ท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างที่เป็นดั่งความหวังได้ส่องประกายขึ้นมา แต่หัวใจของคุณมิได้แกร่งพอจะคว้ามันไว้
สุบารุ: …เอมิเลีย?
ยามที่ผ้าคลุมที่ถักทอจากความมืดถูกเปิดออกและเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ภายใน หัวใจที่ร้อนผ่าวของคุณก็เต้นรุนแรงกับว่าถูกราดน้ำเย็นใส่
ขนตายาว ดวงตาสีม่วงคราม จมูกทรงได้รูป และริมฝีปากสีชมพูของบุคคลอันเป็นที่รัก
แทนที่จะเป็นใบหน้าที่น่าชิงชังที่สุด สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังผ้าคลุมกลับกลายเป็นใบหน้าที่รักที่สุด
หากลังเลแม้แต่วินาทีเดียว กระทั่งอิสรภาพของดวงจิตก็จะถูกช่วงชิงไปตลอดกาล
ทว่า คุณมีสิ่งที่สามารถใช้ปฏิเสธผลลัพธ์นั้นอยู่ในมืออยู่แล้ว ในรูปลักษณ์ของผ้าเช็ดหน้าที่มีแสงปกคลุม
เพทร่าทั้งตะโกนสุดเสียง ร้องขอสุดชีวิต อ้อนวอนว่า “หยุดเถอะนะ” สุดเสียง แต่ก็ไม่มีเสียงใดที่ส่งไปถึงเลย เพราะมันสายเกินไปและไร้กำลังเกินไป
สุบารุ: ชั้นจะ..ช่วยเธอ――
――ให้จงได้เลย
ด้วยการเตรียมใจและคำสาบานภายในอกนั้น [ตัวฉัน] ได้สังหารคุณ ――ได้สังหาร “นัตสึกิ สุบารุ” ลง
. แรงปะทะจากกำปั้นไซซ์มหึมาพอๆ กับศีรษะของเขาทำให้ร่างของอัลเดบารันถูกบดขยี้กลางอากาศและปลิวไปอัดกระแทกต้นไม้ใหญ่
ผู้ที่ต่อยอัลเป็นชายหน้าหมูร่างใหญ่ที่สวมชุดสูทสีดำซึ่งไม่เข้ากับสนามรบ เขามีกำปั้นที่แข็งดุจหินผา แขนที่หนาเป็นท่อนซุง และกล้ามเนื้อกำยำที่ห่อหุ้มร่างกายดุจเกราะ
ดอลเทโร่: จะไม่ร้องเหมือนหมูสักหน่อยเหรอ
ชายหน้าหมูเล่นมุกแป้กสนิทหน้าตาเฉย ทั้งที่ตัวสูงเกือบ 2 เมตรและมีน้ำหนักที่น่าจะเกิน 200 กิโลกรัม ชายหน้าหมูกลับสามารถลอบโจมตีอัลกลางอากาศได้สมบูรณ์แบบ
ยาเอะ: …ถ้างั้นล่ะก็ เอาแขนนั่นไปทำมื้อค่ำคืนนี้ดีไหมคะ?
สาเหตุที่อัลยังไม่ตายนั้นไม่ใช่เพราะปาฏิหารย์ แต่เป็นเพราะกำปั้นของชายหน้าหมูต่อยผ่านลวดเหล็กที่ยาเอะขึงไว้ก่อนจะไปถึงตัวอัล แขนข้างนั้นจึงถูกปั่นเละเป็นเศษเนื้อตั้งแต่ปลายนิ้ว
ดอลเทโร่: นั่นสินะ เอาไปให้พวกลูกน้องกินเป็นค่าเหนื่อยแล้วกัน แต่เพราะเป็นเนื้อติดมัน คุณค่าทางโภชนาการเลยไม่ค่อยมีล่ะนะ
ยาเอะ: ว้าย~ ฉันละชอบมุกวงในของเผ่าอมนุษย์ที่สุดเลย! จะว่าไป เนื้อติดมันเนี่ยขอแนะนำให้เอาไปต้มนะคะ
ดอลเทโร่: เช่นนั้นแล้ว ขอเอาเลือดที่รีดออกจากพวกแกมาใช้ต้มก็แล้วกัน
ทั้งมนุษย์สุกรที่สูญเสียแขนและยาเอะที่ไพ่ตายพ่ายต่อกำลังแขนต่างหยอกล้อกันอย่างสบายใจ โดยที่ต่างฝ่ายต่างเก็บซ่อนจิตสังหารรุนแรงเอาไว้
ระหว่างที่พวกเหนือมนุษย์ไปหนึ่งแรงค์เสวนากันอยู่ อัลที่กะโหลกแตกจนบางอย่างกระฉอกออกมาทั้งที่ไม่ควรก็โซเซจนร่วงจากต้นไม้
อัล: ยาเอ
สติที่เลือนรางทำให้เขาเริ่มพูดไม่เป็นคำ แต่การขานชื่อยาเอะเป็นการส่งสัญญาณให้เจ้าตัวกระตุกลวดเหล็กที่พันอยู่รอบคอของอัล ส่งผลให้ศีรษะกับร่างกายของเขาถูกกระชากออกจากกันโดยทันที
ทัศนวิสัยของเขาหมุนเคว้ง นี่คือมาตรการฉุกเฉินที่เตี๊ยมไว้เพื่อบังคับใช้งานอำนาจในกรณีที่อัลตกอยู่ในสภาพที่ฆ่าตัวตายมิได้
อัล: ตร่อ..ไป…
× × ×
ราจินส์: ――อัล โกอา!!
ในลูปถัดไป หลังจากที่คำร่ายมนตร์ดังขึ้น ดวงอาทิตย์เทียมที่ตามปกติคงอยู่ได้แค่ 3 วินาทีก็ปรากฎออกมา แต่แค่นั้นก็เพียงพอต่อการใช้เป็นกลยุทธ์ดักควายแล้ว
อัล: เตี่ย! ไอ้นั่นเป็นของปลอ――
ไฮน์เคล: ว้ากกกก!!
เนื่องจากจุดเซฟอยู่ตรงนี้พอดี เสียงเตือนของอัลจึงช้าเกินไป ไฮน์เคลที่แตกตื่นรัวปืนใหญ่ไม้ล้มไปใส่ลูกไฟหลอกที่บอบบางเหมือนช้อนตักปลาทองในงานวัด
แทนที่จะโกรธไฮน์เคลหรือราจินส์ที่ใช้ความบ้าบิ่นทดแทนทักษะที่ขาดไป อัลโมโหตัวเองที่กะจุดเซฟพลาดจนเลี่ยงผลลัพธ์นี้ไม่ได้เสียมากกว่า
อัลให้ยาเอะใช้ลวดเหล็กดักจับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่บุกเข้ามาเหมือนเดิม แต่แทนที่จะไต่ลวดขึ้นที่สูง คราวนี้อัลเลือกอยู่ต่อบนพื้นและประกบอยู่ข้างตัวไฮน์เคล
ดอลเทโร่: ――อะไรกัน อืดอาดเป็นหมูเลยนี่
แต่แล้วมุกตลกร้ายกลับดังมาจากเบื้องบนอย่างเหนือความคาดหมาย กำปั้นสุดทรงพลังซัดอัลที่อุตส่าห์ระวังตัวแล้วเข้าเต็มๆ จนหัวปักดินและกระดูกสันหลังหัก
ไฮน์เคล: ฮะ..เฮ้ย!? มาจากไหน …อ่อก!
ดอลเทโร่: อย่าร้องเหมือนหมูสิ เดี๋ยวปั๊ดลากไปโรงเชือดซะเลย
ทั้งที่ถูกลวดเหล็กเฉือนตอนกระโจนลงมาจนเลือดท่วมร่าง ชายหน้าหมูกลับใช้หมัดมิสไซล์ต่อยอัดไฮน์เคลจนปลิวไปกระแทกต้นไม้ใหญ่ต่อได้หน้าตาเฉย
ยาเอะลงจากที่สูงมาปะทะกับชายหน้าหมูต่อ แต่อัลเจ็บหนักจนขยับแขนขาหรือหันคอไปดูมิได้อีกแล้ว เขาจึงชิงกลืนยาพิษทันที
อัล: ――ต่อไป
ในระหว่างที่ทรมานจากพิษ อัลก็เน้นย้ำในใจว่าข้อมูลสำคัญที่ได้จากลูปนี้คือไม่ว่าจะอยู่ที่สูงหรือบนพื้น ไอ้หน้าหมูก็เป็นฝ่ายที่เปิดฉากได้ก่อนตลอด
× × ×
ราจินส์: ――อัล โกอา!!
ไฮน์เคล: ว้ากกกก!!
ผ่านไป 73 ลูป ไม่ว่าอัลเดบารันจะพยายามวิ่งหนีหรือไปซ่อนตัวที่ไหน กำปั้นของชายหน้าหมูก็ตามมาบดขยี้เขาได้ตลอด
ต่อให้จะอยู่ที่สูงหรือบนพื้น อยู่กับไฮน์เคลหรือยาเอะ ซ่อนในเงาต้นไม้หรือออกห่างจากสนามรบ สุดท้ายอัลก็หนีไอ้หน้าหมูไม่พ้น ข้อสรุปจึงมีเพียงหนึ่งเดียว
อัล: ตำแหน่งของชั้นมันรั่วไหลอยู่
อีกฝ่ายตั้งมั่นที่จะต่อยอัลมากๆ ถึงขั้นที่ยอมสละแขนเพื่อต่อยทะลุลวดเหล็ก จริงอยู่ว่าหากอัลผสานเวทมนตร์ของเขากับลวดของยาเอะ ก็จะหยุดการโจมตีหมัดแรกไว้ได้
แต่ในกรณีนั้น ชายหน้าหมูก็จะใช้แขนที่เหลืออยู่ต่อ จากนั้นก็เปลี่ยนไปใช้ขาสองข้าง การสูญเสียอวัยวะมิได้ทำให้เขาสะทกสะท้านเลย
ไม่ว่าอย่างไร ความตั้งมั่นที่จะกำจัดเป้าหมายของเจ้าหน้าหมูก็ไม่เสื่อมคลาย อัลเคยลองชวนคุยเพื่อล้วงหาข้อมูลเพิ่มแล้ว ทว่า…
ดอลเทโร่: ――อย่ามาร้องอู๊ดๆ เหมือนหมูน้อย
หลังทิ้งทวนแค่นั้นเขาก็บดขยี้เป้าหมายต่อทันที
จากประสบการณ์ของอัล ศัตรูที่พร้อมทุ่มเทและสละทุกอย่างเพื่อเป้าหมายได้นั้นรับมือยากที่สุดแล้ว เพราะการลองผิดลองถูกใช้ไม่ค่อยได้ผลกับคนจำพวกนี้
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์คืนมาคือการหาคำตอบว่าศัตรูใช้มาตรการอะไรในการระบุตำแหน่งของตนจนสามารถเข้าล้อมป่าแห่งนี้ได้ตั้งแต่แรก
หากไขความลับข้อนั้นมิได้ ต่อให้อัลจะโค่นชายหน้าหมูกับกลุ่มเฟลท์ สุดท้ายศัตรูกลุ่มที่ 2-3 ก็จะตามมากวน ทำให้เขาต้องเสียเวลา 7 วันอันมีค่า
ดอลเทโร่: ――อะไรกัน อืดอาดเป็นหมูเลยนี่
กำปั้นที่มาพร้อมกับมุกไม่ฮาต่อยอัดอัลที่พยายามใช้ราจินส์เป็นโล่มนุษย์จนกระดูกสันหลังคอแตกหัก ก่อนที่สติจะดับวูบเขาเหลือบไปเห็นว่าราจินส์ที่โดนลูกหลงตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถพอกัน
× × ×
ราจินส์: ――อัล โกอา!!
ไฮน์เคล: ว้ากกกก!!
คราวนี้แทนที่จะให้ยาเอะสร้างกับดัก อัลกำชับให้เธอเปลี่ยนลวดเหล็กเป็นแท่นดีดอีกอัน จากนั้นก็สั่งให้ไฮน์เคลที่สติแตกไปแล้วออกแรงง้าง
ผลลัพธ์คือยาเอะกับอัลถูกดีดให้ลอยขึ้นฟ้าออกห่างจากจุดปะทะ โดยทิ้งให้ไฮน์เคลถูกกลุ่มของราจินส์รุมทึ้งเพียงลำพังกลายเป็นเครื่องสังเวยของลูปใช้แล้วทิ้งสำหรับตรวจสอบข้อมูล
ยาเอะที่อยู่ในอ้อมแขนข้างเดียวของอัลทำการควบคุมลวดเหล็กเส้นบางเฉียบผ่านแหวนที่สวมติดโคนนิ้วทั้งสิบ เธอใช้มันห้อยโหนไปตามต้นไม้เหมือนทาร์ซานโรป
ทั้งสองมุ่งหน้าย้อนกลับไปยังทิศที่มีควันขาวหนาแน่น พวกเขาจึงมีโอกาสสูดหายใจแค่เฉพาะตอนที่สวิงขึ้นเหนือยอดไม้เท่านั้น
ยิ่งย้อนกลับไปลึก ควันก็ยิ่งหนาแน่นและลอยตัวสูง ความเจ็บปวดเริ่มรุกล้ำไปทั่วปอด ลูกตา และผนังจมูก หากโหนมั่วซั่วอย่างเดียว อัลที่มีสเปคเท่าคนธรรมดาย่อมทนได้ไม่นาน
เพราะงั้นอัลจึงกระซิบบอกที่ข้างหูให้ยาเอะไปทาง “ตะวันตกเฉียงใต้” เนื่องจากว่าเขาตรวจสอบทิศทางอื่นไปหมดในลูปก่อนหน้าแล้ว
ตั้งแต่ไหนแต่ไรอัลก็มักจะสุ่มเดาไม่ถูกจนกว่าจะเหลือเพียงตัวเลือกท้ายๆ ไม่แน่ว่าตลอดชั่วชีวิตเขาอาจจะไม่เคยโชคดีแม้แต่ครั้งเดียวก็เป็นได้
อัล: …ไม่สิ ที่จริงก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง
การได้พบเจอกับ “เธอ” ถือเป็นความโชคดีเพียงหนึ่งเดียว แม้ว่าปัจจุบันเขาจะสูญเสียเธอไปแล้ว แต่อัลก็ไม่คิดว่าการพบเจอกับเธอเป็นเรื่องไม่ดี
. ระหว่างที่ยังคงโหนป่าอยู่ พวกอัลก็ถูกเปิดฉากจู่โจมโดยก้อนหินที่เขวี้ยงมาจากนอกม่านควัน อัลจึงจำเป็นต้องร่ายมนตร์สร้างกำแพงดินมาตั้งรับระลอกแรก
พอวงสวิงมาถึงจุดสูงสุด ยาเอะก็ออกแรงเหวี่ยงอัลให้พุ่งนำหน้าไปก่อน ส่วนอัลก็สร้างกำแพงดินมาต้านการปะทะกับดงก้อนหินและโผล่พ้นป่าออกมายังทุ่งราบที่พวกเฟลท์ประกาศสงครามตอนแรกสุด
รอม: ――ออกมาจัดการผู้บัญชาการตามลำพังเลยงั้นเรอะ นั่นน่ะเป็นแผนที่ห่วยแตกแบบรั้งท้ายเลยล่ะน้อ
บุคคลที่ทักทายเขาคือยักษ์ชราหัวล้านที่สวมใส่ถุงมือซึ่งมี [กระจกสนทนา] ติดตั้งอยู่เต็มท่อนแขนที่ใหญ่ยาว อัลจึงรู้ตัวทันทีว่าอีกฝ่ายคือตัวการเบื้องหลังกับดักทั้งหลาย
อัล: …เบรน(มันสมอง)ก็คือคุณเองสินะ!
ภาพลักษณ์กับตำแหน่งของอีกฝ่ายค่อนข้างขัดแย้งกัน ปกติเผ่ายักษ์ควรจะแกร่งด้านกายภาพและเหมาะเป็นทัพหน้าแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าทั้งยักษ์และคนแคระของฝ่ายเฟลท์ต่างก็เป็นกุนซือสายใช้สมองทั้งคู่
อัล: คุณหนูเฟลท์ล่ะ ――บ้าเอ๊ย
เดิมทีการเอาชนะศัตรูตั้ง 500 คนมันเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว การจับเฟลท์มาเป็นตัวประกันเลยเป็นหนึ่งในแผนสำรองของอัล แต่อีกฝ่ายรู้ทัน เฟลท์จึงมิได้อยู่ที่ทุ่งราบอีกต่อไป
. แกสตอน: นี่แก อย่ามัวแต่มองไปทางอื่นสิเฟ้ย!!
อัล: ถามจริง…
ระหว่างที่กำลังประเมินสถานการณ์อยู่กลางอากาศ จู่ๆ แกสตอนก็กระโดดตามขึ้นมาสูงเหนือควันขาวแล้วประสานมือเข้าหากันกลายเป็นค้อนเพื่อใช้หวดอัลให้ร่วง
การโจมตีจากชายผู้ที่ฝึกฝน [ครรลองสายธาร] จนช่ำช่องซัดอัลที่ตั้งตัวไม่ทันร่วงลงไปกระแทกพื้นแขนขวาหัก กระดูกถึงกับแทงทะลุผิวหนังออกมา
[ครรลองสายธาร] คือปราการด่านแรกของผู้ที่จะกลายเป็นยอดนักรบ มันจึงไม่ใช่วิชาที่ใครๆ ก็ฝึกฝนกันได้ อัลประเมินกำลังรบของศัตรูพลาดไป
เจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บ เจ็บแต่ก็ได้เห็น สิ่งที่อยากเห็นแล้ว
อัล: จากนี้ไป คือศึกประลองปัญญา ระหว่างชั้นกับคุณ…ฮึก
ว่าแล้วอัลจึงชิงกัดซองยาพิษไปเลย แต่เขาจำต้องสูดควันบริเวณนั้นเข้าไป ซึ่งทุกข์ทรมานจนแทบจะคายพิษออกมา
อัลต้องหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากวังวนแห่งความอับโชค จากนั้นก็ค้นหา ค้นหา ค้นหา ค้นหา ค้นหา ค้นหา ค้นหา ――อา
. รอม: ――ไม่ต้องเพิ่มไม้ไพโรแล้ว ขืนมากไปกว่านี้อาจเกิดช่องโหว่ที่อีกฝ่ายจะใช้ประโยชน์ได้ ปล่อยให้กลยุทธ์ของพวกเรามีส่วนที่ขาดเกินอยู่บ้างจะดีกว่า
ผู้ควบคุมปฏิบัติการรมควันเพื่อไล่ต้อน [ไอ้เวรหมวกเกราะ] คือ “วาลก้า ครอมเวล” หรือปู่รอม อดีตเสนาธิการของ [สมาพันธ์อมนุษย์]
แม้จะปิดล้อมเส้นทางหนีของศัตรูเอาไว้แล้ว แต่รอมก็ไม่คิดจะประมาท เพราะว่าอีกฝ่ายคือนักกลยุทธ์ที่เคยเล่นงานกระทั่งไรน์ฮาร์ดมาแล้ว
มิหนำซ้ำ [ศัตรู] ที่อันตรายและเจ้าเล่ห์เช่นนี้แหละคือสิ่งที่ปู่รอมต้องการ ซึ่งเหตุผลมิใช่ว่าสายเลือดยักษ์ที่คลั่งไคล้ศึกในตัวเขามันแรงแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะปู่รอมอยากให้เฟลท์สร้างผลงานเป็นของตัวเองโดยที่มิได้พึ่งพา [นักดาบเทวา] ดังนั้น การโค่นอัลเดบารันผู้เป็นอันตรายต่อทั้งราชอาณาจักรและโลกจึงถือเป็นโอกาสทอง
แน่นอนว่าตัวเฟลท์เองมิได้คำนึงถึงเรื่องนั้น เธอเผชิญหน้ากับไอ้เวรหมวกเกราะเพื่อแสดงความรับผิดชอบในฐานะเจ้านายของอัศวินที่รุดหน้าไปคนแรก
เพราะงั้นผู้ใหญ่จอมเจ้าเล่ห์อย่างปู่รอมและเหล่าผู้นำองค์กรใต้ดินของ [นครมกรปฐพี] แฟลนเดอร์ส [กษาปณ์เงินกาฬ] [สวนคุกบุษบา] และ [คันชั่ง] จะร่วมมือกันคว้าชัยชนะมาให้เฟลท์เอง
. เดิมทีปู่รอมไม่ได้อยากให้เฟลท์ข้องเกี่ยวกับการคัดสรรกษัตริย์เลย เนื่องจากว่าเขารู้ชาติกำเนิดของเด็กสาวและบาปกรรมที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดนั้น
ที่จริงรอมมีโอกาสพาเฟลท์หนีไปอาศัยอยู่ที่บ้านนอกห่างไกลตอนที่เธอยังแบเบาะ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกอาศัยอยู่กับเฟลท์ที่นครหลวงต่อ
สาเหตุที่ตัดสินใจเช่นนั้นคงมาจากลางสังหรณ์ รอมสังหรณ์ใจว่าคลื่นลูกใหญ่ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้อาจไล่ตามมาทันพวกเขาสักวันหนึ่ง
เมื่อเวลานั้นมาถึง ปู่รอมก็พร้อมที่จะใช้ร่างกายที่ใหญ่โตของตนเป็นโล่กำบังให้แก่หลานสาว กระนั้นรอมก็ตระหนักรู้ถึงความชราของตนดี เขาอาจจะอยู่ไม่ถึงช่วงเวลานั้นด้วยซ้ำ
เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับรอมก็คือการการันตีความปลอดภัยให้แก่ “เฟลท์” หลานสาวผู้เป็นที่รักไปตลอดกาล แม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นการถวายมงกุฎให้แก่เธอก็ตาม
เพื่อการนั้นแล้ว ต่อให้จะต้องกลับมารับบทบาทผู้บัญชาการที่เคยสาบานว่าจะเลิกเป็น เขาก็จะไม่ลังเล
ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งศตวรรษนับตั้งแต่ [สงครามอมนุษย์] แต่ความทรงจำที่เลือนลางของช่วงเวลานั้นยังคงตามหลอกหลอนรอมในรูปแบบฝันร้าย
วาลก้า ครอมเวลเมื่อตอนนั้นช่างโง่เขลาและอ่อนหัดยิ่งนัก แม้ว่าความโง่เขลานั้นอาจจะยังหลงเหลืออยู่ แต่ปู่รอมก็ได้ขัดเกลาสติปัญญาขึ้นมาช่วยอุดช่องโหว่
รอม: จากนี้ไป คือศึกประลองปัญญาระหว่างข้ากับไอ้เวรหมวกเกราะล่ะสิน่อ
. ราจินส์: ――ลวด งั้นเรอะ?
หลังจากที่อัลใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ กลุ่มชายฉกรรจ์รวม 52 คนรวมราจินส์ก็ได้บุกเข้ามาติดกับดักลวดโลหะที่ยาเอะขึงเตรียมเอาไว้
อนึ่ง ยาเอะมิได้ใช้กำลังแขนตัวเองพันธนาการเหยื่อ แต่อาศัยแรงจากทั้งต้นไม้ สิ่งรอบข้าง และกระทั่งร่างกายของชายแต่ละคนเป็นศูนย์ถ่วงในการตรึงให้อยู่กับที่
ต่อให้ฟังคำอธิบายชวนงงของยาเอะ เหยื่อก็หาวิธีดิ้นให้หลุดมิได้อยู่ดี อัลจึงใช้โอกาสนี้เริ่มลงมือค้นตัวราจินส์ ตรวจสอบทั้งกระเป๋าและใต้เสื้อผ้า
ราจินส์: อะ..อะไรของเอ็งวะ!? …ชั้นไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นนะว้อย!
ยาเอะ: โห~ ท่านอัลใจกล้าจังเลย! มิน่าล่ะขนาดยาเอะจังยั่วแทบตายก็ยังไม่ตอบสนองเลยค่ะ ความพึงพอใจและไพรด์(ความภาคภูมิ)ในฐานะผู้หญิงก็กำลังฟื้นคืนกลับมาอย่างเร็ว…
อัล: ไม่ใช่เวลามาตลกนะเฟ้ย! กระจกไง! ตามหากระจก! ใครสักคนคงมีอยู่ …เตี่ยก็ช่วยอีกแรงสิ!
ดังคำกล่าวที่ว่า “ความเร็วและความแม่นยำของการส่งต่อข้อมูลสามารถเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้” ซึ่งนิยมใช้ในฟิคชั่น(เรื่องแต่ง)ทั่วโลกหลายยุคสมัย
อัลพึ่งจะได้รู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพของมันผ่านยักษ์ชรามันสมองของฝ่ายเฟลท์ซึ่งรับบทเป็นผู้บัญชาการที่สื่อสารและส่งต่อข้อมูลให้กำลังพล 500 คนแบบเรียลไทม์
ตราบใดที่ข้อมูลตำแหน่งและพรรคพวกของอัลยังคงรั่วไหลและถูกส่งต่อให้ศัตรูยกทัพ กลุ่มของอัลก็ไม่มีทางได้พักหายใจจากการโจมตีแต่ละรอบ
เพราะงั้นอัลจึงกำชับให้ยาเอะกับไฮน์เคลช่วยกันค้นตัวกลุ่มชายฉกรรจ์หน่วยแรกนี้เพื่อตามหา [กระจกสนทนา] และทำลายมันทิ้ง
อัล/ยาเอะ/ไฮน์เคล: ――เจอแล้ว!
ความดีใจของอัลแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนเมื่อพรรคพวกอีกสองคนต่างก็พบกระจกสนทนาจากการค้นตัวพวกอันธพาล ทำให้มีกระจกอยู่ถึง 3 ใบ
อัล: กระจกสนทนาน่ะเป็น [มีทิเออร์] ที่สามารถผลิตซ้ำได้ก็จริง แต่คอสต์ของมันก็ยังแพงหูฉี่อยู่ดี
หัวหน้าทัพอย่างราจินส์มีกระจกอยู่ใบหนึ่งย่อมไม่แปลกและอาจจะส่งมอบกระจกอีกใบให้ผู้ช่วยเพื่อแบ่งเบาภาระ แต่หากมีอยู่มากกว่านั้นถือเป็นเรื่องผิดปกติ
อัล: ――ดัมมี่(ตัวหลอก) งั้นเรอะ?
ราจินส์: ไอ้โง่ววว
ทันทีที่ราจินส์แลบลิ้นออกมาล้อเลียนพวกตนที่กำลังอึ้งไปต่อไม่เป็น อัลเดบารันก็ชิงกัดซองยาพิษไว้ก่อนโดยทันที ทว่า…
ดอลเทโร่: ――อะไรกัน อืดอาดเป็นหมูเลยนี่
มุกไม่ฮาขาประจำดังเข้าหูอีกครั้ง พร้อมกันกับแรงกระแทกจากกำปั้นที่บดขยี้ร่างของเขา
อัล: ไอ้แก่เฮงซวย
คำสบถทิ้งท้ายของอัลเดบารันถือเป็นการชื่นชมในตัวศัตรูที่มิใช่แค่น่าเกรงขาม แต่ยังเดินหมากนำหน้าเขาได้อย่างเฉียบขาดอีกต่างหาก
. อ่านต่อพาร์ท 2