อัล: ――กางอาณาเขต ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่
อัลรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยการขยับเวลาของโลกแบบทีละก้าว ครั้งละวินาที เสี้ยววินาที หรือแทบจะทันที
อำนาจของอัลเดบารันมิอาจย้อนเวลากลับไปได้ไกลเกินจุดเซฟได้ ดังนั้นการหมั่นปรับค่าจึงเป็นการเดิมพันที่ทั้งขยับเข้าใกล้ชัยชนะและเพิ่มความเสี่ยงไปพร้อมกัน
อัล: ――กางอาณาเขต ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่
ในขณะที่อัลค่อยๆ ตรวจสอบ ยืนยัน ทีละก้าว ทีละการเคลื่อนไหว ทีละการกระทำ จนกระทั่งเดินหมากไปสู่การรุกฆาตได้สำเร็จ
เหล่ายอดนักรบนั้นมีเพียงโอกาสเดียวให้ตัดสินใจ แต่พวกเขาก็อาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากศึกนับไม่ถ้วนในการประมวลตัวเลือกที่ดีที่สุดออกมา
จอมปราชญ์ผู้เฉลียวฉลาดเองก็เช่นกัน ในบางแง่กลุ่มนี้อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าพวกนักรบ เพราะทั้งที่ไม่เคยได้สัมผัสความทรหดและความเจ็บปวดด้วยตนเองกลับสามารถคิดวิเคราะห์ได้แม่นยำราวกับจำลองโลกขึ้นในหัวได้
อัล: ――กางอาณาเขต ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่
ทว่า อัลเดบารันได้ย่ำยีความตรากตรำของนักรบและปราชญ์เหล่านั้นด้วยการแหกกฎเกณฑ์ของความเป็นจริง ประเมินผลลัพธ์ของสองตัวเลือกพร้อมๆ กันได้
เมื่อถูกอัลเดบารันคว้าเอาชัยชนะไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด พวกเขาเหล่านั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะสาปแช่งและชิงชังในตัวอัล
แต่ถึงพวกนั้นจะอยากก่นด่าสักเท่าไหร่ เขาก็จะปล่อยให้ทำตามใจ เพราะถึงอย่างไร…
อัล: ――กางอาณาเขต ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่
สุดท้ายอัลเดบารันก็จะช่วงชิงชัยชนะมาด้วยกลโกงได้อยู่ดี
. ดอลเทโร่: …เดาว่าคงอยากให้ทำตัวไร้พิษภัยเหมือนหมูรออาหารล่ะสิท่า
ตัดกลับมาปัจจุบัน [ราชาสุกร] ดอลเทโร่ อามุล กล่าวเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเนื่องจากทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกลวดเหล็กบาด
ทั้งที่เสียเลือดไปมาก แต่ดอลเทโร่กลับยังคงสติเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาด แถมสีหน้ายังมิได้สิ้นหวังเลยแม้แต่น้อย
อัล: มาถึงป่านนี้ รู้ซึ้งแล้วแหละว่าคุณไม่กลัวตายเลยสักนิดน่ะ แต่ต่อให้จะไม่กลัวตายก็ตาม ยังไงก็คงรู้สึกเจ็บอยู่ดีจริงไหม
ดอลเทโร่: พูดออกมาเองแท้ๆ ยังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอ? สุดท้ายทั้งความตายและความเจ็บปวดก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนเรากลัว เช่นนั้นแล้ว เราก็แค่ต้องกลืนความกลัวนั้นลงคอไปเท่านั้นเอง
อัล: …ไม่เข้าใจเลยว้อย
ทัศนคติของอัลกับดอลเทโร่ไม่ตรงกัน เขามองว่าการกลัวความตายกับการกลัวความเจ็บนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่จริงความเจ็บปวดกับความกลัวอาจนับแยกกันได้ด้วยซ้ำ
ดอลเทโร่: ――ไม่ว่าจะพล่ามอะไร สุดท้ายก็เป็นได้แค่การเห่าหอนของหมูล่ะนะ
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของ [ราชาสุกร] ผู้ขาดโลหิตไปหล่อเลี้ยงสมองจนหมดสติลงโดยที่รอบตัวเขามีลูกน้องจากองค์กร [กษาปณ์เงินกาฬ] 55 คนสลบอยู่เรียงราย
ลำคอของดอลเทโร่ถูกลวดเหล็กเส้นบางรัดทับซ้อนกันหลายสิบชั้น เขาพยายามสอดสองนิ้วมือเข้าไปช่วยง้างลวดแต่สุดท้ายก็ต่อต้านไม่ไหว
เข่าของ [ราชาสุกร] ที่หมดสติทรุดลง แต่เขายังอุตส่าห์ไว้ลายทิ้งท้ายด้วยการชกกำปั้นใส่พื้นดินเพื่อเป็นเสาคอยค้ำยันร่างของตัวเองไว้มิให้ล้ม
. ผ่านไป 23,008 ลูปกว่าจะได้ผลลัพธ์นี้ออกมา ซึ่งถือเป็นสถิติพ่ายแพ้แบบติดท็อปคลาสของอัลเดบารันเลยทีเดียว
สาเหตุที่ต้องรีเซ็ตมากขนาดนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความยากลำบากในการต่อกรกับการประสานงานระหว่างดอลเทโร่กับลูกน้อง
แต่สาเหตุหลักคือการเสียเวลาฝึกฝนทักษะ เนื่องจากลวดเหล็กที่พันอยู่รอบคอดอลเทโร่ถูกควบคุมโดยอัลที่ยืมแหวนของยาเอะหนึ่งวงมาสวมไว้ที่นิ้วนางขวา
ในขณะที่เฟ้นหาหนทางรับมือการโจมตีแต่ละรอบของดอลเทโร่ อัลต้องมาหัดใช้งานลวดเหล็กผ่านนิ้วเดียวเพื่อรัดลำคอของดอลเทโร่ให้แน่นไปด้วย
ยาเอะ: เฮ้อ~ บ้าบอเกินไปแล้วนะท่านอัล อุตส่าห์ภูมิใจว่าม่ายมีใครนอกจากฉันในหมู่บ้านที่ฝึกมันจนสันทัดได้ทั้งที แต่แบบนี้ขายหน้าชะมัดเลยค่า~
อัลต้องทุ่มไปถึงสองหมื่นลูปกว่าที่เขาจะเริ่มใช้ลวดเหล็กได้คล่อง แต่ในมุมมองของคนนอกมันคงดูเหมือนว่าจู่ๆ อัลก็ใช้วิชาลับเป็นทันที
ในระหว่างที่อัลรับมือกับดอลเทโร่ ยาเอะได้ใช้วิชาลวดเหล็กผูกร่างของศัตรูคนที่เหลือแล้วแขวนพวกเขาทิ้งไว้กลางเวหา
อัล: อย่ามาพูดบ้าๆ ขนาดใช้แค่นิ้วเดียว กล้ามเนื้อตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ายังแทบจะเป็นตะคริวอยู่แล้วนะเฟ้ย พอใช้สิบนิ้วก็ต้องคูณไปอีกสิบเท่า นี่เธอน่ะ เห็นท่าทางผอมบางแต่ที่จริงมีกล้ามเป็นมัดๆ งั้นเรอะ?
ยาเอะ: เอ๋~ ท่านอัลนี่ล่ะก็ สนใจสิ่งที่อยู่ใต้เครื่องแบบของฉันขึ้นมางั้นเหรอค้า? อุตส่าห์มอบชานส์(โอกาส)ให้ตรวจสอบตั้งมากมายทั้งที แต่ถูกปฏิเสธอย่างใจร้ายทุกรอบเลย
. อัลเลือกเก็บแหวนของยาเอะไว้กับตัวก่อนแล้วหันไปดูอาการของไฮน์เคลที่นิ่งเงียบไป สภาพจิตใจของเขาคงไม่สู้ดีนักเพราะไม่ค่อยมีประโยชน์ตอนสู้กับดอลเทโร่
หน้าที่ของไฮน์เคลในศึกก่อนหน้าคือการซัดลูกน้องที่ถูกยาเอะผูกให้สลบและทำลาย [กระจกสนทนา] ของพลพกกระจกทิ้ง ซึ่งอัลมองว่าแค่นั้นก็ช่วยได้มากแล้ว
ในแง่ของพลังต่อสู้ ไฮน์เคลห่างชั้นกับดอลเทโร่สุดขีด ที่จริงแค่แกสตอนเขาก็คงสู้ไม่ไหวแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจิตใจถึงแตกสลาย
กระนั้นทุกคนต่างก็มีศัตรูที่ดวงจิตของตนปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากันทั้งนั้น กรณียาเอะคืออัลเดบารัน ส่วนกรณีอัลเดบารันนั้นคือ―― ไม่สำคัญหรอก
ไฮน์เคล: …อัลเดบารัน แกน่ะ เป็นตัวอะไรกันแน่?
อัล: หือ?
ไฮน์เคล: แกน่ะ ไม่มีโอกาสที่จะชนะเจ้ามนุษย์สุกรคนนั้นได้เลย อีกฝ่ายเหนือกว่าทั้งด้านทักษะและพละกำลังแบบเทียบไม่ติด แต่แล้ว สุดท้ายแกกลับเป็นฝ่ายชนะ มิหนำซ้ำยังชนะขาดลอยแบบไร้บาดแผลอีกต่างหาก
ดูเหมือนว่าอัลจะดูถูกความช่างสังเกตของไฮน์เคล หรืออาจเป็นเพราะคราวนี้เขาพึ่งมีโอกาสได้สังเกตจากวงนอก ความผิดปกติของอัลเลยเด่นชัดขึ้นมาก็เป็นได้
ในศึกนี้ดอลเทโร่มิได้แพ้ทางอัลและฝีมือของอัลก็ไม่ได้แกร่งขึ้นแต่อย่างใด มันเหมือนกับการที่อัลดวงดีอย่างต่อเนื่องเป็นร้อยครั้งมากกว่า
ยาเอะ: ――สัตว์ประหลาดไงคะ ท่านอัลน่ะคือสัตว์ประหลาดค่ะ รู้ตัวไหมคะว่าพวกเรากำลังให้การช่วยเหลือสัตว์ประหลาดอยู่น่ะ
ในเมื่ออัลนิ่งเงียบไป ยาเอะที่รู้ซึ้งเกี่ยวกับตัวเขาดีอยู่แล้วจึงอาสาตอบไฮน์เคลให้แทน สำหรับยาเอะ อัลเดบารันคือสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
. อัลให้คำสั่งใหม่ว่าจากนี้ไปตัวเขาจะรับมือศัตรูที่แข็งแกร่งเอง ส่วนยาเอะจะเป็นคนรับมือศัตรูจำนวนมาก ในขณะที่ไฮน์เคลจะเป็นผู้ทำลายกระจก
ยาเอะใช้ลวดเหล็กดึงร่างหมดสติของดอลเทโร่ไปตรึงไว้กลางอากาศเผื่อไว้ก่อน เนื่องจากศัตรูที่ดื้อด้านอย่างเขากับราจินส์ทำให้อัลปวดหัวมากๆ
อัลดูถูกฝ่ายเฟลท์เกินไป หลังจากนี้เขายังต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ชรา กราซิส แกสตอน และตัวเฟลท์เองอีก
ยาเอะให้คำแนะนำว่าถ้าหากอัลอยากให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เขาเพียงแค่ต้องอนุญาตให้ยาเอะใช้ลวดเหล็กสังหารศัตรูไปเลยแทนที่จะพันธนาการ
ตรงข้ามกับไฮน์เคลที่แสดงฝีมือเต็มที่ไม่ได้เพราะสภาพจิตใจ ยาเอะนั้นแสดงฝีมือเต็มที่มิได้เพราะเธอยอมทำตามความดื้อด้านส่วนตัวของอัล
หากปลดภาระให้เธอทำตามใจชอบ รับรองได้เลยว่าในไม่ช้าป่าทั้งผืนจะนองไปด้วยเลือดของศัตรู 500 คน แต่สุดท้ายอัลก็เลือกขอบคุณความเอาใจใส่นั้นและปฏิเสธข้อเสนอไป
หากพวกเขามุ่งหน้าลงทิศใต้อาจจะสามารถหลบหนีออกจากป่าได้ แต่สถานการณ์มันไม่เอื้ออำนวย อัลเดบารันจึงต้องโค่นพวกเฟลท์ลงที่นี่
ว่าแล้วอัลจึงนึกถึงเฟลท์กับยักษ์ชราที่คงกำลังวางกลยุทธ์เพื่อคว้าชัยชนะอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของป่า
อัล: พวกเธอน่ะแข็งแกร่งนะ แต่ว่า ――ดวงดาวนั่นแหละที่ผิด
. รอม: กะแล้วเชียว นี่มันไม่ใช่แค่มองแผนการของทางนี้ออกสินะ
หลังจากที่กระจกสนทนาบานที่ 3 ถูกอีกฝ่ายระบุตำแหน่งและทำลายทิ้งได้ทันที ปู่รอมก็มั่นใจเช่นนั้น เขาถอดกระจกบานที่เสียคู่ออกจากถุงมือ
จากการประเมินส่วนตัวของรอม หากดอลเทโร่เกิดเร็วกว่านี้สักสิบปี ชื่อของเขาน่าจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ช่วง [สงครามอมนุษย์] ไปแล้ว
แน่นอนว่าสุดท้ายดอลเทโร่คงพ่ายแพ้ต่อ [นักดาบเทวา] ของยุคนั้นหรือไม่ก็ [อสูรดาบ] กระนั้นความแข็งแกร่งของ [ราชาสุกร] ก็ยังเป็นของจริง
ดังนั้น การที่ไอ้เวรหมวกเกราะสามารถโค่นดอลเทโร่ได้ แปลว่าเจ้านั่นแข็งแกร่งระดับเดียวกับ [อสูรดาบ] อย่างงั้นหรือ?
รอม: ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้นเลย
[อสูรดาบ] คือตัวตนที่เป็นทรอม่าของปู่รอม ต่อให้เขาจะนำทัพสักพันคนเข้ารุม ก็มองไม่เห็นวี่แววที่จะเอาชนะนักดาบเพียงคนเดียวผู้นั้นได้เลย
คนบางคนมีคุณสมบัติพิเศษที่เรียกว่า [บารมี] ซึ่งมิได้วัดกันที่ความแกร่งเพียงอย่างเดียวอยู่ ผู้ที่มีบารมีสามารถทำให้ศัตรูศิโรราบหรือรู้สึกไปเองว่าไม่มีทางเอาชนะได้
เฟลท์เองก็มีคุณสมบัตินั้น เธอถึงสามารถทำให้หัวหน้าองค์กรใต้ดินที่เหนือกว่าตนทั้งความแข็งแกร่งและสติปัญญายอมถวายตัวรับใช้เฟลท์ดุจราชินีได้
แต่ไอ้เวรหมวกเกราะมิใช่บุคคลประเภทนั้น เขาขาดความน่าเกรงขามของผู้ที่เกิดมายิ่งใหญ่ แต่นั่นก็ทำให้ความลึกลับยิ่งทวีคูณ
. ปู่รอมที่ตัดสินใจจะไขความลึกลับของศัตรูทีละอย่างเริ่มสั่งการให้ทหารรอบตัวราว 20 คนจุดชนวนของปืนใหญ่มนตราด้วยผลึกมนตราธาตุอัคคี
แสงสีขาวที่ถูกยิงออกไปถูกเตรียมไว้เผื่อกรณีที่ศึกยืดเยื้อถึงเวลากลางคืน มันแหวกห้วงอากาศและเปลี่ยนท้องฟ้ายามสนธยาให้กลายเป็นฟ้าสีครามสว่างสดใส
รอม: ――ขจัดราตรี
ความสามารถที่แท้จริงของ [ขจัดราตรี] สุดแสนล้ำค่าคือการสร้างภาพลวงตาที่เขียนทับความเป็นจริง ที่ตั้งชื่อว่าขจัดราตรีเป็นการอิงตามจุดประสงค์ใช้งานแรกเริ่มเท่านั้น
[ขจัดราตรี] สามารถเปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวันหรือสร้างปรากกฏการณ์ประหลาดอย่างท้องฟ้าที่สว่างสดใสแต่มีหยาดฝนตกลงมาได้
รอม: ――ถ้าหากว่าสอดแนมทางนี้ผ่านการมองจากบนฟ้าอยู่ล่ะก็ ดวงตาคู่นั้นก็เชื่อใจไม่ได้อีกแล้วล่ะ
ก่อนอื่นรอมลองทดสอบความเป็นไปได้ที่ศัตรูกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกตนอยู่ผ่านเนตรแห่งสวรรค์
หลังจากที่กระจกบานที่สองถูกพัง รอมออกคำสั่งให้แต่ละหน่วยคอยเปลี่ยนพลถือกระจกหลังเวลาผ่านไประยะหนึ่งและให้รายงานการเคลื่อนไหวด้วยการเขียนแทนคำพูด
“พลถือกระจก: นี่หน่วยหก พบตัวไอ้เวรหมวกเกราะแล้ว! จากนี้ไป… เหวอออ!?”
ในไม่ช้ากระจกบานที่ 4 ก็ถูกทำลาย รอมจึงตัดตัวเลือกเนตรแห่งสวรรค์ทิ้งได้อย่างมั่นใจและหันมาคำนึงความเป็นไปได้อื่นๆ แทน
รอม: อาจจะเป็นมหาวิญญาณที่ข้าไม่รู้จักหรือพรคุ้มครองที่ทรงพลัง หรือไม่ก็สามารถอ่านความคิดในหัวของศัตรูได้ มิเช่นนั้น สิ่งที่มองเห็นอาจจะไม่ใช่ความคิดในหัว――
คงเป็นไปได้ยากที่มหาวิญญาณตนไหนจะญาติดีกับไอ้เวรหมวกเกราะ แถมยังไร้วี่แววการใช้เวทมนตร์ให้เห็น
โอกาสที่อีกฝ่ายจะใช้เวทตะวันหรือเวทเงาซึ่งตรวจจับได้ยากมิใช่ศูนย์ก็จริง แต่ความเป็นไปได้ที่จะมีวิญญาณระดับสูงรับใช้เขาอยู่ก็ต่ำอยู่ดี
รอม: ――หน่วยเจ็ดไปทางตะวันออก หน่วยเก้ามุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ รีบไปที่จุดปะทะของหน่วยหก ไม่สิ ไม่ต้องเข้าไปสนับสนุนหน่วยหก ขอให้ทั้งสองหน่วยประสานงานกันดีกว่า ลองใช้ทั้งศิลามนตราและหินธรรมดาเขวี้ยงใส่ ไม่ว่ายังไงก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีพรคุ้มครองอยู่มากกว่าสองพรไหม
โดยทั่วไปผู้คนจะมีพรคุ้มครองแค่พรเดียว ในประวัติศาสตร์เคยมีหลายบุคคลที่เกิดมามีมากกว่าหนึ่งพรก็จริง แต่โอกาสที่จะสุ่มได้พรที่มีประโยชน์ทั้งสองพรถือว่าหายากจนนับได้ด้วยมือเดียว
ในยุคปัจจุบัน บุคคลที่โชคดีอย่างผิดธรรมชาติและถือครองพรคุ้มครองอยู่มากกว่าหนึ่งพรคือ [นักดาบเทวา] และ [เจ้าชายคลั่ง] ไม่แน่ว่าอัลอาจจะเป็นผู้โชคดีรายที่สาม
รอม: โยนปัญหาที่ทับซ้อนกันเป็นกองเข้าไปให้แล้วรอดูวิธีรับมือ นั่นแหละคือวิธีการตรวจสอบพรคุ้มครองของผู้อื่น ――ฉายาผู้สังหารผู้ถือครองพรคุ้มครองมากที่สุดในโลกใบนี้ของข้าน่ะ ไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ หรอกน่อ
. ตั้งแต่ที่ [ขจัดราตรี] ถูกใช้งาน อัลเดบารันก็รู้สึกว่าสถานการณ์ย่ำแย่ลงอย่างหนัก การค้นหาตัวพลถือกระจกทวีคูณความยากและต้องเสียเวลามากขึ้นโข
ถึงแม้ว่าจะเป็นศัตรูหน่วยเดิม แต่ถ้าหากพวกอัลเข้าปะทะคนละช่วงเวลา พลถือกระจกก็จะถูกสับเปลี่ยนกลายเป็นคนละคนไปแล้ว
นอกจากนี้ แทนที่ศัตรูจะบุกเข้ามาสังหารหรือโค่นพวกอัลโดยตรง พวกมันเริ่มมีการบุกแบบหลอกๆ ไม่คิดเอาชีวิตเพื่อคอยดูท่าทีการตอบสนอง
ผลลัพธ์ทำให้อัลปวดกบาลยิ่งกว่าเดิม เขาระแวงไปหมดว่าควรจะตอบโต้ศัตรูที่ยังไม่ทันมุ่งร้ายดีไหมหรือควรจะรีเซ็ตตั้งแต่ได้แค่แผลเดียวไปเลยดีไหม
ครั้นจะปล่อยผ่านให้ศัตรูทำตามใจก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะอัลอาจจะเผลอเลื่อนจุดเซฟพลาดเอาได้ เขาจึงต้องเข้าปะทะกับศัตรูทุกกลุ่มที่เจอ จำนวนครั้งที่รีเซ็ตจึงยิ่งทวีคูณหนักข้อขึ้นไปอีก
อัล: แล้วจะได้เห็นดีกัน ไอ้แก่เฮงซวย
. เคราะห์ดีที่หัวหน้าองค์กรใต้ดินทั้งสามได้สั่งการให้ลูกน้องเชื่อฟังรอมไว้ล่วงหน้า พวกเขาจึงปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดไม่ว่าคำสั่งจะแปลกขนาดไหน
กระจกบานแล้วบานเล่าถูกทำลาย ไพ่ในมือของรอมลดจำนวนลงอย่างน่ากังวล แต่ในขณะเดียวกัน ฝั่งรอมก็เริ่มมองเห็นไพ่ในมือของอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน
ภาพลวงตาจาก [ขจัดราตรี] บดบังการสอดแนมจากบนฟ้า
การกระหน่ำโจมตีด้วยศิลามนตราทำให้อัตราความเข้มข้นของมานาในพื้นที่กลายเป็นพิษต่อวิญญาณ
จากการใช้ไรน์ฮาร์ดเป็นหนูทดลองทำให้รอมรู้จักพรคุ้มครองจำนวนมาก เขาจึงทำการทดสอบพรคุ้มครองของศัตรูด้วยผสานการโจมตีระยะใกล้กับไกล ผสานการโจมตีเวทมนตร์และกายภาพ
รอม: ไม่ใช่ [พรคุ้มครองแรกเห็น] หรือ [พรคุ้มครองเผชิญอีกครา] แล้วถ้าไม่ใช่ทั้ง [พรคุ้มครองฟ้าคำรณ] หรือ [พรคุ้มครองถ้ำเสือ] ล่ะก็ ตัวเลือกก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว
รอมสามารถตัดพรคุ้มครองที่เขารู้จักออกไปได้ราว 90% ในขณะที่พรคุ้มครองอีก 10% ไม่ได้มีความอเนกประสงค์มากพอจะช่วยอะไรในสถานการณ์นี้ได้
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ใช้ทั้งเวทมนตร์ วิญญาณ และพรคุ้มครอง ――ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่จึงมีเพียง [อำนาจ]
รอม: การบิดเบือนความเป็นจริงน่ะ มันออกจะเย่อหยิ่งเกินตัวมนุษย์ไปหน่อยไม่ใช่หรือไง ไอ้เวรหมวกเกราะ
. ลางสังหรณ์ที่เลวร้ายที่สุดของอัลเดบารันเริ่มมีแววจะกลายเป็นจริง ไม่แน่ว่ายักษ์ชราวาลก้า ครอมเวลอาจจะเริ่มรู้ทันอำนาจของเขาแล้ว
เห็นได้ชัดจากระลอกการจู่โจมที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบกลโกงที่อัลใช้ในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขัน
เนื้อแท้ของอำนาจของอัลเดบารันคือการลองผิดลองถูกได้แทบจะเป็นอนันต์ภายในอาณาเขตผ่านการตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่
อีกฝ่ายคงยังมิได้เดาออกถึงขนาดนั้น แต่วาลก้าน่าจะจำกัดวงความเป็นไปได้ลงมาค่อนข้างใกล้เคียงความจริงแล้ว
แน่นอนว่าหลังจากตัดตัวเลือกอย่างเวทมนตร์กับพรคุ้มครองทิ้งไป ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมย่อมเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่อัลมีอยู่คืออำนาจเป็นธรรมดา
แต่ถึงจะรู้ขนาดนั้น การไล่ต้อนอัลให้จนมุมก็ยังทำได้ยาก เพราะงั้นการเลือกปิดทางออกแล้วใช้เวทวารีเสกน้ำท่วมของเอซโซ่ คาโดน่าจึงถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
ทว่า ตอนนั้นเป็นสถานที่ปิด วาลก้าไม่มีทางสร้างสถานการณ์แบบเดียวกับเอซโซ่ในพื้นที่เปิดโล่งได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
กระนั้นอัลเดบารันกลับยังคงเปี่ยมล้นด้วยลางสังหรณ์ไม่ดี เขาหวาดระแวงที่จะอัปเดตเมทริกซ์แบบถี่ๆ ส่งผลให้ความล้มเหลวแต่ละรอบต้องย้อนกลับไปไกล
อัลอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดวาลก้า ครอมเวลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือจาก [สงครามอมนุษย์] ถึงยังมีชีวิตอยู่ แถมยังรับใช้เฟลท์
เขาได้ยินมาว่าวาลก้าคือยอดกุนซือใจเหี้ยมโหดที่เกลียดชังพวกมนุษย์และใช้กลยุทธ์ของตนช่วงชิงไปหลายพันชีวิตในช่วงศึกสงคราม
สถานการณ์ที่ยากจะเข้าใจนี้ทำให้อัลเดบารันใช้ความคิดจนหัวแทบจะระเบิด เขาอยากจะโวยออกมาว่า “นี่มันบ้าไปแล้ว ให้ตายเถอะ”
. ปู่รอมมั่นใจแล้วว่าศัตรูคือผู้ถือครองอำนาจ พลังวิเศษที่บิดเบือนได้กระทั่งกฎเกณฑ์ของโลก สิ่งที่เหล่า [แม่มด] ในอดีตเคยเป็นผู้ถือครอง
ในยุค [สงครามอมนุษย์] รอมเคยรู้จักกับผู้สืบทอดของแม่มดนามว่า “สฟิงซ์” ผู้มองว่าตนเองเป็นผลงานล้มเหลวที่มิอาจลอกเลียนอำนาจได้
จากการประเมินของรอม อำนาจของไอ้เวรหมวกเกราะน่าจะเป็น [อ่านใจของผู้อื่น] หรือไม่ก็ [มองเห็นอนาคตในระยะสั้น]
ปู่รอมจึงทำการทดสอบโดยการออกคำสั่งให้สองหน่วยบุกโจมตีพร้อมกัน แต่หน่วยหนึ่งจะแค่วิ่งผ่านโดยไม่ทำอะไร ในขณะที่อีกหน่วยจะเปิดฉากจู่โจมเต็มพิกัด
ผลลัพธ์คืออัลเดบารันเลือกเข้าปะทะกับทั้งสองหน่วย สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองลำบากจากการถูกสองหน่วยขนาบข้างโดยมิใช่เรื่อง
ถ้าหากว่าอัลสามารถอ่านใจได้จริง เขาคงจะเพิกเฉยต่อหน่วยแรกไปแล้ว ปู่รอมจึงได้ข้อสรุปว่าอำนาจของอีกฝ่ายคือ [หยั่งรู้อนาคต]
“ไอ้ของแบบนั้นมันต้องรับมือยังไงกันล่ะเนี่ย นี่มันบ้าไปแล้ว ให้ตายเถอะ”
. แกสตอน: ――คนที่ใช้ [ครรลองสายธาร] ไม่ได้ถอยไปซะ! แต่อย่าได้หยุดอยู่กับที่เด็ดขาด!!
หลังจากที่ปู่รอมแจ้งทฤษฎีที่ว่าศัตรูมีพลังมองเห็นอนาคตให้ทราบทางกระจก แกสตอนก็ร้องตะโกนและบุกตะลุยเข้าไปหาไอ้เวรหมวกเกราะ
เขาเลิกหวังที่จะซัดศัตรูให้หมอบด้วยหมัดเดียว แกสตอนหันมาใช้กระบวนท่ากระหน่ำจู่โจมแบบไม่ลดละ เน้นตัดช่องทางหนีต่อให้ศัตรูจะเห็นอนาคตก็ตาม
อัล: ใช้หัวคิดได้ดีนะ แกสตอน แต่ว่า ที่วิธีที่ถูกตรงนี้คือไม่ควรจะคิดต่างหากเฟ้ย
อัลตอบโต้ด้วยการกระทืบเท้าเสกกำแพงดินให้นูนตัวขึ้นมาป้องกัน จากนั้นก็เปลี่ยนส่วนหนึ่งของกำแพงเป็นถุงมือเกราะเพื่อใช้ต่อยอัดกลางแสกหน้าของแกสตอน
แกสตอน: โอร่า!!
ระหว่างที่กำลังหงายหลังล้ม แกสตอนที่สัมผัสได้ว่าศัตรูกำลังจะจู่โจมซ้ำได้ทำการตีลังกากลับหลังและส่งลูกเตะสวนกลับไป
แกสตอนเลียนแบบวิชากายกรรมคล้ายแมวตัวเบานี้มาจากทักษะที่เฟลท์ใช้ตอนพยายามหนีจากไรน์ฮาร์ด
อัล: เคยโดนไปแล้ว ตั้งสี่ครั้งเลยด้วย
ทว่า ไม้ตายที่กระทั่งลุงคนสวนของตระกูลแอสเทรอาผู้เป็นคู่ฝึกซ้อมของแกสตอนยังรู้สึกทึ่งกลับพลาดเป้าไม่โดนอะไรเลย
แถมขาขวาของเขายังถูกลวดเหล็กที่อัลควบคุมด้วยมือขวาผูกรัดและกระชากขึ้นฟ้าที่ความสูงระดับศีรษะ ผลลัพธ์คือแกสตอนถูกตรึงอยู่ท่ายืนเขย่งแบบกระต่ายขาเดียว
อัล: เตี่ย ฝากจัดการหมอนั่นที ชั้นจะไปช่วยยาเอะ
อัลหันหลังเดินจากออกมาโดยไม่สนใจ เขาส่งต่อหน้าที่ให้พ่อของไรน์ฮาร์ด ชายผู้แตกต่างจากลูกชายอย่างสิ้นเชิงและแกสตอนไม่ค่อยจะชอบขี้หน้านัก
ไฮน์เคล: ――อึก แกน่ะ อย่าได้ขยับเชียว …อั่ก!
แกสตอนซัดหน้าไฮน์เคลเต็มหมัดแล้วกระโจนเข้าไปหาอัลต่อทันที แต่เขาดันเสียสมดุลจนล้มคะมำกับพื้นเนื่องจากข้อเท้าฉีกขาดตอนที่กระชากให้หลุดจากลวดเหล็ก
อัล: นี่แก ด้วยขาแบบนั้น…
แกสตอน: แค่ขาข้างเดียวมันทำไมเรอะ! ทางนี้กำลังทุ่มเทเสี่ยงชีวิตอยู่นะเฟ้ย! คิดว่านี่เป็นการหยอกเล่นที่พอเจ็บตัวนิดหน่อยก็เลิกเล่นได้หรือไง!?
ท่าทีลังเลของพวกศัตรูทำให้แกสตอนยัวะเป็นพิเศษ เขากัดฟันฝืนลุกขึ้นยืนด้วยข้อเท้าขวาที่เนื้อฉีกแง้มเห็นกระดูกและมีเลือดไหลพราก
. อ่านต่อพาร์ท 2