re zero webnovel arc9 chapter19 แปลไทย

บทที่ 9 ตอนที่ 19 "ชิงไหวชิงพริบ"

ริษยา: ――รักนะ

คำบอกรักที่กลบทาโลกทั้งใบจนแปรเปลี่ยนนั้น แท้จริงแล้วมิได้มี [เสียง] ดังออกมา

ที่ได้ยินมีแค่เสียงบางสิ่งแตกหัก เสียงบางสิ่งถูกบดขยี้ เสียงบางสิ่งฉีกขาด เสียงบางสิ่งแตกสลาย เสียงบางสิ่งถูกกระซวก

ริษยา: ――รักนะๆๆ

ยังคงไม่มี [เสียง] ดังออกมา ทว่า คำบอกรักนั้นบุกรุกเข้ามาถึงดวงจิตของผู้ฟังโดยตรงท่ามกลางโลกที่ถูกอย่างถูกเงามืดกลืนกิน

ในขณะที่จมอยู่ภายในความมืดมิดชั่วนิรันดร์ ดวงจิตของเขาก็ตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่ทุกอย่างที่เขาห่วงใยกำลังหลอมละลายหายไป

ที่เขามิอยากยอมรับเพราะว่าอ่อนแออย่างงั้นหรือ? ――ไม่ใช่ เพราะอ่อนโยนต่างหากล่ะ

ที่เขามิอยากยอมแพ้เพราะว่าอ่อนแออย่างงั้นหรือ? ――ไม่ใช่ เพราะอ่อนโยนต่างหากล่ะ

ที่เขามิอยากปฏิเสธความรักเพราะว่าอ่อนแออย่างงั้นหรือ? ――ไม่ใช่ เพราะอ่อนโยนต่างหากล่ะ

ริษยา: ――รักนะๆๆๆ

คำปฏิเสธรุนแรงถูกตะโกนออกมาต่อต้าน แต่มันก็ไร้ความหมาย เสียงกระพริบรักยังคงดังก้องต่อไป

ทั้งที่อันดับหนึ่ง อันดับสอง และกระทั่งอันดับสามในใจเขาถูกเติมเต็มไปแล้ว ความรักอันตื้นเขินและขี้ขลาดกลับหมายปองบางสิ่ง ซึ่งปลายทางของความเห็นแก่ตัวนั้นก็เดามิยากเลย

ริษยา: รักนะ รักนะ ――รักฉันที

“เห็นไหม กะแล้วเชียว”

ริษยา: รักฉันที รักฉันที รักฉันที รักฉันที รักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันทีรักฉันที ――รักฉันที

นั่นคือคำตอบที่คาดเดาได้ง่ายยิ่งกว่าสิ่งใด ตัวเขาเองก็คงทราบเรื่องนั้นดีอยู่แล้ว

สุบารุ: ――ชั้นน่ะ เกลียดแก

หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำนั้น

สุบารุ: ไม่มีวันที่จะรักแก อย่างแน่นอน

รู้สึกใจแทบจะขาดเมื่อตระหนักได้ว่าคำพูดนั้นสื่อถึงตัวเขาเอง มิใช่ใครอื่น แต่กระทั่งความน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ยังห่างชั้นอยู่หลายขุม เมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตาม

สุบารุ: …ผ้าเช็ดหน้า..ของเพทร่า?

เพทร่ารับรู้ได้ทันทีว่าห้วงเวลานั้นมาถึงแล้ว ราวกับว่ามีบ่วงเชือกผูกอยู่รอบคอ

. ในเมื่อปล่อยให้แฟรมรอดชีวิต ข่าวการทรยศของเขาย่อมไปถึงทั้งเฟลท์และสภาปราชญ์เป็นธรรมดา อัลถึงยอมสละหมากสำคัญอย่างมังกรเทพอัลเพื่อเปิดทาง

แต่แผนการนั้นกลับต้องมาล้มเหลวเพราะเด็กสาวที่เขาดูแคลนพากำลังรบมากกว่า 500 คนมาดักโจมตี

อัล: ให้ตายซี่ ในโลกนี้มันชักจะมีสตาร์เพลเยอร์ที่ชั้นเทียบไม่ติดเยอะเกินไปแล้ว

ไฮน์เคล: นี่ไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่นนะโว้ย!

บทสนทนาของพรรคพวกมาถึงช่วงที่ไฮน์เคลไม่พอใจยาเอะที่คิดจะใช้เขาเป็นเหยื่อล่อพอดี อัลจึงไม่รอช้าและเรียกประชุมแผนด่วน

สถานการณ์ปัจจุบันคือต่างฝ่ายต่างขาดไพ่ใบสำคัญในมือ แต่ฝั่งเฟลท์มีกำลังรบราว 500 คนที่อัลประเมินว่ามิใช่อัศวินหรือทหารยาม แต่คุ้นชินกับความรุนแรง

ไฮน์เคล: ช้าก่อนช้าก่อนช้าก่อน! 500 เรอะ!? แถมยังไม่ใช่ทหารอีก? นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ที่สำคัญ นายไปได้ข้อมูลนั้นมาจากไหน

อัล: สต็อปเลย เตี่ย ชั้นรู้จำนวนคนของอีกฝ่ายได้ยังไงมันไม่สำคัญ ประเด็นหลักคือนั่นเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน อีกอย่าง จำสัญญาตอนแรกสุดได้ไหม? ――“ถ้าอยากได้ [โลหิตมังกร] ล่ะก็ อย่าได้ต่อต้านหลักการของชั้นโดยเด็ดขาด” ไงล่ะ

ไฮน์เคล: กรอด…

อัล: รู้ใช่ไหมว่าผู้ชายที่รักษาสัญญาไม่ได้จะโดนเกลียดน่ะ?

. ไฮน์เคลในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากม้าที่หมายปองเพียงแครอทที่ห้อยต่องแต่งล่ออยู่เบื้องหน้าจนมิอาจต่อล้อต่อเถียงอะไรได้ อัลจึงหันไปปรึกษายาเอะต่อ

อัล: เธอคือชิโนบิผลงานชิ้นเอกจากวอลลาเคียไม่ใช่เรอะ พอจะทำอะไรสักอย่างได้ไหมเนี่ย

ยาเอะ: ถึงจะเป็นผลงานชิ้นเอก แต่การลอบสังหารมันล้มเหลวไปแล้วนี่ค้า~? อีกอย่าง การเชือดศัตรูเป็นร้อยเป็นพันคนในสนามรบมันใช่หน้าที่ของชิโนบิที่ไหนคะ ไม่ใช่ [อัสนีสีฟ้า] เสียหน่อย

อัลมีโอกาสได้รู้จักกับ [อัสนีสีฟ้า] เซซิลุสที่ยาเอะพูดถึงเล็กน้อย เขาเป็นอีกตัวตนเหนือสามัญสำนึกที่อยู่ในระดับเดียวกับไรน์ฮาร์ด

หากมีพลังระดับนั้น คงจะเลือกบุกฝ่ากองทัพนับพันคนแบบซึ่งๆ หน้าไปแล้ว ทว่า อัลล้มเลิกความฝันนั้นไปตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นทีนเอเจอร์(วัยรุ่น)

การเผชิญหน้ากับศัตรู 500 คนเป็นเรื่องที่โง่เขลา แถมน้ำเสียงมั่นใจของอีกฝ่ายก็บ่งชี้ว่าควรล้มเลิกแผนตีเนียนเหมือนพวกตนไม่ได้อยู่ในป่า

สาเหตุที่กราซิสยังไม่เปิดฉากจู่โจมแปลว่าฝั่งนั้นน่าจะยังไม่รู้พิกัดที่แน่นอนของกลุ่มอัล ทางเลือกที่ดีที่สุดจึงเป็นการอ้อมป่าหนีออกไปทางอื่น

ยาเอะ: อา ท่านอัล ดูเหมือนว่างานจะเข้าเล็กน้อยค่ะ

ยาเอะกระตุกชายเสื้อของอัลในตอนที่เขากำลังจะก้าวขา อัลจึงหันไปมองตามยาเอะตรงทางออกเดิมที่พวกเฟลท์ดักรออยู่

ยาเอะ: ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นจะเคลื่อนไหวเร็วมากเลยค่ะ

ทันใดนั้นเองที่ท่อนฟืนซึ่งมีควันสีขาวลอยออกมาได้ถูกกระหน่ำโยนเข้ามาภายในป่า

. ตัดมาทางฝั่งเฟลท์ซึ่งใจนึงคิดไว้แล้วว่าอัลเดบารันไม่น่าจะกล้าเสนอหน้าออกมาหลังเธอไปประกาศศึกด้วยการเรียกเขาว่า “ไอ้เวรหมวกเกราะ”

เดิมทีเฟลท์ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับอัลอยู่แล้ว แถมการตราหน้าอีกฝ่ายเป็นศัตรูอย่างชัดเจนจะช่วยเพิ่มความฮึกเหิมให้แก่ฝั่งตนเองที่กำลังล้อมป่าอยู่

เฟลท์: ว่าแต่ ไม่ได้พลาดใช่ไหมหว่า? ไม่อย่างงั้น ชั้นได้กลายเป็นคนน่าอับอายที่ตะโกนทักทายซะเสียงดังใส่ป่าที่ว่างเปล่าแหงเลย

แมนเฟร็ด: ฮ่าฮ่าฮ่า ยืดอกเข้าไว้ [ราชสีห์ทองคำ] จริงอยู่ว่าอาจจะสำแดงฤทธิ์ได้แค่ตาเดียว แต่ถึงอย่างนั้น พอจำกัดวงให้แคบลงขนาดนี้แล้ว ถึงไม่อยากเห็นก็ยังเห็นอยู่ดีนั่นแหละ

ชายหัวโล้นที่โต้ตอบเฟลท์ด้วยสำเนียงประหลาดคือแมนเฟร็ด มาดิสัน ผู้นำขององค์กร [คันชั่ง]

สมาชิกของ [คันชั่ง] มีธรรมเนียมการสักลายตาชั่งบนร่างกายเพื่อแสดงความภักดีต่อองค์กร แต่แมนเฟร็ดลงทุนสักทั้งใบหน้า ลำคอ ลูกตา และคงมีอีกเพียบซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า

แมนเฟร็ด: ――[พรคุ้มครองเห็นไกล]

ก่อนหน้านี้แมนเฟร็ดเคยมีตาซ้ายที่สักลายทับไว้ แต่เขากลับกำลังใช้ดวงตาที่ไร้รอยสักจดจ้องไปทางผืนป่าด้วยท่าทางประหลาด

นั่นเป็นเพราะว่าดวงตาซ้ายที่แมนเฟร็ดกำลังใช้อยู่ในปัจจุบันคือดวงตาของชายที่เคยเป็นอดีตลูกน้องของเขาเอง

แมนเฟร็ด: กะแล้วเชียว พรคุ้มครองของคนอื่นนี่มันปรับความคุ้นชินยากเสียจริง แต่ว่า เห็นแล้วล่ะ

เฟลท์: นั่นแลดูสะดวกก็จริงแต่น่าขนลุกชะมัดเลยนะ ทำได้ยังไงล่ะนั่น?

แมนเฟร็ด: ความตรงไปตรงมานั่นไม่ได้เกลียดหรอกนะ ――ทว่า วิธีการขโมยพรคุ้มครองน่ะถือเป็นความลับของ [คันชั่ง]

แม้อีกฝ่ายจะไม่เปิดเผยวิธีการ แต่เฟลท์ที่เคยโดน [พรคุ้มครองเห็นไกล] เล่นงานมาก่อนก็ไม่กังขาเลยว่าแมนเฟร็ดพบตำแหน่งของศัตรูแล้วจริงๆ

. ในเมื่อศัตรูคิดจะกบดานอยู่ในป่า ก็ต้องบีบให้พวกมันเป็นฝ่ายโผล่หน้าออกมาเอง ปู่รอมในฐานะยอดกุนซือจึงเริ่มเดินหมากขั้นต่อไป

ไม้ไพโรสดมีคุณสมบัติติดไฟยาก แต่จะปล่อยควันออกมาเยอะมาก แถมใช้น้ำดับควันก็ไม่ได้ มันจึงเป็นไม้ที่เหมาะสมต่อแผนการรมควันพวกอัล

กลุ่มชายฉกรรจ์ที่นำโดยแกสตอนทำการเขวี้ยงฟืนไม้ไพโรเข้าไปในป่าลึกอันแล้วอันเล่า ป่าไม่เกิดไฟลุกลามอย่างที่ปู่รอมบอก มีเพียงแต่ควันขาวที่ลอยโขมง

รอม: ประสิทธิภาพของควันน่ะไม่ได้มีแค่การช่วงชิงทัศนวิสัย แต่ยังสร้างภาระทางจิตใจ แถมสิ่งที่หนักหนาที่สุดก็คือความทรมานตอนที่สูดมันเข้าไปนี่ล่ะน่อ

เฟลท์: มันจะทำให้สำลักแบบเจ็บปวดสุดๆ เลยสินะ

รอม: ใช่แล้วล่ะ ทรมานเหมือนตกนรกเลยล่ะน่อ อีกอย่าง――

ปู่รอมหรี่ตาลงพลางจ้องไปทางแคมบาลี่กับแฟนสาวของเขาหรือโตโต้ นายหญิงแห่ง [สวนคุกบุษบา] ซึ่งกำลังชี้แนะเหล่าบริวารให้ร่ายเวทวายุ

สิ่งที่ร่ายออกมามิใช่ลมกรรโชกที่จะโค่นล้มต้นไม้ แต่เป็นสายลมแผ่วเบาที่จะลอดผ่านแมกไม้และนำพาควันขาวให้กระจายไปทั่วผืนป่า

รอม: เท่าที่ข้าพอจะรู้ มีผู้คนส่วนน้อยที่ไม่สะทกสะท้านต่อยาพิษและบาดแผลฉกรรจ์อยู่ด้วย ทว่า ตลอดชีวิตที่ยืนยาวอย่างไร้ค่านี้ ไม่เคยพบเจอผู้ใดที่ทนต่อความทรมานจากการถูกรมควันได้เลย

ในขณะที่กลยุทธ์ของปู่รอมกำลังรุดหน้า เฟลท์ก็ตระหนักได้อีกครั้งว่าผู้ปกครองบุญธรรมของเธอมีภูมิความรู้ที่อันตรายขนาดไหน

ปู่รอมมีอดีตอันขมขื่นบางอย่างที่เขามิอาจกล่าวถึงอย่างภาคภูมิได้ ซึ่งเฟลท์ก็ไม่รู้รายละเอียดและไม่เคยคิดจะล้วงถาม เพราะเธออยากรอให้ปู่รอมเป็นฝ่ายอยากเล่าออกมาเอง

เฟลท์: เป็นงายล่ะ ――ปู่รอมของชั้นน่ะรับมือยากใช่มั้ยเล่า

. ตัดกลับไปทางกลุ่มอัล ไฮน์เคลกำลังแตกตื่นเพราะกลัวว่าพวกตนจะถูกเผาทั้งเป็น ยาเอะจึงต้องแย้งว่าการก่อไฟป่าจะทำให้ยืนยันศพได้ยาก แถมยังอาจทำให้ฝั่งตัวเองโดนลูกหลงไปด้วย

อัลสั่งให้ไฮน์เคลเงียบปากเพื่อขอเวลาใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะได้ข้อสรุปว่าแผนการของฝ่ายเฟลท์น่าจะเป็นการรมควันพวกตนมากกว่า

หากคนเราสูดควันเข้าไป ต่อให้จะเป็นยาเอะที่ผ่านการฝึกฝนให้ทนต่อการทรมานหลากหลายรูปแบบก็ยังต้องสำลักควันจนน้ำตาไหล

พวกอัลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการหลบหนีภัยอันตรายไปตามเส้นทางที่ถูกจำกัดไว้โดยสายลมที่พัดกำหนดทิศทางควัน

ป่านนี้กำลังรบ 500 คนคงถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยเพื่อดักตามทางออกที่เหลืออยู่แล้ว พวกอัลจึงกำลังถูกไล่ต้อนไปเจอทางตันตามแผนการของเฟลท์

อัล: คงเป็นเพราะเบรน(มันสมอง)เจ้าปัญหามากกว่าล่ะมั้ง แม่งเอ๊ย โดนมันเล่นเข้าซะแล้ว

อัลนึกภาพแผนที่โลกขึ้นมาในหัว จุดหมายของเขาอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตก แต่ปัจจุบันเหลือเวลาอีกแค่ 6 วัน เพราะหมดไปแล้ว 1 วันจากการพักผ่อนและเดินทางก่อนหน้านี้

ยาเอะ: ท่านอัล!

อัล: ――ชิ ยาเอะ ฝากบอกทิศทางของลมให้หน่อย! เตี่ย ช่วยนำทางไปตามทิศทางที่ยาเอะบอกที! ต้นไม้ที่ขวางทางน่ะฟันทิ้งไปได้เลย!

ไฮน์เคล: ระ…รับทราบ

อัล: ตอบเสียงค่อยเหลือเกินคร้าบ!

ไฮน์เคล: รับทราบ!!

. หลังตะโกนปลุกใจตัวเอง ไฮน์เคลก็ชักดาบออกมาแล้วนำทางไปตามทิศที่ยาเอะบอก อัลใช้จังหวะนั้นไตร่ตรองว่าตนควรที่จะตั้งค่าอาณาเขตใหม่เลยไหม

หากอัปเดตเมทริกซ์อัลก็จะหมดโอกาสย้อนไปตอนที่เฟลท์ยังมิได้เริ่มปฏิบัติการรมควัน แต่ตัวเลือกในตอนนั้นมันมีแค่การเผชิญหน้ากับศัตรู 500 คนพร้อมกัน

อัล: แบบไหนดีกว่ากันนะ?

สุดท้ายชัยชนะก็จะตกเป็นของอัลเดบารันอยู่ดี เพราะนอกจากตัวเขาก็ไม่มีใครอีกแล้วที่สามารถเล่นงานไรน์ฮาร์ด วาน แอสเทรอาและนัตสึกิ สุบารุจนอยู่หมัดได้

สิ่งสำคัญที่ต้องเลือกในศึกนี้จึงมิใช่ทำอย่างไรถึงจะชนะ แต่เป็นตัวเลือกไหนจะทำให้เขาเข้าใกล้เป้าหมายหลังจากที่ชนะศึกนี้มากกว่ากัน

ยาเอะ: ท่านอัล ขืนปล่อยให้ไปคนเดียวเดี๋ยวท่านไฮน์เคลจะตายเอานะคะ?

อัล: ――นั่นสินะ ไปกันเถอะ!

อัลทำการอัปเดตเมทริกซ์พร้อมกับที่ออกวิ่ง เขาสลัดความลังเลก่อนหน้านี้ทิ้งไปหมดจดและตั้งค่าให้ช่วงเวลานี้กลายเป็นจุดเซฟใหม่

ชีวิตคนเรานั้นเต็มไปด้วยการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ การเลือกสวมถุงเท้าข้างซ้ายหรือขวาก่อน หรือกระทั่งการตัดสินใจสำคัญในสถานการณ์เสี่ยงชีวิต

ไม่ว่าจะตัดสินใจเรื่องอะไร ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาให้ได้แทนที่จะมัวแต่ยึดติดอยู่กับตัวเลือกที่พลาดโอกาสไป

จริงอยู่ว่าอัลเดบารันกับนัตสึกิ สุบารุมีโอกาสให้ยึดติดอยู่กับตัวเลือกมากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับผลของการตัดสินใจและก้าวเดินต่อไป

ไฮน์เคลผ่าต้นไม้ใหญ่ที่ขวางทางตามคำสั่งของยาเอะและกัดฟันทนการล้อเลียนของอัล ระหว่างนั้นเองที่ควันรอบตัวพวกเขาเริ่มหนาแน่นขึ้น ซึ่งแปลว่า――

อัล: ――การดักโจมตีใกล้เข้ามาแล้ว

. ราจินส์ได้รับบทบาทเป็นผู้นำหน่วยดักโจมตีที่ประจำการอยู่ที่ทางออกจุดหนึ่งของป่า หากว่ากันตามตรง บทบาทนี้มันเกินตัวเขาไปมาก

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ชีวิตของเขามันออกนอกลู่นอกทางจนต้องมาเกี่ยวพันกับทั้ง [นักดาบเทวา] [มังกรเทพ] และ [แม่มดแห่งริษยา]

ราจินส์กระทืบเท้าใส่วัชพืชเพื่อระบายโทสะ กระนั้นลำต้นที่ยืดหยุ่นของหญ้ากลับยังคงแข็งแรงดี แถมมันยังพยายามต้านทานฝ่าเท้าของเขาอีกต่างหาก

ราจินส์ตระหนักได้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากวัชพืช ดื้อด้านเก่งเป็นที่หนึ่ง และไม่ว่าเมล็ดจะถูกสายลมพัดพานไปที่ไหน หญ้าก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นหญ้าอยู่ดี

ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด สุดท้ายราจินส์ก็ต้องใช้ชีวิตในแบบฉบับตัวเขาเอง เจ้าตัวจึงเดาะลิ้นอย่างขุ่นเคืองและตั้งมั่นที่จะเติมเต็มบทบาทที่ได้รับความคาดหวังมา

อันธพาลที่ประจำการอยู่กับราจินส์สังเกตเห็นเคลื่อนไหวภายในป่า ตามแผนการที่วางไว้ อัลจะถูกไล่ต้อนให้เผ่นออกมาจากป่าจุดใดจุดหนึ่งที่เฟลท์วางกำลังรบเอาไว้

หน้าที่ของราจินส์คือการดักรุมกระทืบอัลร่วมกับเหล่าคนจากองค์กรใต้ดินจากแฟลนเดอร์สซึ่งเป็นอาชญากรที่ชีวิตดำมืดกว่าแก๊งราจินส์เยอะ

. ทว่า สิ่งแรกที่พุ่งออกมาจากป่ากลับเป็นกระสุนปืนใหญ่ ไม่สิ มันคือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกเหวี่ยงจนหมุนควงด้วยแรงมหาศาลจนกลายเป็นกระสุนปืนใหญ่

ซุงท่อนหนายิ่งกว่าร่างกายของแกสตอนและยาวกว่า 10 เมตรกลายเป็นกระสุนปืนใหญ่น่าหวาดผวาที่ทำให้กลุ่มอันธพาลแตกตื่นจนวิ่งหนีไปคนละทาง

ราจินส์: ――เอล โกอา!

ราจินส์ยืนหยัดไม่ถอยหนีและชี้นิ้วร่ายมนตร์เสกดอกไม้ไฟสีแดงฉานออกมาปัดเป่ากระสุนท่อนซุงให้ระเบิดออกกลายเป็นเศษไม้

ราจินส์: พวกเอ็งอย่าพึ่งตาขาวกันสิฟะ! ในเวลาแบบนี้น่ะฝ่ายไหนที่ตาขาวก่อนย่อมแพ้! พวกเอ็งก็น่าจะเคยได้ยินมาบ่อยแล้วไม่ใช่เรอะ!

ราจินส์ประกาศกร้าวพลางชักมีดออกมาจากเอวแล้วหันปลายมีดไปทางป่า นี่ถือเป็นโอกาสดีที่ราจินส์จะได้แก้มือให้พวกอันธพาลบางคนที่กังขาเขาก่อนหน้านี้ได้เห็น

ขณะที่ราจินส์กำลังปลุกใจอันธพาลว่าในเมื่อหวยมาออกที่กลุ่มตน ก็ไม่ควรที่จะชักช้า ฝั่งศัตรูก็ยิงกระสุนท่อนซุงที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมออกมาอย่างต่อเนื่อง

ราจินส์: ไอ้เวรเอ๊ยยย!!

ราจินส์สบถพร้อมร่ายมนตร์เสกเปลวเพลิงสวนไปหลายนัด แต่บางนัดก็พลาดเป้า กระสุนท่อนซุงที่พุ่งมาจึงทำให้ทัพของราจินส์แตกกระบวน

. กระสุนของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่หาได้จากรอบตัว ดังนั้นหากมัวแต่อ้อยอิ่ง ฝั่งที่จะเสียเปรียบก็คือพวกราจินส์เองนั่นแหละ

ราจินส์: ――ลุยกันเลย อย่ามัวแต่ชักช้าสิเฟ้ย!!

ในศึกระหว่างอันธพาล ฝ่ายไหนโดนเปิดก่อนย่อมเสียเปรียบ เพราะทั้งกำลังรบและกำลังใจจะถดถอยลงเรื่อยๆ ราจินส์จึงทำการตะโกนปลุกใจพรรคพวกอีกครั้ง

เมื่อเห็นราจินส์วิ่งนำทัพ เหล่าอันธพาลเลือดร้อนต่างก็หยิบจับอาวุธและออกวิ่งตามหลังเขาไปด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้น

ราจินส์: ――อัล โกอา!!

ราจินส์แผดเสียงตะโกนจนแทบกระอักเลือดพลางยื่นมือขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วในพริบตาต่อมา ลูกบอลเพลิงขนาดใหญ่ยักษ์จากเวทอัคคีระดับสูงสุดก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ

เหล่าอันธพาลร้องตะโกนอย่างฮึกเหิมในขณะที่ราจินส์ควบคุมลูกไฟให้ลอยสูงขึ้นไปอีก ฝั่งศัตรูเองก็กระหน่ำยิงกระซุนท่อนซุงใส่ลูกบอลเพลิงเพื่อขัดขวางมันทุกวิถีทาง

ราจินส์: ไอ้โง่ววว

ทว่า กระสุนส่วนใหญ่ของศัตรูกลับพลาดเป้าหมายอย่างไร้ค่า ราจินส์จึงแลบลิ้นที่เจาะติดเครื่องประดับออกมาล้อเลียนอีกฝ่าย

สาเหตุก็เพราะว่าแท้จริงแล้วเวท [อัล โกอา] ที่เขาร่ายเป็นเพียงของปลอม มันคือเวท [โกอา] ที่จำแลงรูปลักษณ์ให้ดูเว่อร์วังแต่กลวงเปล่า

เพราะงั้นกระสุนท่อนซุงนัดแรกจึงปัดเป่าอัล โกอาปลอมจนหายไป ส่วนนัดที่เหลือก็บินเลยไปตกอยู่ตามทุ่งราบ เปิดโอกาสให้กลุ่มของราจินส์ 50 กว่าคนได้บุกเข้าประชิด

ยาเอะ: อา~ โธ่เอ๊ย เพราะท่านไฮน์เคลใจร้อนแท้ๆ ถึงได้โดนบุกเลยนะคะเนี่ย~

ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงหวานชื่นของหญิงสาว ร่างกายก็หยุดนิ่ง ไม่ใช่ว่าหยุดวิ่งเพราะสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ร่างกายของราจินส์กับอันธพาลอีกราว 50 คนขยับไม่ได้พร้อมกัน

ตัวการคือหญิงสาวผมแดงร่างผอมบางในชุดเมดแนววะฟูที่ยืนอยู่กลางอากาศอันว่างเปล่าจนสร้างความสับสนให้แก่กลุ่มของราจินส์

ยาเอะ: ถ้าให้พันธนาการพร้อมกัน ก็ทำได้แค่ประมาณร้อยคนนี่แหละค่ะ เนอะ?

ตอนนั้นเองที่ราจินส์ตระหนักได้ว่าสาเหตุที่หญิงสาวคนนี้ร่วมมือกับไอ้หมวกเกราะมิใช่เพราะทักษะต่อสู้ หากแต่เป็นนิสัยของเธอเสียมากกว่า

. ในเมื่อไม่มีมานามหาศาลของ [มังกรเทพ] อัลจึงคว้าอะไรก็ได้ที่มีอยู่มาใช้ ต้นไม้ที่ไฮน์เคลตัดระหว่างทางจึงกลายมาเป็นอาวุธเฉพาะกิจ “ปืนใหญ่ไม้ล้ม”

ความรู้วิทยาศาสตร์ของอัล กำลังแขนของไฮน์เคลและวิชาของยาเอะถูกผสานเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแท่นดีดกระสุนขึ้นมาใช้ลดจำนวนศัตรูที่ดักรออยู่

เมื่ออัลให้สัญญาณ ไฮน์เคลก็ออกแรงเบ่งกล้ามและกดต้นไม้ที่เป็นกระสุนสุดแรง แล้วเมื่อเขาปล่อยมือกระสุนปืนใหญ่ก็จะถูกดีดออกไปข่มขวัญศัตรูจนทัพแตก

ทว่า พอลูกไฟยักษ์ปรากฏออกมาเหนือฟากฟ้า ไฮน์เคลก็รัวยิงกระสุนด้วยความแตกตื่นโดยที่ไม่รอสัญญาณจากอัล ส่งผลให้ศัตรูมีโอกาสบุกประชิด

เคราะห์ดีที่ยาเอะช่วยเก็บกวาดข้อผิดพลาดของไฮน์เคล เนื่องจากศัตรู 50 กว่าคนที่เล็ดลอดเข้ามาถูกพันธนาการไว้โดยอาวุธที่ออกมาจากนิ้วมือทั้งสิบ

ราจินส์: ――ลวด งั้นเรอะ?

ยาเอะ: โอ้ หลักแหลมนะคะเนี่ย แน่นอนว่าม่ายช่ายแค่ลวดสำหรับถักทอหรอกนะคะ? มันถูกเรียกว่าศาสตร์แห่งชิโนบิค่ะ แต่ก็นะ ถึงนอกจากตัวฉันจะไม่เคยเห็นใครใช้เลยก็เถอะค่ะ

ลวดเหล็กวิชาประจำตัวของยาเอะถูกขึงไว้ทั่วป่าราวกับใยแมงมุม มันมองแทบไม่เห็นด้วยเปล่า จึงมีประโยชน์ทั้งในการดักจับศัตรูและเป็นแท่นยืนที่เธอกำลังใช้อยู่

นอกจากนี้ลวดเหล็กก็ยังถูกใช้ผูกกับแขนของไฮน์เคลเพื่อสร้างเป็นกลไกในการดีดกระสุนของปืนใหญ่ไม้ล้มก่อนหน้านี้ด้วย

อาจเรียกได้ว่าความแกร่งที่แท้จริงของยาเอะก็คือทักษะการควบคุมเส้นลวดอย่างแม่นยำและอิสระ

อัล: ที่เรียกกันว่า [ผู้ใช้ลวด] …ในบรรดาอาวุธสายโรแมนติกทั้งหลาย ชั้นชอบเจ้านี่ที่สุดเลย

ยาเอะ: หวา แปลกจังเลย~ นี่ท่านอัลพึ่งจะชมฉันงั้นเหรอคะ? พรุ่งนี้ฝนจะตกเป็นหอกไหมคะเนี่ย?

. อัลเดินไต่ลวดเหล็กของยาเอะขึ้นมาเพื่อมองสำรวจกลุ่มศัตรู 50 กว่าคนจากที่สูง หากไม่มียาเอะอยู่ด้วย การสู้กับกลุ่มคนจำนวนขนาดนี้ย่อมลำบากยากเย็น

ความถนัดของอัลคือการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งเขาสามารถเอาชนะได้กระทั่งไรน์ฮาร์ดมาแล้ว ยิ่งศัตรูเพิ่มจำนวนขึ้น อัลก็ยิ่งสู้ลำบากและยิ่งต้องรีเซ็ตมากขึ้น

กระทั่งตอนที่สู้กับแท็กทีมของการ์ฟีลกับเอซโซ่ อัลก็พยายามยั่วยุการ์ฟีลให้สถานการณ์ส่วนใหญ่กลายเป็นการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1

หากมีกำลังรบอยู่ในศึกนั้นอีกสักคน อัลคงจะลำบากขึ้นอีกหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน เพราะงั้นการมีพรรคพวกฝั่งตัวเองเพิ่มจึงเป็นเรื่องดี

ไฮน์เคลที่เดินสำรวจอยู่บนพื้นถามว่าควรฆ่าพวกราจินส์ทิ้งไปเลยดีไหม แต่อัลมองว่าการเหลือคนเจ็บไว้จะฉลาดกว่า เนื่องจากฝั่งศัตรูต้องแบ่งกำลังคนมาช่วยรักษา

ไฮน์เคลเห็นพ้องกับอัลแถมยังดูแอบโล่งใจที่ไม่ต้องฆ่าด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองที่ราจินส์ขำออกมาดัง “เหอะ”

ไฮน์เคล: หา? อะไรวะ? โล่งใจที่รอดตายงั้นเรอะ ไอ้นักเลง

ราจินส์: คนที่โล่งใจมันฝ่ายไหนกันแน่ ไอ้ขี้เหล้า …ให้ตายสิ ไม่ใช่แค่ผมกับตา แต่ด้านอื่นก็เหมือนกับไอ้เวรนั่น(ไรน์ฮาร์ด)ด้วยเรอะเนี่ย

คำพูดของราจินส์ทำให้ไฮน์เคลนิ่งเงียบไป อัลเห็นท่าไม่ค่อยดีนัก เขาจึงคิดจะหยุดการสนทนาไว้เพียงแค่นั้น

ราจินส์: เอ็งก็ด้วย ไอ้เวรหมวกเกราะ!

อัล: โอ๊ะ

ราจินส์: ทั้งแกทั้งไอ้ขี้เหล้าคนนี้น่ะ อ่อนหัดชะมัดเลย หัดเรียนรู้ความยากลำบากดูซะบ้าง ไอ้โง่ววว

ฟังดูผิวเผินคำก่นด่าของอีกฝ่ายแลดูจะไม่ตรงประเด็น แต่ราจินส์มิใช่ชายที่จะทำอะไรไร้ความหมาย ทว่า กว่าอัลจะรู้ตัวมันก็สายเกินไปเสียแล้ว

ดอลเทโร่: ――อะไรกัน อืดอาดเป็นหมูเลยนี่

ค่าใช้จ่ายของความเชื่องช้ารอบนั้นคือกำปั้นที่รุนแรงดุจกระสุนปืนใหญ่ของ [ราชาสุกร] ซึ่งอัดเข้าใส่อัลเดบารันทีเผลอจนสติของเขาดับวูบไป

. จบตอน