กว่าปู่รอมจะได้สติเวลาก็ผ่านไปหลายชั่วโมงหลังจากที่ฝ่ายเฟลท์ตัดสินใจถอยทัพตามคำสั่งของผู้นำที่ยอมให้ศัตรูจับไปเป็นตัวประกัน
ปู่รอมที่ผ่านประสบการณ์พ่ายแพ้มาอย่างนับไม่ถ้วนไม่ค่อยสะเทือนใจนักหากเทียบกับราจินส์ที่รายงานสถานการณ์ให้ฟังด้วยสีหน้าเจ็บใจ
ไม่แน่ว่าสาเหตุที่ปู่รอมรอดชีวิตมาได้ทุกคราที่พ่ายแพ้ก็เพื่อที่เขาจะได้พบพานกับสิ่งล้ำค่าที่มิอาจทดแทนได้(เฟลท์) แต่ตอนนี้สิ่งนั้นได้ถูกช่วงชิงไปเสียแล้ว
รอม: สถานะของเฟลท์ล่ะ? วิธีที่จะยืนยันก็ต้อง…
ราจินส์: หึ น่าเสียดายที่ [พรคุ้มครองเห็นไกล] ของแมนเฟร็ดโดนเล่นงานไปแล้ว ไม่ใช่แค่ไอ้เวรหมวกเกราะ ยัยเมดที่อยู่ด้วยกันก็หัวไวพอตัวเลย ถือว่าโชคดีแล้วที่จบแค่โดนควักลูกตาออกไป
รอม: กะแล้วเชียวว่าคงไม่รอด คาดหวังมากไปเองสินะน้อ
[พรคุ้มครองเห็นไกล] ช่วยให้ผู้ถือครองสามารถระบุตำแหน่งและจับตาดูเป้าหมายได้จากระยะไกล มันมีประโยชน์อย่างมากในการวางกลยุทธ์
ที่จริงแมนเฟร็ด มาดิสันมิใช่ผู้ถือครองพรคุ้มครองดังกล่าว เขาเพียงแค่ขโมยมันมาใช้จากเจ้าของเดิม
ในขณะที่ [กษาปณ์เงินกาฬ] กับ [สวนคุกบุษบา] เป็นองค์กรที่มีถิ่นฐานในเมืองแฟลนเดอร์สแต่แรก [คันชั่ง] นั้นต่างออกไป
องค์กร [คันชั่ง] มีประวัติและชื่อเสียงฉาวโฉ่มายาวนานตั้งแต่ก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานมายังแฟลนเดอร์ส เล่าลือกันว่าพวกเขาสามารถขโมยพรคุ้มครองของผู้อื่นได้
ส่วนตัวปู่รอมคาดเดาว่า [คันชั่ง] จำเป็นต้องกักตัวเจ้าของพรคุ้มครองไว้แบบเป็นๆ ในขณะที่ผู้แทนองค์กรนำชิ้นส่วนร่างกายที่เป็นต้นกำเนิดของพรมาใช้งาน
แน่นอนว่าการควักลูกตาผู้อื่นมาใส่แทนตาตัวเองมันยังไม่เพียงพอให้ใช้พรได้ จึงอนุมานได้ว่า [คันชั่ง] มีศาสตร์ลับบางอย่างที่มิเคยเปิดเผยต่อโลกภายนอกอยู่
. ในเมื่อดวงตาที่เป็นต้นกำเนิดของ [พรคุ้มครองเห็นไกล] ถูกทำลายไปแล้ว พวกรอมจึงต้องหาวิธีอื่นในการระบุตำแหน่งของเฟลท์
กราซิสที่เชี่ยวชาญ [ครรลองสายธาร] ฟื้นตัวได้เกือบสมบูรณ์แล้ว แถมพรคุ้มครองของเธอก็ยังเกือบจะใช้งานได้อีกรอบพอดี
ปู่รอมรู้ดีว่าแกรซิสเป็นห่วงพี่สาวฝาแฝด เขาจึงลูบหัวปลอบใจเธอและสั่งให้ช่วยเตือนอีกทีตอนที่พรคุ้มครองพร้อมใช้งาน
ปู่รอมปล่อยให้คนหนุ่มสาวอย่างแกรซิสกับราจินส์หยอกล้อกันระหว่างที่ตนวิเคราะห์ภาพรวมอีกครั้ง ผลลัพธ์นี้ถือว่าดีเป็นอันดับสามจากความเป็นไปได้ทั้งหมด
พวกรอมเป็นฝ่ายที่แพ้ แถมเฟลท์ยังถูกลักพาตัวไป แต่กำลังรบหลักอย่าง [มังกรเทพ] จะถูกปิดผนึกโดยเฟลท์ในศึกครั้งหน้าอย่างแน่นอน
อีกอย่างความลับของอำนาจอีกฝ่ายถูกเปิดโปงแล้ว แต่ฝั่งอัลจะไม่ยอมพลาดท่าด้วยลูกไม้เดิมอย่างแน่นอน รอมจึงต้องคิดกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์ยิ่งขึ้น
รอม: ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไอ้เวรหมวกเกราะมันไม่คิดจะเสียเวลาหยุดอยู่กับที่เลย ขืนเป็นแบบนั้น ถึงจะหยุดพักสั้นๆ บ้าง มีหวังไม่ได้พักผ่อนร่างกายอย่างที่ควรแหงเลยน่อ จิตใจที่อ่อนล้าจะเปิดเผยจุดอ่อนของอำนาจ ยิ่งเฟลท์ช่วยเหนี่ยวรั้ง [มังกรเทพ] ไว้แล้ว ยิ่งมีช่องโหว่ให้เล่นงานมากขึ้น อีกอย่างที่น่าแปลกใจคือไอ้เวรหมวกเกราะกับพวกพ้องไม่ค่อยจะสามัคคีกัน――
แม้จะพึ่งพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ แถมหลานสาวก็ถูกจับตัวไป แต่ปู่รอมอาศัยความสุขุมและความมากประสบการณ์ปรับอารมณ์มาวิเคราะห์ศึกรอบหน้าต่อทันที
. อัล: ――กางอาณาเขต ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่
หลังจากที่วนลูปมากว่า 29,221 รอบ ในที่สุดอัลเดบารันก็มีโอกาสได้กำหนดจุดรีสตาร์ทใหม่แบบปลอดภัย เขาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
อัล: …โทษทีนะ ใจเย็นลงแล้วล่ะ
ยาเอะ: ไม่เลยค่า~ อย่าได้กังวลไปเลยค่ะ ที่จริง พักแค่นั้นมันจะพอเหรอคะ? ถ้าอยากล่ะก็ จะหนุนตักของยาเอะจังก็ได้นะคะ
อัล: ไม่ล่ะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งตักเธอ
ยาเอะ: ออกจะนู๊มนุ่ม~ และเด้งดึ๋ง~ เชียวนะคะ?
ปัจจุบันอาการปวดหัวลดน้อยลงแล้ว อัลจึงปฏิเสธยาเอะไปตามเคย แต่ลึกๆ เขาก็แอบซาบซึ้งที่เธอคอยอยู่เคียงข้างและช่วยแบ่งเบาภาระเสมอมา
หากไม่ได้ติดพันอยู่กับการต่อสู้ อัลมีเทคนิค [เมนทอลรีเซ็ต] โดยการนั่งเหม่อลอยทำหัวให้โล่งอยู่เฉยๆ พักใหญ่ก่อนที่จะกลืนยาพิษเพื่อรีเซ็ตเมทริกซ์ใหม่
ตราบใดที่มีจุดพักให้ทำเช่นนั้นได้ซ้ำๆ อัลก็สามารถลบล้างความอ่อนล้าทางจิต ลดความตึงเครียดของประสาทรับรู้ และทำให้จิตใจสงบลงได้เท่าที่ต้องการ
ทว่า เทคนิคเมนทอลรีเซ็ตนี้มิอาจช่วยลดความเหนื่อยล้าของสมองและร่างกายได้ ปัจจุบันอัลจึงยังคงตกอยู่ในสภาพที่อ่อนล้าและนอนไม่พอ
อัลถึงกับพูดติดตลกว่าขืนเขาหนุนตักยาเอะตอนนี้ มีหวังได้สลบทันทีเพราะความเหนื่อยแหงเลย
. หลังจบศึกปะทะกับกลุ่มของเฟลท์ พวกอัลก็เดินทางไปต่อทางทิศตะวันตก แล้วหลังจากที่ตรวจสอบความปลอดภัย อัลก็ใช้เทคนิคเมนทอลรีเซ็ตเพื่อลดเวลาพักให้น้อยลงที่สุด
อัล: จะว่าไป ขอปรึกษาสักหน่อยสิ ถ้าเกิดรู้สึกเหมือนจะสลบเนี่ย เรามีตัวเลือกในการโด้ปปิ้ง [โลหิตมังกร] อยู่ไหม? หรือว่าทำไม่ได้?
อัลเดบารันลองหันไปถามเรื่องนั้นกับมังกรเทพอัลซึ่งกำลังรับบทเป็นผู้คอยระวังภัยรอบข้างร่วมกับยาเอะ
มังกรเทพอัล: นั่นสิน้า อา การเปรียบเทียบระหว่างร่างกาย [มังกร] ร่างนี้กับออริจินัลบอดี้แสนปวกเปียกของชั้นมันค่อนข้างยาก แต่ถ้าขืนรับเอา [โลหิตมังกร] ที่ไม่ได้เจือจางเข้าไปล่ะก็ มีหวังระเบิดตู้มแน่
อัล: ตู้ม… ผลลัพธ์ต่างจากกรณีคุณดัชเชส(ครูช)ที่เมืองพริสเทล่างั้นเรอะ
มังกรเทพอัล: หลังได้รับร่างกายนี้มาก็เข้าใจ ถ้าเกิดไม่นับกรณีนัตสึกิ สุบารุที่มีคำสาปปนกันมั่วซั่วอยู่ในร่าง การที่คุณดัชเชสยังอุตส่าห์ทนอยู่ในสถานะนั้นได้คือปาฏิหาริย์ชัดๆ สมกับที่เป็นคนสนิทของราชวงศ์ล่ะนะ
อัล: …ถึงจะบอกให้เจือจาง แต่มันคงไม่ใช่แค่การเอาไปกรองผ่านน้ำอยู่แล้วแหละนะ จะว่าไป มีความเชื่อฝังหัวอยู่ว่าชิโนบิไม่ได้ถนัดแค่ยาพิษ แต่ยังเชี่ยวชาญยารักษาด้วย แล้ว [โลหิตมังกร] ล่ะ?
ยาเอะ: ถือเป็นโอกาสดีที่น่าสนใจอยู่หรอก แต่ถ้าเกิดท่านอัลกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม หัวใจของยาเอะจังมีหวังรับไม่ได้พอดีค่า~
ตราบใดที่ขาดผู้เชี่ยวชาญด้านการเจือจาง [โลหิตมังกร] ในกลุ่ม การผลิต “ลาสต์อีลิกเซียร์(สุดยอดยาอมฤต)” จำนวนมากย่อมเป็นไปไม่ได้
สุดท้ายมังกรเทพอัลจึงทำได้เพียงแค่ร่ายเวทมนตร์ฮีลช่วยปลอบใจอัลเดบารันซึ่งมิได้มีบาดแผลภายนอกแต่อย่างใด
. ยาเอะถือโอกาสถามมังกรเทพอัลเรื่องความรู้สึกที่มีต่อเฟลท์ โดยที่เธอตั้งชื่อเรียกให้เขาใหม่ว่า “ท่านวอล”
เจ้ามังกรเลือกตอบติดตลกว่าความรู้สึกรักรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ยิ่งอยู่ห่างกันความรู้สึกก็ยิ่งพลั่งพรู คำตอบนั้นทำให้ยาเอะไม่ชอบใจนัก
เธอลองเสนอแนวทางปล่อยให้เฟลท์หนีไปเอง พวกตนจะได้สามารถกำจัดเฟลท์ได้อย่างไม่ติดขัดตามที่เจ้าตัวรับปากเอาไว้
แต่ว่าทั้งอัลเดบารันและมังกรเทพอัลต่างก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากอัลอยากให้เฟลท์ได้กลับเข้าสู่ศึกชิงบัลลังก์กษัตริย์ต่อหลังเรื่องทั้งหมดนี้จบลง
อีกอย่างปฏิกิริยาที่ [มังกรเทพ] มีต่อเฟลท์ทำให้อัลเริ่มเชื่อปักใจว่าเฟลท์น่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ตระกูลลูกุนิก้าจริง มิเช่นนั้นเจ้าดราก้อนคงไม่หลงรักขนาดนี้
ทว่า สุดท้ายมังกรเทพอัลก็เป็นเพียงเปลือกมกร ดังนั้นนิสัยออริจินัลของมันจะไม่ครอบงำร่างหลักอย่างแน่นอน มีหลงเหลืออยู่เพียง “ความรู้สึกตกค้าง” เท่านั้น
อัล: …จะว่าไปแล้ว พอจะจดจำความรู้สึกตกค้างที่ว่านั่นได้ขนาดไหนกันล่ะ?
มังกรเทพอัล: รักฟาร์เซล เกลียดเรด ที่เหลือค่อนข้างคลุมเครือ
อัล: [นักดาบเทวา] รุ่นแรกเรอะ พูดถึงตำนานแบบชิวๆ เฉยเลย ขนลุกนะเฟ้ย
อัลเดบารันเคยได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ [นักดาบเทวา] รุ่นแรกมาจากนังแม่มดแล้ว เขาได้ข้อสรุปว่าภาพลักษณ์ของบุคคลนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
. อัล: ว่าแต่ว่า ในเมื่อตัวชั้น ยาเอะ กับตัวชั้นร่าง [มังกร] อยู่ที่นี่ แล้วคุณหนูเฟลท์กับเตี่ยล่ะ?
ยาเอะ: สองคนนั้นคอยอยู่ทางนั้นค่ะ ท่านไฮน์เคลกำลังรับผิดชอบหน้าที่จับตาดูท่านเฟลท์เอาไว้อยู่ไงล่ะคะ
อัล: การจับคู่สองคนนั้นมันเลวร้ายที่สุดเลยไม่ใช่เรอะ!
ยาเอะ: ――อา แย่ละซี่~ ยาเอะจังพลาดไปแล้วค่า
เพียงแค่ได้ฟังคำตอบก็ชัดเจนแล้วว่ายาเอะจงใจปล่อยให้สองคนนั้นอยู่กันตามลำพัง แต่อัลก็เคืองเธอไม่ลง เพราะนี่คงเป็นการเอาคืนต่อการใช้งานหนักหน่วง
อัลกำชับให้เจ้ามังกรรออยู่เฉยๆ กับยาเอะในขณะที่ตัวเขามุ่งหน้าไปหาไฮน์เคลกับเฟลท์ที่อีกฟากหนึ่งของต้นไม้ใหญ่
เฟลท์: ――นี่ลุง ขอบอกไว้เลยนะ ไม่จำเป็นต้องมาแก้ตัวให้ชั้นฟังหรอก
อัลเข้ามาเห็นฉากน่าอายที่ผู้ใหญ่กำลังถูกคำพูดของเด็กตัวเล็กๆ ที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ทำให้ไขว้เขวจนพูดจาอ้ำอึ้ง
อัลจึงจำใจต้องเข้ามาแทรกและสั่งให้ไฮน์เคลเลิกคุยกับเฟลท์ เพราะไม่ว่ายังไงเฟลท์ก็มองไฮน์เคลเป็นผู้ทรยศต่อราชอาณาจักรลูกุนิก้าอยู่ดี เขาไม่มีทางเถียงชนะเธอได้
ผลลัพธ์ของการเข้าร่วมกับอัลเดบารันจะทำให้เกียรติภูมิของตระกูลนักดาบเทวาที่แสนเลื่องชื่อต้องแปดเปื้อน
ไฮน์เคลตระหนักดีว่าตนกำลังทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย แต่ต่อให้วีรกรรมของเขาจะมิอาจลบล้างได้ไปอีกร้อยปี มันก็คุ้มค่าถ้าหาก…
เฟลท์: ต้องการ [โลหิตมังกร] เพื่อที่จะปลุกภรรยาของลุง …เพื่อที่จะปลุกแม่ของไรน์ฮาร์ดให้ตื่น ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาสิ่งนั้นมาให้ได้ใช่ไหมล่ะ?
ไฮน์เคล: ยัยเด็กเวร ไปรู้เรื่องนั้นจากไหน…
เฟลท์: คิดว่าตอนแรกสุดลูกชายของแกเอาชั้นไปกักขังไว้ที่ไหนกันล่ะ สถานการณ์ครอบครัวของเจ้าบ้านั่นน่ะรู้อยู่แล้วล่ะ ได้ยินมาจากพวกยายแครอลด้วยแหละนะ
ไฮน์เคล: ถ้างั้น! ก็ต้องเข้าใจสิ! ชั้นน่ะ จำเป็นต้องใช้ [โลหิตมังกร]! อีกอย่าง เจ้าอัลเดบารันมันก็ให้สัญญาไว้กับชั้นแล้ว! เพราะงั้นแหละ ชั้นถึงได้ทำตามแผนการของหมอนี่――
เฟลท์: บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องมาแก้ตัวให้ชั้นฟัง
การตอกกลับของเฟลท์ทำให้ไฮน์เคลอ้ำอึ้งไป เธอเองก็อยากช่วยให้มารดาของไรน์ฮาร์ดฟื้น แต่วิธีการที่เฟลท์จะเลือกใช้มันแตกต่างจากสิ่งที่ไฮน์เคลทำอยู่
. อัล: เตี่ย พอเถอะ
ขืนปล่อยให้ฟังคำพูดของเฟลท์มากไปกว่านี้ รับรองได้ว่าแผลในใจของไฮน์เคลคงเปิดกว้าง อัลจึงขอเปลี่ยนผลัดเฝ้าดูเฟลท์แล้วให้ไฮน์เคลถอยไปก่อน
กระทั่งว่าคอของเธอยังคงมีลวดเหล็กพันเอาไว้ ความใจกล้าบ้าบิ่นของเฟลท์ก็ยังคงเลเวล MAX ไม่แน่ว่าเธออาจจะไม่กลัวเพราะพวกอัลไม่ได้ฆ่าใคร…
อัล: ――จะไม่หลงกล ลูกไม้แบบเดิมอีกแล้วเฟ้ย
เฟลท์: …
อัลปฏิญาณเช่นนั้นต่อตนเองเนื่องจากเด็กสาวตรงหน้าเขาคืออสุรกายเปี่ยมล้นศักยภาพซึ่งถูกฝึกสอนมาโดยวาลก้า ครอมเวลเอง
เธออาจจะเป็นอสุรกายที่ออกจากดักแด้แล้วก็ได้ แต่ไม่ว่าเฟลท์จะกลายเป็นตัวอันตรายสักแค่ไหน อัลเดบารันก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้
อัล: ต่อให้นี่จะเป็นบทบาทสุดท้ายของชั้นก็ตาม การเติบโตมันก็ยังมีความหมายอยู่
มังกรเทพอัลที่เป็นกำลังรบหลักพึ่งพาได้ยากขึ้น นิสัยซุกซนเอาแต่ใจของยาเอะก็ชวนปวดหัว ส่วนไฮน์เคลก็สูญเสียขวัญกำลังใจได้ง่ายจนน่าเอือม
ไหนจะมีตัวถ่วงที่ไม่ให้ความร่วมมืออย่างเฟลท์ติดสอยห้อยตามไปด้วยอีก การผจญภัยของอัลเดบารันมันแตกต่างจากแผนแรกเริ่มที่เขาวางไว้เหลือเกิน
กระนั้น ศึกเดือดที่ผ่านมาก็ได้ช่วยระงับความโอหังและมอบบทเรียนสำคัญให้แก่เขา
อัล: จากนี้ไปจะยืดเวลาของอาณาเขตให้ถึงขีดจำกัดเลย
ที่ผ่านมาอัลคอยอัปเดตเมทริกซ์แบบระยะสั้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ตรงหน้าโดยทันที เพราะมันช่วยประหยัดเวลาไม่ต้องย้อนไปทำหลายอย่างใหม่
แต่การใช้วิธีนั้นยามที่ปะทะกับศัตรูจำนวนมากย่อมเพิ่มความเสี่ยงที่จะเจอทางตัน ต่อให้ไม่มีศัตรูแบบวาลก้าอยู่ ความดวงซวยก็อาจจะแว้งกัดเขาได้ตลอด
ในทางตรงข้าม การตั้งจุดเซฟแบบยาวๆ มาพร้อมกับภาระที่เพิ่มขึ้นต่อสมองและสภาพจิตใจ แต่ต่อให้ดวงจิตจะถูกทำลาย อัลก็มองว่ามันคุ้มค่ากว่าความล้มเหลว
. หลังจากที่เดินทางไปถึงน้ำพุร้อนยักษ์โมโกเลด ณ นครรัฐคารารากิและบรรลุภารกิจของเขาแล้ว อัลตั้งใจจะเก็บกวาดปัญหาที่เขาก่อ จากนั้นก็รอคอยจุดจบ
อัลเดบารันมิได้ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าความสำเร็จของภารกิจนี้แล้ว เขายอมสละได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายนั้นและจะยอมตายจากไปหลังบรรลุมัน
ในขณะที่อัลตั้งปณิธานขึ้นมาใหม่ เฟลท์ก็จดจ้องเขาอยู่เงียบๆ ดวงตาของเธอบังเอิญมีสีแดงเช่นเดียวกับพริสซิลล่า แต่มิได้มีความคล้ายด้านอื่นอยู่เลย
กระนั้นอัลก็ไม่ชอบใจการถูกจ้องด้วยตาคู่นั้นอยู่ดี เขาพยายามร้องขอเฟลท์ให้เลิกมอง แต่เธอก็ดื้อด้านจ้องต่อแถมยังขออาหารรองท้องแก้หิวอีก
อัลปฏิเสธคำขอของเฟลท์ไป เนื่องจากพวกเขายังไม่มีเวลาให้หยุดพัก
เป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางนี้คือน้ำพุร้อนยักษ์โมโกเลดก็จริง แต่ก่อนหน้านั้นอัลมีสถานที่ที่อยากแวะไปอีกแห่ง
อัล: ――ตอนนี้นี่แหละที่กำลังคนขาดพร่องที่สุด เราจึงต้องไปเอาสิ่งที่จำเป็นต่อแผนการมา
. การรักษาความปลอดภัยของสถานที่แห่งนั้นแน่นหนาเกินกว่าจะเรียกว่า “กำลังคนขาดพร่อง” ได้ คงเพราะมีมาตรการเตรียมไว้รับมือช่วงวิกฤตการณ์
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะสิ่งที่อยู่อีกฟากฝั่งมีความสำคัญ กระนั้น “การแวะระหว่างทาง” ที่นครหลวงลูกุนิก้าของอัลเดบารันก็เป็นไปอย่างราบรื่น
อัล: ถึงจะเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยไป มันก็หยุดชั้นไม่ได้หรอกนะ
สิ่งที่อัลจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือการถูกภาคีอัศวินรุมล้อมแบบตอนที่ปะทะกับกลุ่มของเฟลท์ เคราะห์ดีที่พวกเขาระแวงมังกรเทพกันมากกว่า
ข่าวคราวที่ว่า [นักดาบเทวา] ติดพันอยู่กับ [แม่มดแห่งริษยา] จนมังกรเทพที่แปรพักตร์หลบหนีออกมาจากเนินทรายได้คงทำให้เหล่าอัศวินแตกตื่นน่าดู
พวกเขาคงมองว่าเหตุการณ์นี้คือภัยคุกคามสูงสุดต่อราชอาณาจักรนับตั้งแต่การอาละวาดของแม่มดเมื่อ 400 ปีก่อน ก็เลยมัวแต่หันเหความสนใจไปยังมังกรเทพอัล
อัล: ――เจอแล้ว
ในเมื่อนครหลวงเหลืออัศวินประจำการอยู่ไม่มาก อัลเดบารันจึงเข้าถึงจุดหมายของเขาได้ภายในการรีเซ็ตเพียงแค่ 407 ครั้ง
. ที่เบื้องหน้าของเขาคือบานประตูที่มีกลไกหลายชั้นปิดผนึกมันเอาไว้อย่างแน่นหนา ตามปกติแล้วอัลไม่ควรจะสามารถเปิดประตูบานนี้ได้ ทว่า…
อัล: ――เขี้ยวของ [มังกรเทพ] เนี่ยน่าจะมีมูลค่าสักกี่เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์กันนะ
หากพ่อค้าทุกคนที่เขารู้จักได้เห็นของหายากชิ้นนี้ ดวงตาของพวกเขาน่าเปล่งประกายเป็นดอลลาร์มาร์ค($)ในขณะที่ประเมินค่ามันด้วยลูกคิดแหงเลย
หลังจากที่ใช้ [เขี้ยวมังกร] ทำลายกลไกผนึกทางเข้าที่มีลักษณะเป็นกำแพงล่องหน อัลก็ย่างก้าวเข้าไปภายในห้องขนาดเล็กที่แคบยิ่งกว่าห้องส้วมในคฤหาสน์บาริเอล
ห้องนั้นมีทางเข้าออกเดียว ไม่มีหน้าต่าง พื้นที่แคบจนน่าอึดอัด มันคือ “ห้องขังเดี่ยว” สำหรับคนบาปและอาชญากรผู้ชั่วร้ายแบบกู่ไม่กลับนั่นเอง
อัล: มาถึงป่านนี้ กรรมที่เราก่อไว้คงมากพอสำหรับโทษประหารเป็นร้อยรอบไปแล้วมั้ง…
อัลเดบารันยื่นมือออกไปหาก้อนผนึกสีดำเบื้องหน้า จากนั้นก็ใช้ภูมิความรู้ด้านเวทมนตร์ที่สั่งสมมาจากบทเรียนสุดโหดของนังแม่มดในการปลดมันออก
รอยร้าวแพร่ขยายไปทั่วพื้นผิวสีดำจนกระทั่งผนึกชั้นที่สองแตกออกและสลายหายไปแบบไร้เสียง ผลลัพธ์เผยให้เห็นเงาคนที่นอนแผ่ราบอยู่บนพื้นห้อง
อัล: จงเชื่อฟังและตามชั้นมาซะ ――ถ้ายอมทำตาม จะไม่ฆ่าทิ้งตั้งแต่ที่นี่
??: หึ――
บุคคลนั้นเผยรอยยิ้มออกมา ไม่สิ เขากำลังหัวเราะคิกคักอยู่ หัวเราะ หัวเราะ หัวเราะ หัวเราะ และใช้ลิ้นโลมเลียริมฝีปากที่มีฟันแหลมคมยื่นออกมา
รอย: ดีเลย ดีจัง คิดว่าดี น่าจะดี ก็ดีนี่นา ดีใช่มั้ย ดีไม่ใช่เหรอ ก็เพราะว่าดีน่ะซี่ เพราะว่าดีจนอกสั่นไหว! ดื่มแหลก! กินแหลก!
ภายในห้องขังเดี่ยวแห่งนั้น ตัวตนที่ถูกปลดปล่อยจากโลงศพสีดำก็คือบิชอปมหาบาป [ตะกละ] รอย อัลฟาร์ด ผู้ที่กำลังหิวโหยและปีติยินดีต่ออิสรภาพของตน
. ตัดฉากไปยังหอสังเกตการณ์เพลอาเดส การต่อสู้ระหว่างไรน์ฮาร์ด วาน แอสเทรอาและ [แม่มดแห่งริษยา] ได้เปลี่ยนสถานที่แห่งนั้นราวกับว่าเป็นจุดจบของโลก
มันเป็นทั้งสวรรค์และนรก เป็นทั้งกลางวันและกลางคืน เส้นคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตและความตายคลุมเครือ กระทั่งความเป็นตนเองและผู้อื่นก็เริ่มเลือนลาง
แฟรม: นายน้อย! นายน้อยยย! ――อึก นายน้อย!!
แฟรมกู่ร้องอย่างสิ้นหวังในขณะที่มองดูคลื่นยักษ์เงาดำพวยพุ่งไปหาวีรชนผมแดงที่คอยต่อสู้เพื่อยื้อเวลาและหยุดยั้งมันไว้ที่อีกฟากฝั่งของพายุทราย
การที่ [นักดาบเทวา] ผู้แข็งแกร่งที่สุดในประวัติกาลไม่ว่างตอบกลับให้แฟรมได้สบายใจแม้แต่น้อยบ่งชี้ถึงความอันตรายของสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
ไรน์ฮาร์ดที่แขนสองข้างแทบจะขาดกำ [ดาบมังกร] ที่ชักออกจากฝักมิได้ไว้ในมือและใช้มันฟันตอบโต้มือเงาสีดำที่ล้อมเข้ามาจากทุกทิศทาง
ภายใน 1 วินาทีไรน์ฮาร์ดต้องฟันทำลายมือเงากว่า 20 ข้างและต้องทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งหยาดเหงื่อและโลหิตพุ่งเป็นสาย
นี่แหละคือศึกตัดสินระหว่างสองตัวตนระดับตำนาน [นักดาบเทวา] และ [แม่มดแห่งริษยา]
. ในขณะเดียวกันเมลี่ก็กำลังรับบทบาทเป็นสารถีกุมบังเหียนของรถมกรเนื่องจากพวกพ้องคนอื่นไม่สะดวกสักคน เคราะห์ดีที่พาทรัชเป็นมกรปฐพีที่ฉลาด
การ์ฟีลและเอซโซ่ยังคงหมดสติอยู่ แฟรมก็ติดพันอยู่กับการเป็นห่วงนายน้อย ส่วนเพทร่าก็ยังคงไม่ฟื้นหลังจากที่เปิดอ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์]
เมลี่ไม่สามารถสื่อสารกับพาทรัชได้เหมือนกับพวกสัตว์มาร เธอจึงต้องหวังพึ่งให้ฝีเท้าของเจ้ามกรปฐพีช่วยพาพวกตนออกไปจากเนินทรายโดยเร็ว
ทว่า พื้นผิวที่ไม่มั่นคงทำให้พาทรัชก้าวขาพลาดจนรถมกรทั้งคันลอยขึ้นฟ้า นี่แหละคือสถานการณ์คับขันที่สุบารุมักเรียกว่า “พินช์(Pinch)”
หากพาทรัชล้มลงตอนนี้ [พรคุ้มครองเลี่ยงสายลม] จะถูกปลดออก ซึ่งย่อมเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายต่อสถานการณ์ปัจจุบันอย่างแน่นอน
“ตอนนี้..ฉันควร..ทำไงดี..ขอร้องล่ะ..ทุกคน..คุณพี่ชาย..ช่วยด้วย”
เมลี่: ช่วยทุกคนที…
??: ――เชื่อใจได้เลย เมลี่
ตอนที่เมลี่กำลังภาวนาด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ ใครบางคนก็ใช้ที่นั่งสารถีเป็นแท่นเหยียบแล้วกระโจนตัวไปเกาะคอพาทรัชกลางอากาศ ก่อนที่จะขยับมานั่งบนอาน
เมลี่: เพทร่าจางงง!
เพทร่า: พาทรัช! ใจเย็นแล้วฟังกันก่อนเถอะ!
พาทรัช: ――ก๊าซซซ
เพทร่า: ใช่แล้ว เด็กดี …ตอนนี้แหละ!!
เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนที่ติดริบบิ้นอันใหญ่โอบกอดพาทรัชและวิงวอนให้มันสงบสติลง เจ้ามกรปฐพีตอบรับด้วยการสะบัดหางเพื่อพลิกตัวกลางอากาศและลงจอดได้อย่างปลอดภัย
. เพทร่ายืนยันกับเมลี่ว่าเธอสบายดี ก่อนที่จะหันกลับไปจ้องศึกเดือดระหว่างไรน์ฮาร์ดกับ [แม่มดแห่งริษยา] ซึ่งยังทำให้เมลี่ขนลุกไม่หาย
เพทร่า: ไม่ต้องห่วงหรอก เชื่อใจได้เลย
เมลี่: …เพทร่าจัง?
เพทร่า: ตอนนี้อย่าพึ่งห่วงเลย ออกจากเนินทราบออกุเลียก่อนเถอะ ไปกัน!
พอได้เห็นเพทร่าควบพาทรัชได้อย่างเชี่ยวชาญ เมลี่ก็ทำได้เพียงแต่พยักหน้าตอบรับและสับสนต่อความพึ่งพาได้อันน่าลึกลับของเด็กสาว
ในขณะที่ปล่อยให้ไรน์ฮาร์ดรับมือกับภัยร้ายแห่งจุดจบ เพทร่าก็มองไปข้างหน้าและพึมพำคุยกับตัวเองว่า…
เพทร่า: ต้องมีอะไรที่พวกเราพอจะทำได้อยู่แน่ ――เนอะ สุบารุ
【สุบารุ: ――อา ลุยกันเถอะ พวกเรามาทุ่มเทให้สุดกำลังกันเลยนะ!!】
การได้ยินเสียงและการสัมผัสได้ถึงตัวตนของบุคคลสำคัญผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้างทำให้หัวใจเพทร่า เลย์เตลุกโชนขึ้น
เธอจะทุ่มเทสุดตัวเพื่อส่งต่อความปรารถนาสุดแสนสำคัญไปให้ถึงที่หมายที่ด้านนอกผืนทะเลทราย
. จบตอน