re zero webnovel arc9 chapter24 part2 แปลไทย

บทที่ 9 ตอนที่ 24 "ศัตรูทางธรรมชาติของมนุษยชาติ" พาร์ท 2

ตัดฉากไปยังห้องขังเดี่ยว ห้องมืดแคบๆ ชวนอึดอัดที่มีขนาดประมาณห้องน้ำร้านกาแฟ สถานที่ที่อาชญากรชั่วร้ายจะถูกจองจำไว้โดย [โลงศพสีดำ]

มันคือวิธีการขังแยกอาชญากรไว้ในมิติแยก ซึ่งทำให้พวกมันไม่จำเป็นต้องหายใจหรือหัวใจเต้นก็อยู่ได้ แถมยังประหยัดพื้นที่อีกด้วย

อัล: ――โทษทีนะ พอดีชั้นเองก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ ก็เลยยั้งมือไม่ค่อยได้น่ะ

อัลเดบารันกล่าวด้วยลมหายใจหอบขณะที่เอนหลังพิงกำแพงและที่เบื้องหน้าของเขาก็มีร่างของศัตรูที่ถูกอัดจนน่วมนอนหงายอยู่

――บิชอปมหาบาปแห่งลัทธิแม่มด ตัวแทนแห่ง [ตะกละ] รอย อัลฟาร์ดนั่นเอง

รอยหาเรื่องอัลเดบารันทันทีที่ถูกปล่อยตัวออกมา แทนที่จะรอสบโอกาสเหมาะเจาะก่อน การต่อสู้สุดดุเดือดจึงปะทุขึ้นภายในห้องแคบ

รอยไม่ชอบการรอคอยเพราะตัวเขาหิวกระหายอยู่เสมอ แต่อัลเองก็ไม่อยากสั่งสอนเจ้าเด็กเปรต เพราะนี่มิใช่ยุคโชวะที่มีวัฒนธรรมให้เพื่อนบ้านช่วยสั่งสอนลูกหลานด้วย

. หลังวนลูปไปทั้งหมด 6,022 รอบ อัลเดบารันก็ปราบพยศเจ้ารอยได้สำเร็จ ทั้งพื้นและกำแพงของห้องขังพังยับเยินจนแทบไม่เหลือที่ยืน

รอยเองก็นอนนิ่งขยับไม่ได้เนื่องจากอัลเดบารันหักแขนขาของเขาไปทุกข้าง กระนั้นเจ้าเด็กเปรตก็ยังพูดจาสบายใจและเลียริมฝีปากอย่างน่าขนลุกได้เหมือนเคย

อำนาจบาป [ตะกละ] ทำให้รอย อัลฟาร์ดมีทักษะและความสามารถของนักรบนับไม่ถ้วนอยู่ในร่าง เขาจึงสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้หลากหลายมากๆ

การที่รอยสามารถละทิ้งทักษะที่ใช้ไม่ได้ผลได้แล้วสลับเป็นทักษะใหม่ได้ในพริบตานั้นสร้างความยากลำบากให้แก่อัลคล้ายคลึงกับตอนที่ปะทะกับไรน์ฮาร์ดเลยทีเดียว

อาจกล่าวได้ว่าประสบการณ์วนลูป 130,000 ครั้งตอนที่สู้กับไรน์ฮาร์ดช่วยทำให้อัลปรับตัวเพื่อปราบเจ้ารอยได้ไวขึ้น ศึกนี้จึงรู้ผลภายในเลขแค่สี่หลัก

ที่จริงแล้วรอยยังไม่ได้รับการรักษาให้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์หลังจากที่พ่ายแพ้ยุลิอุสเลยด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของเขาจึงดูถูกมิได้เลย

. กระทั่งว่าร่างกายขยับไม่ได้ รอยกลับยังคงจดจ้องอัลด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นด้วยความสนใจ ความสงสัย ความป่าเถื่อน และความอยากอาหารแบบฟูลคอร์ส

อัลรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขามองว่าบิชอปมหาบาปก็ไม่ต่างอะไรจาก [แม่มด] ทั้งสองเป็นพวกผิดเพี้ยน นอกคอก และน่าชิงชังที่ถูกเลือกโดยปัจจัยแม่มด

อัล: ไม่ไหวๆ …อยากให้ช่วยอธิบายสถานการณ์ให้ฟังด้วยไหม?

รอย: เห พูดจริงเหรอ? อะไรกันๆ พึ่งจะมารู้สึกสงสารเด็กหลังหักแขนหักขาไปงั้นเรอะ? แต่ก็แหงแหละนะ ไม่มีผู้ใหญ่ดีๆ ที่ไหนเขาจับเด็กไร้เดียงสามาหักแขนขากร๊อบแกร๊บได้หน้าตาเฉยแบบนี้หรอก

อัล: พล่ามเยอะเชียวนะ …ที่นี่คือนครหลวงลูกุนิก้า ไกลจากหอสังเกตการณ์เพลอาเดสที่แกถูกจับตัวเยอะ ส่วนอีกครึ่งชีวิตของแก(ไร)น่ะ――

รอย: ――อา ตายไปแล้วสินะ?

อัล: …

รอย: เรื่องพรรค์นั้นน่ะ พวกเราพอจะรู้อยู่แล้ว สายสัมพันธ์ครอบครัวน่ะ มันแกร่งกล้าเหนือกว่าที่คุณลุงคิดเยอะนะ …ขอโทษๆ โกหกน่ะ แต่ที่คิดแบบนั้นก็เพราะว่าสัมผัสถึงปัจจัยแม่มดของไรไม่ได้แล้วนั่นแหละ

รอยเสริมว่ากระทั่งในขณะที่ถูกจองจำโดย [โลงศพสีดำ] เขาก็ยังคงสัมผัสถึงโลกภายนอกได้ระดับหนึ่ง รอยแอบขำที่ทุกคนพากันกลัวเขาทั้งที่ถูกผนึกเสียแน่นหนา

อัลแอบแปลกใจเรื่องนั้น เนื่องจาก [โลงศพสีดำ] ควรจะเป็นสิ่งที่ใช้หลักการผนึกแบบเดียวกับเวทโอล ชามัค

. รอยจำได้ว่าอัลเป็นหนึ่งผู้เกี่ยวข้องกับการคัดสรรกษัตริย์ เขาจึงหยอกล้อว่าอัลทำแบบนี้เพราะองค์หญิงสุดที่รัก(พริสซิลล่า)ตายจากไปแล้วสินะ

อัลกระทืบซ้ำใส่หัวไหล่ที่หักอยู่แล้วของเจ้าเด็กเปรตโดยทันที แถมเขายังใช้ส้นเท้าบดขยี้กระดูกซ้ำให้อีกฝ่ายเลิกปากกล้า

แต่สุดท้ายรอยก็จำเป็นสำหรับแผนการของอัลอยู่ดี มิเช่นนั้นอัลคงจับเจ้าเด็กเวรยัดโลงศพแล้วเขวี้ยงลงจากมหาน้ำตกไปแล้ว

รอย: …จำเป็นต้องใช้พวกเราถึงขนาดนั้นเชียว ลำบากน่าดูเลยนะ คุณลุง

อัล: ดันเป็นพวกปากมากอีก อยากไปขอให้พ่อแม่ช่วยสอนวิธีทำให้ยอมเงียบปากลงบ้างเสียจริง

รอย: แม่โดยสายเลือดเหรอ? หรือแม่บุญธรรม? ถ้าเป็นอย่างแรกน่ะ ตายไปพร้อมกับน้องสาวตั้งแต่ตอนที่คลอดพวกเราแล้ว ส่วนถ้าเป็นอย่างหลังรับรองว่าไม่ถูกชะตากับคุณลุงแหงแซะ

. การสนทนากับบิชอปมหาบาปมักจะไม่ได้อะไร แถมต่อให้ทรมานไป เจ้าเด็กเปรตผู้คุ้นชินกับความเจ็บปวดก็ไม่เชื่อฟังอยู่ดี อัลจึงเปลี่ยนมาใช้ “สัญญา” แทน

ว่าแล้วอัลเดบารันจึงสอดนิ้วเข้าไปในหมวกเกราะ ใช้ฟันกัดนิ้วให้เลือดไหล จากนั้นก็ใช้เลือดสลักบางอย่างลงบนร่างกายของอาชญากรชั่ว

อัล: อย่าขัดขืนโดยไม่ใช่เรื่องนะเฟ้ย ถึงจะฝึกซ้อมมาจนเขียนได้กระทั่งตอนหลับตาก็เถอะ …แต่นี่คือครั้งแรกที่พึ่งเคยได้ลองใช้งานจริงเลยล่ะนะ

รอย: ใช้เลือดเขียนบนร่างของเด็กเลยนี่มันไร้รสนิยมแท้ กระทั่งบิชอปมหาบาปอย่างพวกเรายังหน้าซีดเลย อยากให้พวกเราทำอะไรกันแน่ ถึงได้ทำเรื่องบิดเบี้ยวพรรค์นี้? ทำลายประเทศงั้นเรอะ?

อัล: ไม่ได้อยากทำแบบนั้นเลยเฟ้ย อีกอย่างทางนี้มีพลังเหลือเฟือมากพอที่จะทำได้เองอยู่แล้ว ชั้นยอมตรากตรำมาปลดปล่อยเด็กเปรตน่ารำคาญด้วยตัวเอง เพราะมีเรื่องที่แกทำได้แค่คนเดียวอยู่ไงล่ะ

รอย: เรื่องที่มีแค่พวกเราที่ทำได้ ง้านเหรอ?

อัล: ――มีคนที่อยากให้แกใช้อำนาจกินเข้าไปอยู่น่ะ ไม่ยอมให้ปฏิเสธหรอกนะ

สิ่งที่อัลเดบารันสลักลงบนร่างของรอย อัลฟาร์ดคือ “อักขระคำสาปสัตย์สาบาน” ที่จะผูกมัดไปถึงดวงจิตของอีกฝ่าย

ทีแรกรอยเข้าใจว่าอัลเคยเรียนวิชามาจากจอมอาคมสติเฟื่องสักคน แต่ที่จริงอัลเรียนรู้อักขระคำสาปมาจากจอมเวทนิสัยเสียผู้เก่งกาจที่สุดในโลก(เอคิดน่า)

รอย: แล้วเงื่อนไขของสัตย์สาบานล่ะ?

อัล: ถ้าเกิดกินใครเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากชั้นล่ะก็ จะถูกเผาจนตายไปถึงกระทั่งดวงจิต

. อัลเดบารันแบกร่างของรอยขึ้นมาพาดไหล่และเตรียมกลับไปสมทบกับยาเอะและเฟลท์ ถึงขามาเขาจะซัดทหารยามให้สลบไปแล้ว แต่ก็ยังประมาทไม่ได้

อัลไม่อยากจะอยู่ที่คฤหาสน์รองของตระกูลบาริเอลนานด้วย เพราะมันทำให้เขาหวนนึกถึงพริสซิลล่า การรีบกลับไปรวมตัวกับพวกมังกรเทพอัลจึงน่าจะดีที่สุด

ตอนนั้นเอง รอยที่จดจ้องไปยังพื้นห้องก็เอ่ยทักขึ้นมาว่าช่วงที่ถูกขังไว้ใน [โลงศพสีดำ] ไม่มีกระทั่งหนูหรือแมลงเล็ดลอดเข้ามาที่นี่สักตัว แต่แล้ว…

อัล: ――เหอ?

รอย: แมลงซอดด้าโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ น่าแปลกซะเหลือเกินเนอะ

พอมองตามสายตาของรอย อัลก็พบแมลงซอดด้าแสนน่ารังเกียจคลานอยู่บนพื้น มันคือแมลงสาบของโลกนี้ที่ทุกคนต่างพากันแหยง

อัล: ――อึก ชิบหายแล้ว!

ทว่า อัลเดบารันเข้าใจทันทีว่าภารกิจลับของตนความแตกแล้ว เขาจึงออกอาการตื่นตระหนักและรีบแบกรอยวิ่งหนีออกจากหอคอยเรือนจำโดยทันที

??: ――พอแค่นั้นแหละ

ทันทีที่ก้าวขาออกมายังสวนด้านหน้า เสียงกระดิ่งเงินก็ดังกังวาลมาถึงแก้วหูพร้อมกับบรรยากาศอันเยือกเย็นที่ทำให้หมวกเกราะของเขาลั่นเปรี๊ยะ

เด็กสาวผมเงินที่ดักรอเขาอยู่ย่างก้าวบนพื้นที่มีหิมะปกคลุมบางๆ ดวงตาสีม่วงครามที่ยามปกติอ่อนโยนกำลังเปี่ยมล้นไปด้วยเพลิงแค้นแห่งความเดือดดาล

เอมิเลีย: ――คืนสุบารุกับเบียทริซมา

คำสั่งอันเงียบงันหนักแน่นไปด้วยบรรยากาศของผู้มีสถานะเป็นกษัตริย์ จนแทบจะเห็นภาพมายาของหญิงชนชั้นสูงผู้งดงามยืนอยู่ตรงหน้า

บุคคลที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของอัลเดบารันก็คือ [แม่มดเยือกแข็ง] เอมิเลีย

เอมิเลีย: ตอนนี้ฉัน โมโหสุดๆ เลยล่ะ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นอัลก็ไม่คิดจะยั้งมือหรอกนะ

. จบตอน