแก่เผ่ายักษ์ที่เคยบุกเข้าไปในพระราชวัง(ปู่รอม)
ความแข็งแกร่งของตัวเฟลท์เองยังไม่แน่ชัด แต่อัลประเมินว่าเธอไม่น่าจะแกร่งเทียบเคียงพริสซิลล่าได้ แล้วต่อให้อีกฝ่ายแกร่งเท่าพริสซิลล่า หากสู้ตัวต่อตัวอัลก็รับมือไหว
อัล: …เฮ้ยๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?
ทว่า อัลเดบารันที่พกความมั่นใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายน่าจะมีสัก 5-6 คน ก็ต้องอึ้งจนยิ้มแห้งๆ ออกมา เนื่องจากที่เบื้องหน้าของเขามีกำลังรบอยู่เคียงข้างเฟลท์เกินกว่า 500 คน
. ในฐานะผู้ที่เติบโตจากสลัม เฟลท์มิเคยลำพองตัวว่าข้าวของที่เธอมีใช้ทุกวันนี้เป็นของตัวเองเลย แม้ว่าเธอจะได้รับมันมาจากอัศวินประจำตัวก็ตาม
ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่ซุกหัวนอนล้วนแต่เป็นทรัพย์สินของไรน์ฮาร์ดและตระกูลแอสเทรอา เฟลท์จึงไม่คิดจะทำตัวให้ชินกับความสุขสบายและปล่อยให้ [ไพ่ในมือ] ต้องสูญเปล่า
[ไพ่ในมือ] ที่ว่าก็คือทักษะที่เฟลท์สั่งสมมาจากการใช้ชีวิตโดยยึดถือคติ [มีชีวิตอย่างเข้มแข็ง] อย่างที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นทักษะการมองหาเหยื่อที่เล่นงานง่ายและการหลบหนี ความกล้าหาญมิเกรงกลัวต่อสิ่งใด และสัญชาตญาณหลีกหนีจากสถานการณ์อันตราย
ตั้งแต่ที่ได้เผชิญหน้ากับ [นักล่าเครื่องใน] เฟลท์ก็คอยขัดเกลาทักษะเหล่านี้ให้เฉียบคมยิ่งขึ้นไปอีกยามที่เธอว่างจากการศึกษาเพื่อการคัดสรรกษัตริย์
แม้ว่าทักษะเหล่านี้จะยังใช้หนีจากไรน์ฮาร์ดไม่พ้น แต่เฟลท์ก็ภาคภูมิที่ [ไพ่ในมือ] ที่เฉียบคมขึ้นคอยช่วยให้เธอมิเคยมองข้ามรายละเอียดสำคัญ
. หลังได้ทราบข่าวร้ายที่แฟรมส่งให้กราซิสผ่าน [พรคุ้มครองโทรจิต] ไรน์ฮาร์ดก็เตรียมรุดหน้าออกไปสกัดการเคลื่อนไหวของอัลเดบารันโดยทันที
เขาเต็มใจยอมรับความเสียเปรียบในการต่อสู้ที่เนินทรายออกุเลียที่ตนเองจะอ่อนแอลงที่สุด เนื่องจากอยากจำกัดความเสียหายจากการปะทะกับ [มังกรเทพ]
เฟลท์ไม่คัดค้านการตัดสินใจนั้น แต่เธอมีข้อแม้ว่าไรน์ฮาร์ดต้องยอมพาพวกเธอร่วมทางไปด้วยกัน
ทีแรกไรน์ฮาร์ดอยากห้ามเจ้านายเนื่องจากศัตรูเอาชนะทั้งเอซโซ่และแฟรมมาได้ แถมยังมี [มังกรเทพ] เป็นพันธมิตร นี่คือวิกฤตการณ์ระดับประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย
เฟลท์: ต่อให้จะไม่รู้เรื่องพรคุ้มครองของแฟรม การพา [มังกรเทพ] ออกมาด้วยก็ทำให้ความแตกโดยทันทีอยู่ดีจริงไหม พอความแตกแล้ว ถึงไม่บอกก็รู้ว่านายจะตรงดิ่งไปหา แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้เวรหมวกเกราะกลับยังกล้าทำ
ไรน์ฮาร์ด: …สรุปก็คือ ท่านเฟลท์จะบอกว่าท่านอัลเคลื่อนไหวโดยที่คาดการณ์ถึงเรื่องนั้นไว้อยู่แล้วงั้นเหรอ?
เฟลท์: ระหว่างระวังไว้ก่อนว่าเจอแน่ๆ กับหลอกตัวเองว่าไม่เจอหรอก แบบไหนมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน?
คำถามของเฟลท์ทำให้ไรน์ฮาร์ดเริ่มตระหนักว่าฝั่งอัลคงเตรียมแผนการรับมือเขาไว้แล้ว ซึ่งหนึ่งในมาตรการที่ว่าคงจะเป็น [มังกรเทพ]
กระนั้นไม่ว่าฝั่งเขาจะเสียเปรียบมากแค่ไหน ไรน์ฮาร์ดก็จำเป็นต้องไปหยุดยั้งวิกฤตการณ์ให้ได้ในฐานะ [นักดาบเทวา] ผู้ต้องแบกรับภาระรับผิดชอบอันใหญ่หลวง
. ในขณะที่อัศวินผมแดงกำลังคุยกับเธอในท่าคุกเข่า เฟลท์ก็เอื้อมสองมือไปประกบแก้มของเขาแล้วสั่งห้ามขยับก่อนจะกล่าวต่อ
เฟลท์: เจ้าโง่ บอกไปแล้วนี่ว่าไม่ได้ห้ามไปสักหน่อย นายตอบรับคำเชิญของฝั่งนั้นได้เลย ไปปลดปล่อยพลังบ้าบอคอแตกนั่นให้เต็มพิกัดซะ ――ส่วนที่เหลือน่ะ ทางนี้จะคอยเก็บกวาดให้เอง
ไรน์ฮาร์ด: ――อา
เฟลท์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบจะสัมผัสกัน ดวงตาสีฟ้าของไรน์ฮาร์ดเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ตอนนั้นเองที่บานประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรงโดยชายสามคนที่เบียดเสียดกันเข้ามาในสภาพเหนื่อยหอบและเด็กสาวสายตาง่วงนอนอีกคนหนึ่ง
เฟลท์: กลับมาได้ถูกเวลาเลยนี่หว่า ผลเป็นไงบ้าง?
ราจินส์: เฮ้อ…เฮ้อ… วะ…วานอะไรได้บ้าบอดีแท้
แคมบาลี่: ถ้าอยากได้รถมกรที่ทนทานและถึงพังก็ไม่เป็นไร ทำไมถึงไม่ใช่ของตัวเองเล่า คุณหนู!
แกสตอน: ไอ้บ้า จะเอามกรปฐพีตัวนั้น… จะเอาโรมี่ไปได้ยังไงกันเล่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย กราซิสเองก็ไม่ยอมบอกรายละเอียดอะไรเลย
กราซิส: การจัดหารถมกร เสร็จสิ้น
จากที่เอาแต่แสดงสีหน้าหม่นหมองของผู้แบกรับภาระหนักหนาแบบที่เฟลท์ไม่ชอบ ตอนนี้สีหน้าของไรน์ฮาร์ดเริ่มกลับมาเป็นเด็กหนุ่มสมวัย
เฟลท์: นายน่ะ หัดทำหน้าให้มันมีชีวิตชีวากว่านี้หน่อย อย่าหลงคิดว่าแกสามารถจัดการทุกเรื่องได้ด้วยตัวเองเชียวล่ะ ไรน์ฮาร์ด ตัวนายคนเดียวน่ะ แค่จับมือเจ้าสามคนนี้พร้อมๆ กันก็ยังทำไม่ได้เลยไม่ใช่หรือไง
ไรน์ฮาร์ด: ――ขอรับ ผมคือ [นักดาบเทวา] ที่แค่จับมือพวกเขาสามคนพร้อมกันก็ยังทำไม่ได้เลยครับ
ในที่สุด เขาก็พยักหน้ารับและแสดงใบหน้าของ “ไรน์ฮาร์ด” ออกมา มิใช่แค่ใบหน้าของ [นักดาบเทวา]
. หลังจากนั้นไรน์ฮาร์ดก็ได้แบกรถมกรวิ่งจากนครหลวงตรงดิ่งไปยังเนินทรายออกุเลียโดยที่แวะผ่านอาณาเขตแอสเทรอาซึ่งอยู่ระหว่างทางพอดี
ถึงแม้ว่าไรน์ฮาร์ดจะมี [พรคุ้มครองเลี่ยงสายลม] ช่วยลดแรงกระแทก แต่ชาตินี้เฟลท์ก็ไม่ขอสัมผัสประสบการณ์ซิ่งด่วนจี๋แบบนี้อีก
ไรน์ฮาร์ด: ขอตัวก่อนนะครับ ท่านเฟลท์!
เฟลท์: ไปอัดมันให้ยับเลย!
หลังส่งไรน์ฮาร์ดไปเป็นด่านหน้าเพียงครึ่งชั่วโมง [แม่มดแห่งริษยา] ก็ปรากฏตัวออกมาและทำให้อัศวินผมแดงติดพันอยู่กับศึกกลางทะเลทราย
กลายเป็นว่ามาตรการรับมือไรน์ฮาร์ดของอัลมันดันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าที่พวกเฟลท์ได้คาดการณ์ไว้อย่างสิ้นเชิง
รอม: ไม่จริงน่า [แม่มดแห่งริษยา] น่ะ …มันเป็นเล่ห์กลที่ต่อให้เป็นตัวข้าสมัยที่ยังออกศึกอยู่ก็ยังไม่เคยคิดที่จะใช้เลยน่อ ไอ้เวรหมวกเกราะคนนี้น่ะ ถึงข้าจะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ต้องเป็นชายที่เสียสติไปแล้วชัดๆ
ปู่รอมผู้เป็นหนึ่งในสองมันสมองหลักของฝ่ายเฟลท์ร่วมกับเอซโซ่ถึงกับถอนหายใจเมื่อได้รับรายงาน แต่เฟลท์เห็นต่างจากการประเมินนั้น
เฟลท์: ไม่หรอก จากที่ชั้นได้เห็นมา ไอ้เวรหมวกเกราะไม่ได้เสียสติขนาดนั้น ถึงรูปลักษณ์ที่เห็นกับวิธีการพูดจะแตกต่างกัน แต่เนื้อแท้ไม่ได้ต่างไปจากนายหูแมวคนนั้นของพี่ครูชกับพี่ชายผมดำของพี่เอมิเลียมากมายเลย
ที่จริงเฟลท์ไม่ได้มีมุมมองแง่ลบหรือแง่บวกต่ออัลผู้ทรยศเป็นพิเศษเลย เธอมองว่าเขามีความภักดีต่อเจ้านายสูงไม่ต่างจากอัศวินคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
เฟลท์: ――เพราะว่าเจ้าหญิงคนนั้นตายจากไป ก็เลยหมดอาลัยตายอยากงั้นเหรอ?
ข่าวการเสียชีวิตของพริสซิลล่า บาริเอลได้ถูกรายงานที่พระราชวังและมาถึงหูของเฟลท์ซึ่งอยู่ในนครหลวงพอดีด้วยเช่นกัน
กระทั่งเฟลท์ยังมองว่ามันเป็นข่าวที่ทำใจยอมรับได้ยากเหลือเกิน แต่คนนอกอย่างเธอยังพอก้าวข้ามความสูญเสียนั้นได้ ต่างจากอัลที่เกี่ยวพันโดยตรง
. เฟลท์กับราจินส์เห็นพ้องกันว่าเป้าหมายของอัลมิใช่ภารกิจพลีชีพเพื่อลากโลกทั้งใบให้จบเห่ไปด้วยกันเนื่องจากความสิ้นหวังที่สูญเสียพริสซิลล่า
เพราะถ้าหากว่าต้องการจะทำลายโลกจริง อุปสรรคใหญ่ที่สุดก็คือไรน์ฮาร์ดและอัลก็ควรจะร่วมมือกับ [แม่มดแห่งริษยา] เพื่อกำจัดเขาทิ้งแทนที่จะหนีออกมา
เฟลท์แซวราจินส์ที่รับบทเป็นกุนซือสำรองแทนเอซโซ่ แต่ทั้งสามอันธพาลต่างกลัวจนขาสั่นที่ต้องมาเข้าร่วมศึกที่อีกฝั่งเรียกกระทั่ง [แม่มดแห่งริษยา] ออกมา
นี่ยังไม่นับ [มังกรเทพ] ที่เป็นอีกกำลังรบของศัตรูซึ่งไม่มีใครในกลุ่มสู้ไหว แกสตอนนึกว่าเฟลท์แค่แวะมาที่อาณาเขตเพื่ออพยพผู้คนด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นเพียงเป้าหมายรอง
เฟลท์: ต้องคำนึงถึงทุกกรณีที่เป็นไปได้ แต่ขืนเอิกเกริกเกินไปจะได้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตพอดี กระทั่งพวกนายแค่ได้ยินคำว่า [แม่มด] ยังขนลุกขนพองกันเลยนี่
แคมบาลี่: มันก็แหงอยู่แล้วเซ่! คุณหนูเองก็น่าจะเข้าใจนี่!? นั่น [แม่มด] เชียวนะ [แม่มด]!
เฟลท์: ทีแฟนของนายยังถูกเรียกคล้ายๆ กันไม่ใช่เรอะ
แคมบาลี่: ถึงโตโต้จะถูกเรียกว่า [นางยั่วสวาทจอมโฉด] ก็เถอะ แต่นั่นไม่นับเพราะเธอน่ารักเวลาที่อยู่กับตูข้า!
ราจินส์ขัดการเถียงนอกเรื่องของทั้งสองแล้วกางแผนที่ลงบนโต๊ะ เขาอยากรู้แผนการและการตัดสินใจขั้นต่อไปของเฟลท์
หากเปิดให้ลงความเห็นตามเสียงข้างมาก สมาชิกส่วนใหญ่คงเลือกที่จะเผ่นหนี แต่กระนั้น คำสั่งของเฟลท์ก็คือคำขาดที่พวกเขาพร้อมจะทำตาม
แม้ว่าจะสั่นกลัวหรือสิ้นหวังเพียงใด ทั้งปู่รอมและสามอันธพาลต่างก็รอคอยการตัดสินใจของเฟลท์อย่างจดจ่อ เธอจึงอดคิดไม่ได้ว่า “ให้ตายสิ เจ้าพวกนี้หวังพึ่งได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
นิสัยติดตัวอย่างหนึ่งของเฟลท์คือการไม่ชอบนั่งรอเฉยๆ ให้คนอื่นแก้ปัญหา มันเป็นนิสัยแบบเลือดร้อนที่เธอติดมาจากผู้ปกครองอย่างปู่รอมเต็มๆ
เฟลท์: เตรียมเจ็บก้นได้เลย ไอ้พวกเวรตะไล ――ไอ้เจ้าคนที่บังอาจมาเล่นตุกติกกับไรน์ฮาร์ดของพวกเราน่ะ ไม่ต้องยั้งมือแล้วมาอัดมันให้ยับกันเถอะ
. หลังตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับศัตรูของไรน์ฮาร์ด พวกเฟลท์ก็ได้ข่าวว่ามีพยานพบเห็นกลุ่มของอัลออกมาจากทะเลทรายพร้อมกับ [มังกรเทพ]
รอม: มีพยานพบเห็น [มังกรเทพ] มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ ซึ่งถ้ามองแค่ผิวเผินล่ะก็ ไอ้เวรหมวกเกราะคงจะมุ่งหน้าไปด้วยกันล่ะน่อ …สรุปแล้ว จุดหมายปลายทางคือทิศเหนือ
เฟลท์: เห็นบอกว่า “ถ้ามองแค่ผิวเผิน” แสดงว่ามองในมุมกลับได้เหมือนกันสินะ?
รอม: อืม เท่าที่ได้ยินมา ไอ้เวรหมวกเกราะมันวางแผนทุกอย่างไว้ถี่ถ้วน มีกระทั่งมาตรการรับมือไรน์ฮาร์ด ถ้างั้นแล้ว จะทำตัวโดดเด่นที่เมืองท่าตรงทางออกเนินทรายไปเพื่ออะไร?
เฟลท์: นั่นไม่ใช่แค่เพราะอยากจะสร้างภาพจำให้คนอื่นรู้ว่า “ทางนี้มี [มังกร] นะเฟ้ย” หรอกเหรอ?
รอม: ถูกต้อง มันอยากสร้างภาพจำ ――เพราะอย่างนั้น ไม่คิดว่ามันอาจจะจงใจให้ [มังกรเทพ] บินไปทิศเหนือในระดับความสูงที่สายตามองเห็นบ้างเหรอ?
เฟลท์ทึ่งในการคาดคะเนของปู่รอม เธอได้เรียนรู้มาว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีมุมมองผิวเผินและมุมมองแบบบิดเบี้ยว ส่วนใหญ่มุมมองผิวเผินจะถูก แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้
เฟลท์: ที่จงใจให้คนอื่นเห็น [มังกร] มุ่งหน้าไปทิศเหนือนั่น ทำไปเพื่ออะไร?
รอม: แน่นอนอยู่แล้วว่า เพื่อปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงยังไงล่ะน้อ [มังกร] ที่บินแสดงตัวให้เห็นคือนกต่อ… ขอเดาว่าเป้าหมายจริงไม่น่าใช่ทั้งทิศเหนือและทิศตะวันออก แต่น่าจะเป็นทิศตะวันตกหรือทิศใต้
เฟลท์: ――เจ้าหญิงตายที่จักรวรรดิ หาก [มังกรเทพ] จู่โจมจักรวรรดิที่มีความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว มันก็จะกลายเป็นการเปิดศึกขึ้นมา งั้นเหรอ? …ไม่สิ ไม่ใช่หรอก
ทฤษฎีนั้นมันขัดแย้งกับเอกสารราชการที่มาพร้อมกับข่าวการตายของพริสซิลล่า ซึ่งมีเนื้อความเกี่ยวกับอนาคตความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีระหว่างราชอาณาจักรลูกุนิก้ากับจักรวรรดิวอลลาเคีย
จริงอยู่ว่าอัลอาจจะพลีชีพเพื่อมุ่งทำลายจักรวรรดิเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่สัญชาตญาณของเฟลท์บอกว่าเป้าหมายน่าจะเป็นทิศตะวันตกเสียมากกว่า
ปู่รอมเสริมว่าในเมื่อ [มังกร] บินล่อไปทางทิศเหนือ จึงตัดตัวเลือกทิศตะวันตกเฉียงเหนือทิ้งได้เลย เหลือเพียงแค่ทิศตะวันตกกับตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้น
. เฟลท์เดิมพันทุกสิ่งกับการตัดสินใจโดยอิงจากทักษะการอ่านเกมของปู่รอมและสัญชาตญาณของเธอเองในการจัดตั้งกองทัพดักหน้ากลุ่มของอัลที่ทุ่งราบแห่งหนึ่ง
เดิมทีตระกูลแอสเทรอามีกำลังพลไม่ค่อยมากอยู่แล้ว เนื่องจากไรน์ฮาร์ดคนเดียวก็แกร่งเกินพอ เธอจึงใช้บุคลากรส่วนนั้นในการอพยพคน
ส่วนกำลังรบหลักนั้น เฟลท์ได้ขอคนมาจากองค์กรใต้ดินประจำ [นครมกรปฐพี] แฟลนเดอร์สที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาเขตแอสเทรอา
ดอลเทโร่: ――กะแล้วเชียว เธอนี่มันเพี้ยนแบบกู่ไม่กลับจริงนะ ยัยหนู
แมนเฟร็ด: ไม่เลยๆ จะใช่งั้นเรอะ ฉันมองว่าตัดสินใจได้เฉียบขาดดีด้วยซ้ำ หากมีความจำเป็นก็ไม่ลังเลที่จะใช้งานผู้ใช้ความรุนแรงอย่างพวกเรา ในฐานะผู้สนับสนุนแล้วเชิดจมูก(ภูมิใจ)ได้เลย
โตโต้: แล้วจมูกของคุณมันอยู่ตรงไหนกันเนี่ย? รอยสักบนหน้าของคุณมันเด่นเตะตาซะเหลือเกิน ทำเอาดิฉันแยกส่วนของใบหน้าไม่ออกแล้วเนี่ย
คนหนึ่งเป็นมนุษย์สุกรผู้มีร่างกายกำยำและใหญ่โตพอๆ กับปู่รอม ผู้แทนจากองค์กร [กษาปณ์เงินกาฬ]
อีกคนหนึ่งเป็นชายรูปลักษณ์ประหลาดที่สักลายตราชั่งสีน้ำเงินไว้ทั่วใบหน้า ผู้แทนจากองค์กร [คันชั่ง]
คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวผู้เลอโฉมที่แต่งกายด้วยชุดวาบหวิวไม่เข้ากับสถานการณ์ ผู้แทนจากองค์กร [สวนคุกบุษบา]
เพียงแค่ฟังจากบทสนทนาก็รู้ได้ชัดว่าทั้งสามองค์กรไม่ถูกกัน แต่จุดร่วมของทั้งสามคือพวกเขาล้วนแต่ตอบรับคำร้องขอจากเฟลท์และมารวมตัวกัน
กลุ่มคนสีเทาประวัติเสียผู้ให้การสนับสนุนเฟลท์จำนวนมากกว่า 500 คนมารวมตัวกันทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคือศัตรูที่ทำให้ไรน์ฮาร์ดเสียท่ามาได้
เฟลท์มองดูกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างภาคภูมิพลางนึกในใจว่าอยากให้ไรน์ฮาร์ดได้เห็นภาพนี้ ก่อนที่จะหันกลับไปยังป่าใหญ่เพื่อตะโกนประกาศสงคราม
เฟลท์: ――เฮ้ย! ได้ยินใช่มั้ย? รู้นะเว้ยว่าอยู่ที่นี่ ไอ้เวรหมวกเกราะ!
. ตัดกลับมาปัจจุบัน ที่เบื้องหน้าของอัลคือกำลังรบที่เหนือกว่าการคำนวณของเขาถึงร้อยเท่า แม้รูปลักษณ์จะดูขาดความเป็นเอกภาพ แต่เป้าหมายของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน
อัลอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความสามารถของเฟลท์ผู้ที่พริสซิลล่าเปลี่ยนจากการดูหมิ่นเป็นให้การยอมรับภายในหนึ่งปี
เธอเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อโลกนี้ ต่างจากอัลอย่างสิ้นเชิง
อัล: ขอบคุณที่ให้การต้อนรับนะ แต่ว่า มัวมาสนใจชั้นมันจะดีเรอะ? ในระหว่างนี้น่ะ คุณ [นักดาบเทวา] ของพวกเธอก็ยังคง――
เฟลท์: ――โทษทีนะ
หมากแรกของอัลคือการพยายามชวนคุยเพื่อล้วงข้อมูลของอีกฝ่ายมาก่อน ทว่า เฟลท์ขัดคอเขาทันทีในขณะที่ขยิบตาข้างหนึ่ง
เฟลท์: ชั้นกับปู่รอมมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าควรทำให้แกหุบปากตั้งแต่แรกเลย
คำประกาศนั้นทำให้อัลเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที แต่มันก็ช้าไป เนื่องจากเงาร่างเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้กระโจนตัวออกมาเตะอัดลำคอของอัล
ผู้ที่เตะเขาเป็นเด็กสาวผมสีชมพูผูกเปียสองข้างซึ่งลงจอดบนพื้นอย่างแผ่วเบา รูปลักษณ์บ่งชี้ชัดเจนว่าเธอคือน้องสาวฝาแฝดของแฟรม
กราซิส: แก้แค้นให้แฟรม
อัล: ยังไม่…ตายว้อย…
สมองของอัลสั่นสะเทือน หัวเข่าก็หมดเรี่ยวแรงจนล้มฟุบลง แต่ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบ อัลได้กลืนยาพิษหลังฟันกรามตามที่ได้ฝึกไว้จนชิน
ทักษะการฆ่าตัวตายที่แทบจะเป็นสัญชาตญาณนี้ถูกสลักแน่นลงในดวงจิตของอัลจนกลายเป็นทักษะเฉพาะตัวที่กระทั่งไรน์ฮาร์ดยังเลียนแบบไม่ได้
เพราะว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเก่งเรื่องการฆ่าอัลเดบารันไปมากกว่าอัลเดบารันอีกแล้ว
× × ×
เฟลท์: ――เฮ้ย! ได้ยินใช่มั้ย? รู้นะเว้ยว่าอยู่ที่นี่ ไอ้เวรหมวกเกราะ!
พอสัมผัสจากการถูกพิษย่างสมองเลือนหายไป สิ่งแรกที่อัลได้ยินก็คือเสียงตะโกนประกาศศึกอันห้าวหาญของเฟลท์ เขาจึงทำการนับ 1 ในหัวโดยอัตโนมัติ
ไฮน์เคล: เฮ้ย! เสียงเมื่อกี้มัน นังเด็กผมทองคนนั้นนี่หว่า! เจ้านายของไรน์ฮาร์ดไง! ไหงถึงมาอยู่นี่ได้เนี่ย …ไหนว่าไม่มีทางถูกเจอตัวได้ไง!?
ไฮน์เคลกับยาเอะยังคงถกเถียงกันเหมือนเคย ส่วนอัลก็จำเป็นต้องอัปเดตข้อมูลกำลังรบของฝ่ายเฟลท์ครั้งใหญ่ เพราะสิ่งที่เป็นปัญหามิใช่แค่จำนวน
อัล: ท่าทางจะมีเบรน(มันสมอง)ที่ยุ่งยากหนุนหลังอยู่ด้วยสินะ
เรียกได้ว่านี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายต่ออัลคนละรูปแบบกับศึกปะทะ [นักดาบเทวา] ไรน์ฮาร์ด วาน แอสเทรอา
อัล: …ให้ตายสิ ดันใช้กลยุทธ์ที่ชั้นไม่ถูกโฉลกด้วยที่สุดอีกนะ คุณหนูเฟลท์
มันคือศึกปะทะกับคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่าอย่างท่วมท้นซึ่งอัลเดบารันหลีกเลี่ยงมิได้
. จบตอน