re zero webnovel arc9 chapter21 part2 แปลไทย

บทที่ 9 ตอนที่ 21 "วาลก้า ครอมเวล" พาร์ท 2

แกสตอนมีหญิงสาวที่เขาหวงแหนอยู่ เธอคือหญิงสาวผู้ให้กำลังใจเขาก่อนออกเดินทางมาเข้าร่วมกำราบศัตรูตัวฉกาจกับพวกเฟลท์

แกสตอนมีเหล่าสหายที่เขาหวงแหนอยู่ ทั้งเพื่อนจอมขี้บ่นแต่ที่จริงห่วงใยคนรอบตัว มิตรสหายที่ถึงแม้จะขี้ขลาดแต่ก็ไม่เคยย่อท้อ

อาจารย์ที่เคร่งครัดในการสอนแต่ใส่ใจและเชื่อมั่นในตัวลูกศิษย์ และตาเฒ่าผู้เปลี่ยนอดีตที่เคยเป็นคำสาปให้กลายเป็นความแข็งแกร่งด้วยความรักที่มีต่อเด็กสาวจอมโอ้อวด

แกสตอนมีชายและหญิงที่เขาเคารพนับถืออยู่ ชายผู้แข็งแกร่งที่สามารถปกป้องได้ทุกสิ่งที่ปรารถนาและหญิงสาวผู้เปล่งประกายเจิดจรัสไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

บุคคลเหล่านั้นคือเหตุผลที่แกสตอนยังคงยืนหยัดสู้ต่อไปอย่างภาคภูมิได้

แกสตอน: ไอ้พวกคนที่แค่ของแบบนั้นยังไม่มีน่ะ อย่าได้สะเออะมาร่วมสังเวียนกับคนที่เขาทุ่มเทเต็มที่โว้ย!!

หลังกู่ร้องจากก้นบึ้งของดวงจิต แกสตอนก็รุดหน้าต่อแบบไม่สนอาการบาดเจ็บ ต่อให้ขาขวาจะต้องพิการ เขาก็จะขอตะบันหน้าไอ้เวรหมวกเกราะให้ได้

แกสตอนกระโจนตัวในท่าแทงเข่าซ้ายเล็งใส่ใบหน้าของศัตรู เขาจงใจเหลือมือว่างไว้เพื่อเตรียมทุบทำลายกำแพงดินที่อีกฝ่ายอาจสร้างขึ้นมาขวาง

อัล: ――บอกตามตรง ได้ผลด้วยนะ

แต่แล้วฝั่งอัลก็พุ่งเข้าประชิดตัวแกสตอนในจังหวะเดียวกัน แล้วใช้กำปั้นที่เคลือบเกราะหินเป็นถุงมือต่อยอัดแกสตอนจนหน้าหงาย

แกสตอน: ล้อกันเล่น..รึไง…

สุดท้ายทุกการโจมตีของแกสตอนก็ไปไม่ถึงตัวอัลเลยสักกระบวนท่า สติเริ่มเลือนลางจากเลือดที่เสียไปมาก ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงตะโกนแหลมสูงที่มาพร้อมกับแสงสีขาว

. นามของ [มีทิเออร์] ที่ใช้ยิงจู่โจมอัลเดบารันคือ [คทาดวงดาว]

เลื่องลือกันว่า [มีทิเออร์] ส่วนใหญ่ในโลกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของ [แม่มด] จอมใคร่รู้ผู้หนึ่ง เพื่อสนองต่อมความอยากรู้ของนางเอง

แต่ [คทาดวงดาว] นั้นต่างออกไป นังแม่มดตั้งใจทุ่มเทภูมิปัญญาเพื่อสร้างอุปกรณ์ชิ้นนั้นขึ้นมาใช้ทำให้ [มังกร] ช่างจ้อตัวหนึ่งหุบปากลง

ถึงจุดประสงค์จะฟังดูง่อย แต่พลังก็เป็นของจริง คทาดวงดาวจะดูดมานาจากผู้ใช้เพื่อยิงแสงดาวมนตร์ชาริโอ้ออกมาโดยลัดข้ามขั้นตอนประกอบพิธีเวท

แน่นอนว่าความรุนแรงของมันเทียบเวทอัล ชาริโอ้ที่สังหารได้กระทั่งมังกรไม่ติด แต่การที่ทุกคนสามารถใช้อุปกรณ์นี้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเรียนเวทมนตร์ถือเป็นความเหนือชั้น

เนื่องจากแสงดาวที่ยิงออกมามีคุณสมบัติติดตามเป้าหมาย ไม่ว่าอัลเดบารันจะลองตั้งรับหรือหลบหนีอย่างไรก็เลี่ยงการบาดเจ็บไม่ได้

อัล: โทษทีนะ เตี่ย

หลังจากชั่งใจตัวเลือกที่มีอยู่ สุดท้ายอัลก็เลือกที่จะร่ายมนตร์เสกเนินดินงัดร่างของไฮน์เคลให้กระเด็นมาเป็นโล่มนุษย์ทั้งที่เจ้าตัวยังมึนจากการถูกแกสตอนสวนไม่หาย

ไฮน์เคล: อัลเดบา―― อ้ากกกกกก

ร่างของนักดาบผมแดงผู้เกรี้ยวโกรธปะทะกับแสงดาวและระเบิดออก อัลรู้จากประสบการณ์ตรงว่าเขาคงเจ็บปวดราวกับสมองและเครื่องในถูกย่าง

ไฮน์เคลเข่าทรุดลงและหมดสติ แต่การที่ร่างของเขายังสั่นสะท้านบ่งชี้ว่ายังไม่ตาย ไม่ว่าจะมองยังไงความถึกทนของไฮน์เคลก็อยู่ในระดับไม่ธรรมดา

. อัล: ――นายคือแคมบาลี่สินะ

อัลเดบารันหันไปมองตัวการที่ใช้ [คทาดวงดาว] เขาเป็นชายเผ่าคนแคระที่อยู่ในสภาพร่อแร่ มีเลือดไหลออกจมูกและตา เส้นเลือดปูดโปนบริเวณคอและหน้าผาก

หลังจากวนลูปมากว่า 29,221 ครั้ง อัลเริ่มรู้จักชื่อของเหล่าศัตรูที่เขาต้องปะทะด้วย แต่ก็เหนื่อยหน่ายใจต่อความดื้อด้านของพวกเขาเหลือเกิน

อัล: …ต่อให้จะรู้วิธีการเปิดใช้งาน มันก็ไม่ใช่ [มีทิเออร์] ที่ใครหน้าไหนก็ใช้งานได้หรอกนะ ไปทำอีท่าไหนถึงเปิดใช้งานได้กันละเนี่ย

แคมบาลี่: …คิดว่า..ทำได้ไงล่ะ? หึหึ เชิญเดา..ไปชั่วชีวิตได้เลย…

อัล: ――ไม่จริงน่า เฮ็กเซลงั้นเรอะ?

[เฮ็กเซล] คือสารเสพติดผิดกฎหมายในราชอาณาจักรลูกุนิก้า มันถูกผลิตจากผลบ๊อกโคและมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นเกทให้ผลิตมานามากกว่าปกติ

ผลจากการโด๊ปยาทำให้แคมบาลี่สามารถฝืนใช้งาน [คทาดวงดาว] ได้ แลกกับการที่ร่างกายของเขาต้องเจ็บปวดราวกับว่าถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

ไม่ว่าจะราจินส์ แกสตอน แคมบาลี่ หรือสมาชิกฝ่ายเฟลท์มีแต่พวกดื้อด้านไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งสร้างความลำบากให้แก่อัลที่ต้องหาทางเอาชนะทีละคนมากๆ

แคมบาลี่กำ [คทาดวงดาว] ในมือแน่นเพื่อเตรียมร่ายมนตร์แสงดาวอีกรอบ แต่เนื่องจากมานาไม่เพียงพอ เกทของเขาจึงถูกเผาจนเกิดควันสีขาวลอยออกมาจากทั่วร่าง

นี่คือกลไกลงโทษซึ่งเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่นังแม่มดติดตั้งไว้ป้องกันไม่ให้เด็กหยิบคทาไปใช้มั่วซั่ว สมแล้วที่นางมิได้เข้าใจจิตใจของมนุษย์เลย

. โตโต้: แคร์คุง!

หญิงสาวผิวคล้ำในชุดวาบหวิวรีบโผไปโอบกอดร่างของแคมบาลี่เอาไว้ก่อนที่เขาจะล้มฟุบแล้วหันกลับมาจ้องเขม็งใส่อัล

เธอคนนี้คือบอสหญิงแห่ง [สวนคุกบุษบา] นามว่าโตโต้

อัล: …ไม่ต้องจ้องกันขนาดนั้นก็ได้ ไม่ได้มีทั้งเวลาหรือรสนิยมชอบกระทืบคนเจ็บสักหน่อย

โตโต้: พวกคุณน่ะ…

อัล: 7 วัน …ไม่สิ เหลือ 6 วันแล้ว จะไม่ทำให้โลกสั่นคลอนเกินกว่า 6 วันจากนี้หรอก ――แต่ก็ไม่มีใครยอมเชื่อบ้างเลย

อัลพึ่งรู้ตัวว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับ “ผู้หญิง” ในศึกครั้งนี้ ที่ผ่านมาเขายังไม่เคยเจอตัวเฟลท์กับกราซิสเลย หลังจากที่โดนเล่นงานในลูปแรก

โตโต้แสดงท่าทีเหมือนไม่คิดจะสู้ต่อและใช้คางชี้เพื่อบอกเป็นนัยว่า “ไปซะ” ฝั่งอัลจึงยิ้มแห้งๆ ออกมาแล้วหันหลังกลับ

โตโต้: ――อั่ก

ทันใดนั้นเองโตโต้ที่พยายามยกพัดเหล็กขึ้นมาก็ถูกยาเอะใช้ลวดรัดคอจนหมดสติ จากนั้นยาเอะก็หยิบพัดเหล็กที่หลุดจากมือของโตโต้มาตรวจสอบ

ยาเอะ: เหวอ มีพิษอยู่ด้วยแหละค่ะ ดูจากสีและกลิ่นแล้ว …จิรัมเมสินะคะ? เตรียมพิษร้ายแบบออกฤทธิ์เร็วไว้แบบนี้ ท่าทางพร้อมบวกน่าดูว~ นะคะเนี่ย

อัล: อย่าโกรธแบบนั้นสิ

ยาเอะ: อุตส่าห์น่าร้าก~ ขนาดนี้ทั้งที ใจร้ายมากค่ะที่กล่าวหาว่าโกรธ! ก่อนอื่นเลย ท่านอัลนั่นแหละที่ผิดนะคะ? เพียงเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง หันหลังให้แล้วยิ้มกริ่มเชียวนะ แต่ก็เพราะเป็นท่านอัล ถึงจะตายสักกี่ครั้งก็คงไม่สำคัญล่ะนะ…

อัล: ――เมื่อกี้คือรอบแรกเลย เพราะว่าเธอโผล่มาช่วยแหละนะ

คำตอบแบบตรงไปตรงมาของอัลทำให้ยาเอะทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ เธอออกอาการงอนแบบนี้ทุกครั้งที่อัลกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

ยาเอะยืนยันว่าไฮน์เคลที่ถูกแสงดาวแผดเผายังมีชีวิตอยู่ ถึงเธอจะเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ก็เถอะ

ตั้งแต่ที่ศึกนี้เริ่มต้นขึ้น พวกอัลถูกไล่ต้อนให้ลงทิศใต้ไปเรื่อยๆ แต่หลังจากที่ทยอยตัดกำลังรบ 500 คนของศัตรู ในที่สุดอัลก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้น

ว่าแล้วเขาจึงก้าวเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ออกจากป่าไปสู่ทุ่งราบ

รอม: ――อะไรกัน ช่างน่าแปลกใจที่ไม่รู้สึกว่านี่คือการพบกันครั้งแรกเลยล่ะน่อ ไอ้เวรหมวกเกราะ

อัล: ชั้นเองก็เหมือนกัน คงเพราะว่ามัวแต่คิดถึงคุณมาโดยตลอดแหละนะ

หลังจากฟันฝ่าการวนลูป 29,221 ครั้ง ในที่สุดอัลเดบารันก็ได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริง “วาลก้า ครอมเวล” นั่นเอง

. ทั้งที่อีกฝ่ายนั่งขัดสมาธิอยู่บนทุ่งราบ วาลก้า ครอมเวลกลับสูงพอๆ กับอัลที่ยืนอยู่ นั่นคงเป็นเพราะความใหญ่โตของร่างกายหรือไม่ก็เพราะอีกฝ่ายมีขาสั้น ซึ่งเป็นคอมเพล็กซ์(ปมด้อย)ที่อัลมีอยู่เช่นกัน

อัล: กระทั่งตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังหนุ่มอยู่เลยนะ นี่คุณปู่อายุเท่าไหร่เนี่ย?

รอม: ไม่รู้ซี่ ตั้งแต่เกินร้อยก็เลิกนับไปแล้ว

หากไม่นับเผ่าเอลฟ์ที่ลือกันว่ามีชีวิตเป็นนิรันดร์หากไม่ถูกฆ่าตาย เผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวรองลงมาก็เผ่ายักษ์ซึ่งเกือบจะสูญพันธุ์เพราะเผลอไปยั่วโมโห [แม่มด] ผู้หนึ่ง

อาจกล่าวได้ว่าผู้คนสมัยก่อนมักจะยั้งมือไม่ค่อยเป็นเวลาที่บันดาลโทสะ

อัล: นักดาบที่โปรดปรานเนื้อ [มังกร] จนไล่สังหารพวกมันเอย [แม่มด] ที่เกือบสังหารทั้งเผ่าพันธุ์เพียงเพราะสมาชิกคนหนึ่งยั่วโมโหเธอเอย เอลฟ์ที่ดันไปติดร่างแหของ [แม่มดแห่งริษยา] เอย นับไม่หวาดไม่ไหวเลยเฟ้ย

รอม: เป็นคนหนุ่มแท้ๆ รู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีแท้น้อ อีกอย่างนะ เอ็งน่ะ ได้ยินว่าท่าทางสนิทสนมกับ [แม่มดแห่งริษยา] น่าดูเลยนี่

อัล: สนิทสนม? เป็นโจ๊กที่ขำไม่ออกเลยนะ ――เจ้าหล่อนน่ะเกลียดชั้นเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่เคยจะยอมสบตากันเลยด้วยซ้ำ

ตลอดศึกที่ผ่านมา วาลก้าได้เลือกใช้แผนการที่อัลเกลียดที่สุดมาโดยตลอด เช่นเดียวกับปัจจุบันที่เขาเอาเฟลท์ไปซ่อนที่อื่นเพื่อมิให้อัลมีโอกาสพลิกชนะแบบง่ายๆ

. รอม: จะว่าไป นี่เล่นเชือดทิ้งไปหมดทั้ง 500 คนเลยงั้นเรอะ

อัล: พอเทียบกับจำนวนคิลสมัยสงครามกลางเมืองของคุณแล้ว คงจะคิดว่าน่าเอ็นดูล่ะสิ อีกอย่างหนึ่ง …อา ไม่ล่ะ นั่นมันเรื่องของทางนี้ ไม่สำคัญอะไร

อัลเลือกที่จะเก็บความลับเรื่องที่กลุ่มของเขามิได้สังหารใครสักคนในศึกครั้งนี้เอาไว้ การเผยเรื่องนั้นมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายกังขาความไม่สมเหตุสมผลของตน

ถึงแม้ว่ายาเอะจะเสนอให้ฆ่าศัตรูอยู่หลายครั้ง แต่อัลก็ยึดมั่นในวิถีอันยุ่งยาก ทำอย่างมากแค่การสร้างบาดแผลรุนแรงที่บั่นทอนกำลังใจของศัตรูแต่ยังพอรักษาได้ทัน

อัลเดบารันตัดสินใจไว้แล้ว ไม่ควรมีผู้ใดจากโลกที่เธอ(พริสซอลล่า)รักต้องถูกสังเวยเพราะการแทรกแซงของเขาแม้แต่คนเดียว ยกเว้นแค่ “นัตสึกิ สุบารุ” เท่านั้น

เพื่อการนั้นแล้ว อัลเดบารันจะไม่สังเวยชีวิตของใคร――

รอม: ――เอ็งน่ะ ไม่อยากที่จะทนมองความสูญเสียของชีวิตแบบต่อหน้าต่อตาอีกต่อไปแล้ว ใช่ไหมล่ะน่อ

――

――――

――――――――

――――――――――――ห๊ะ?

อัล: ――ห๊ะ?

รอม: สงสัยอยู่แล้วเชียว ตั้งแต่ที่ได้ยินว่าเอซโซ่กับแฟรมถูกเล่นงานที่หอสังเกตการณ์เพลอาเดส แต่กลับถูกไว้ชีวิตนั่นแหละนะ

อัล: เฮ้ย…

รอม: แฟรมใช้ [พรคุ้มครองโทรจิต] หลังทราบข่าว เจ้า [นักดาบเทวา] ก็เลยรีบไปดักโจมตีที่เนินทรายออกุเลียในสภาพที่อ่อนแอลงที่สุด… กลยุทธ์ส่วนนี้สมเหตุสมผลอยู่ แต่ไม่มีเหตุผลให้ควรไว้ชีวิตเอซโซ่เลย แฟรมเองก็น่าจะหมดประโยชน์หลังจากที่ใช้พรคุ้มครองใช่ไหมล่ะน่อ

อัล: เฮ้ย คุณปู่… ตาแก่…

รอม: เรื่องน่ากังวลที่อาจกระทบต่ออนาคตต้องกำจัดทิ้ง เรื่องพื้นฐานแบบนั้นเอ็งดันไม่ทำ ――รู้สึกจะเคยถามข้าไว้ว่าเฟลท์หายไปไหนสินะ เด็กคนนั้นน่ะ เดินย้อนศรไปตามเส้นทางหนีของพวกเอ็งไง

. วาลก้าชูถุงมือที่เคยมีกระจกสนทนาติดตั้งอยู่ 13 บานขึ้นมา พวกอัลทำลายไปแล้ว 12 บาน และที่กระจกบานสุดท้ายก็มีภาพสะท้อนของเฟลท์ปรากฏอยู่

วาลก้าดูออกตั้งแต่แรกว่าพวกอัลไม่ได้ฆ่าใคร เขาจึงแอบส่งเฟลท์ไปปลดพันธนาการและพากำลังพลกลับมาสู้ที่แนวหน้าต่อเป็นยกที่สอง

การหวังให้ทั้ง 500 คนยังอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้คงเป็นไปได้ยาก แต่วาลก้าประเมินว่าน่าจะมีเกินร้อยคนที่ยังไหวอยู่

อัลโมโหจนเส้นเลือดบวมเป่งเนื่องจากนโยบายไม่สังหารศัตรูของเขาดันถูกอีกฝ่ายใช้ประโยชน์อย่างร้ายกาจ แต่ที่จริงพวกอัลก็หักแขนขาศัตรูที่แพ้เผื่อเอาไว้บ้างแล้ว

รอม: เตรียม [เฮ็กเซล] ไว้ให้ทุกคน เผื่อต้องใช้ในกรณีจำเป็นอยู่แล้ว ศึกต่อไปจะไม่ใช่การเจอกับพวกที่ไม่กลัวเจ็บ แต่เป็นพวกที่ไม่รู้สึกเจ็บเลยล่ะน่อ

อัล: ――กรอด เออ เอาสิวะ! จะร้อยหรือสองร้อยคนก็ดาหน้าเข้ามาได้เลย! ก็แค่ต้องทำใหม่แบบเดิม…

คำพูดของอัลขาดช่วงจนตกคำว่า “อีกรอบ” ไป เนื่องจากสายตาของวาลก้ากำลังจดจ้องมายังตัวเขาที่ออกอาการสติแตกอย่างเยือกเย็น

รอม: เข้าใจล่ะ ――บทสนทนานี้น่ะ เอ็งพึ่งจะได้ฟังเป็นครั้งแรกล่ะสิท่า

อัล: …

อัลเดบารันขนลุกไปทั่วร่าง ในวินาทีนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่าตัวตนที่อยู่เบื้องหน้านั้นอันตรายเสียยิ่งกว่า [นักดาบเทวา]

. อัล: ――ยาเอะ!!

อัลรีบตะโกนเรียกยาเอะที่ซุ่มรอคำสั่งอยู่ไม่ไกล ก่อนอื่นต้องให้เธอใช้ลวดเหล็กพันธนาการวาลก้า ครอมเวลเอาไว้และปิดปากมิให้พูดมากไปกว่านี้

หนทางที่ง่ายที่สุดคือการสังหารวาลก้าทิ้งไปเลย แต่อัลมิได้ปรารถนาเส้นทางนั้น เขาจึงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างให้วาลก้าสลบไปสัก 6 วัน

แมนเฟร็ด: ――ตรงนั้นไง

ทันใดนั้นเอง ชายน่าขนลุกที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้าได้เผยตัวออกมา เขาสักลายตาชั่งทั่วทั้งร่าง แถมตาขวาที่ใหญ่ผิดปกติก็ยังดิ้นพล่านไปมา

ดวงตาน่าขนลุกของแมนเฟร็ดแห่งองค์กร [คันชั่ง] มองเห็นชิโนบิสาวที่กระโจนตัวออกมาตามคำสั่งของอัล เขาใช้ฝ่ามือปิดตาขวาแล้วจดจ้องเธอด้วยตาซ้ายต่อ

แมนเฟร็ด: อย่าขยับ

ยาเอะ: ――อึก

หลังจากที่ระบุตำแหน่งด้วย [พรคุ้มครองเห็นไกล] เขาก็ใช้ [พรคุ้มครองบีบบังคับ] ซึ่งทำให้คำพูดมีน้ำหนักโน้มน้าวมากขึ้นเพื่อขัดการเคลื่อนไหวของยาเอะ

การใช้งานพรคุ้มครองถึงสองพรพร้อมกันทำให้อัลรู้ตัวจริงของอีกฝ่าย

อัล: …สาวกของไทฟอนงั้นเรอะ!

ยาเอะหลุดจากอิทธิฤทธิ์ของพรคุ้มครองได้ไม่ยากเย็นนัก แต่แมนเฟร็ดซื้อเวลามากพอให้เด็กสาวอีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้ากระโจนเข้าประชิด

กราซิส: ――ล้างแค้นให้แฟรม

ลูกเตะอันหนักหน่วงของกราซิสผู้เชี่ยวชาญ [ครรลองสายธาร] อัดกระแทกยาเอะจนแขนหัก อีกทั้งยังส่งร่างของเธอให้กระเด็นถอยกลับ

ไฮน์เคลเองก็ยังหวังพึ่งไม่ได้เนื่องจากเขาถูก [คทาดวงดาว] เล่นงานไปก่อนหน้านี้

. อัล: ――กางอาณาเขตใหม่ ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่

เมื่อเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป อัลเดบารันจึงตัดสินใจอัปเดตจุดเซฟก่อนที่จะทำให้วาลก้าหุบปากด้วยกำลังของเขาเอง

รอม: ――ตั้งสติไม่อยู่แล้วนะ อาการนั่นคือต้นเหตุความปราชัยของฝ่ายที่แพ้ ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตาม

จังหวะเดียวกับที่อัลใช้อำนาจแก้ไขกฎเกณฑ์ของโลก วาลก้าก็กำลังเคี้ยวบางอย่างอยู่ในปาก ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าสิ่งนั้นคือ [เฮ็กเซล]

ร่างกายของวาลก้าขยายใหญ่ขึ้นทันตาด้วยอิทธิฤทธิ์ของยาเถื่อน อัลจึงถูกบีบให้ถอยเพราะเขาไม่รู้เลยว่าทักษะต่อสู้โดยตรงของศัตรูอยู่ระดับไหน

ไฮน์เคล: ――อัลเดบารัน!!

จู่ๆ ไฮน์เคลก็ร้องตะโกนและชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า อัลเข้าใจได้ทันทีว่าไทม์ลิมิตได้หมดลงแล้ว ผู้ที่จะปิดม่านของศึกครั้งนี้ลงกำลังปรากฏตัวบนฟากฟ้า

อัล: เท่านี้ก็――

รอม: ――หมดเวลาแล้วสินะ

ในขณะที่อัลกำลังจะประกาศชัยชนะ วาลก้าก็เอ่ยแทรกขึ้นมาราวกับว่าเขาคาดหวังช่วงเวลานี้อยู่เช่นกัน

. ในวินาทีนั้น ปู่รอมขยี้ศิลามนตรา [ขจัดราตรี] ในฝ่ามือทิ้งและสั่งให้เกทซึ่งถูกกระตุ้นด้วยเฮ็คเซลเปิดไพ่ตายที่จะเผด็จศึกไอ้เวรหมวกเกราะ

หลังจากที่ประเมินดูใหม่ ปู่รอมมองว่าอำนาจของศัตรูไม่น่าใช่การมองเห็นอนาคต เพราะว่าอนาคตคือผลลัพธ์สุดท้ายเพียงหนึ่งเดียวจากตัวเลือกของทุกคน มิใช่แค่บุคคลเดียว

ดังนั้น อำนาจของอีกฝ่ายจึงน่าจะเป็นความสามารถในการตรวจสอบผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทีละอย่างและทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

มันคือพลังแหกกฎเกณฑ์ที่ทำให้ศัตรูได้เห็นผลลัพธ์ของการกระทำและย้อนเวลากลับมาจุดเดิม ของแบบนั้นจะไปหยุดยั้งได้ยังไงกัน?

รอม: แต่ว่า มันมีช่องโหว่อยู่

ถ้าหากอำนาจของอัลเดบารันสมบูรณ์แบบจริง เขาควรจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกเฟลท์หรือไรน์ฮาร์ดได้ตั้งแต่แรกแล้ว

นั่นแปลว่าระยะเวลาที่อัลเดบารันสามารถมองเห็นผลลัพธ์ในอนาคตและย้อนกลับมาได้นั้นมีอยู่กำจัด โดยที่เจ้าตัวน่าจะเป็นผู้กำหนดจุดย้อนเอง

มันคืออำนาจที่ผู้ถือครองต้องคอยรักษาสมดุลระหว่างอันตรายและความปลอดภัย ซึ่งเจ้าตัวย่อมต้องคอยหา “จุดปลอดภัย” สำหรับย้อนกลับไปเป็นธรรมดา

ดังนั้น สิ่งที่รอมต้องทำก็คือการวางกับดักที่ไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้เอาไว้ตรงจุดที่ไอ้เวรหมวกเกราะน่าจะหลงเชื่อว่าเป็นจุดปลอดภัย

. รอม: ――เรียกกลับมาสินะ [มังกรเทพ] พันธมิตรของเอ็งน่ะ

เดิมทีสาเหตุที่ศึกนี้ยืดเยื้อเป็นเพราะว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีกำลังรบที่เหนือชั้นอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง [มังกรเทพ] ถือเป็นตัวตนที่เข้าข่ายเงื่อนไขนั้น

การปรากฏตัวของมันถือเป็นสัญญาณการปิดม่าน เพราะทันทีที่ได้เห็นมังกรพ่นลมหายใจสักครั้ง เหล่าอันธพาล 500 คนย่อมหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ

อิงตามนโยบายเลี่ยงการสังหารของอัลเดบารัน เขาย่อมกำชับให้ [มังกรเทพ] พ่นลมหายใจใส่พื้นที่ว่างเปล่าเพื่อเป็นสัญญาณปิดม่านอย่างแน่นอน

รอม: ――อิทธิฤทธิ์ของ [ขจัดราตรี] คือการเปลี่ยนกลางคืนให้ดูเหมือนเวลากลางวัน นอกจากนั้น ก็ยังสามารถบดบังทิวทัศน์เดิมด้วยม่านลวงตา

ปกติการควบคุมม่านลวงตาของ [ขจัดราตรี] จำเป็นต้องอาศัยทักษะของจอมเวทผู้ช่ำชอง แต่เกทที่ผ่านการกระตุ้นโดยเฮ็กเซลของรอมก็ทำแบบนั้นได้เช่นกัน

ที่จริงแล้วนี่คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่รอมไม่มีโอกาสงัดมาใช้ช่วง [สงครามอมนุษย์] มันคือแผนการใช้เป้าหมายสำคัญที่ทัพอัศวินมิอาจละเลยได้เป็นเหยื่อย่อ

ผู้ที่รับบทเหยื่อล่อจะกลายเป็นเครื่องสังเวยซึ่งจะถูกเวทมนตร์รุนแรงยิงสังหารไปพร้อมกับกองทัพของราชอาณาจักร แต่รูปแบบที่รอมใช้ในปัจจุบันนั้นต่างออกไป

. ม่านลวงตาจาก [ขจัดราตรี] ขยายตัวปกคลุมทั้งปู่รอมและอัลเดบารัน ส่งผลให้ [มังกรเทพ] บนฟากฟ้ามองไม่เห็นตัวทั้งสอง

การหลอกล่อให้ [มังกรเทพ] พ่นลมหายใจลงมาใส่จุดที่มันหลงคิดว่าไร้ผู้คนนี่แหละคือกลยุทธ์แก้ทางจุดปลอดภัยของวาลก้า ครอมเวล

ไอ้เวรหมวกเกราะพยายามที่จะหนี แต่ขาของเขาถูกวาลก้าคว้าเอาไว้ในขณะที่ [มังกรเทพ] เตรียมเผาทำลาย [พื้นที่ว่าง] จากมุมมองของมัน

รอม: ――เฟลท์

แทนที่จะนึกถึงใบหน้าของลิเบรหรือสฟิงซ์ในวาระสุดท้าย สิ่งเดียวที่ปรากฏในหัวของปู่รอมกลับเป็นความทรงจำเกี่ยวกับหลานสาวตั้งแต่วัยแบเบาะยันโตเป็นสาว

ปู่รอมเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่ตัวเขาจะถูกลมหายใจมังกรกลืนหายไปพร้อมกับไอ้เวรหมวกเกราะ

เฟลท์: ――หยุดเลยนะว้อย!!

ทันใดนั้นเองที่แสงดาวพุ่งไปกระแทกกรามของมังกรจนทิศทางการพ่นลมหายใจหักเหไปลงพื้นที่ว่างเปล่าของแท้ คลื่นกระแทกจากแรงปะทะส่งผลให้ทั้งปู่รอมและอัลต่างล้มคะมำ

หากทุกอย่างเป็นไปตามกลยุทธ์ที่รอมวางไว้ อัลเดบารันควรจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ต้องตายสถานเดียวได้

เฟลท์: พอสังหรณ์ใจไม่ดีก็เป็นงี้จริงด้วย การเตรียมใจที่จะตายกับการตั้งใจทิ้งชีวิตมันคนละอย่างกันนะรู้ไหม! ปู่รอมคนงี่เง่าเอ๊ย!!

แต่แล้วหลานสาวผู้กำ [คทาดวงดาว] อยู่ในมือและร้องไห้จนตาแดงก่ำกลับเป็นผู้ที่บดขยี้กลยุทธ์นั้น

สุดท้ายวาลก้า ครอมเวลก็เป็นฝ่ายที่ปราชัยเนื่องจากหลานสาวผู้น่ารักของเขาเอง

. จบตอน