[หินก้อนใหญ่] ขนาดเท่าภูเขาที่แตกกระจายออกเป็นสะเก็ดจำนวนมหาศาลได้ร่วงลงสู่ถนนของนครหลวงซึ่งมีประชากรอยู่ประมาณพันถึงหมื่นชีวิต
ถ้าหากหายนะนั้นเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นการสังหารหมู่ที่ทำให้คิลเรทของอัลสูสีกับ [อัสนีสีฟ้า] เซซิลุส เซ็กมุนต์ และบิชอปมหาบาป [โลภะ] กับ [เกียจคร้าน]
อัล: ถ้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ยุคปัจจุบัน สมัยก่อนก็ยังมีอยู่อีกหลายคนแหละนะ
หลังจากที่งัดแพลน B มาใช้ อัลเดบารันควรจะรีบหนีไปจากนครหลวง แต่เขากลับเลือกที่จะอยู่ดูผลลัพธ์ก่อนเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ
หอคอยน้ำแข็งหลายต้นงอกเงยขึ้นมาสกัดเศษหินเอาไว้ สีของพวกมันซีดเซียวราวกับสะท้อนให้เห็นถึงความเศร้าของผู้ร่ายมนตร์
อัลเดบารันเหน็บแนมรอยว่าเขามีความสําบัดสํานวนกว่าที่คิด ดูเหมาะกับฉายา [กินอาหารโอชะ] มากกว่า [กินไม่เลือก] เสียอีก
รอยแก้ต่างว่ามีแค่เจ้าไรที่ประเมินค่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กิน แถมสุดท้ายแล้วของที่ทั้งไรและรอยกินจะถูกส่งไปรวมกันที่ [กระเพาะแห่งดวงจิต] อยู่ดี
อัลย้ำเตือนตัวเองว่าถึงรอยจะพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เจ้าเด็กเปรตก็สั่งสมความรู้และประสบการณ์มามากมายจนโน้มน้าวด้วยคำพูดได้ยาก
หลังยืนยันผลลัพธ์ว่านครหลวงส่วนที่เอมิเลียป้องกันรอดพ้นจากหายนะมาได้ มีเพียงเขตขุนนางที่ราบเป็นหน้ากลอง อัลเดบารันก็เริ่มเร่งความเร็วฝีเท้าอีกครั้ง
. หลังจบศึกปะทะวาลก้า ครอมเวล อัลเดบารันก็ยังคงเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนว่าอำนาจของเขานั้นไร้เทียมทาน
ตัวเขาที่เป็นผู้ใช้เพียงแค่ต้องยกระดับความไม่ประมาทและอย่าหวังพึ่งอำนาจมากเกินไปจนเคยตัว ต้องอย่าเผลอหยุดใช้ความคิดโดยเด็ดขาด
เพราะงั้น ในปฏิบัติการแหกคุก [ตะกละ] อัลเดบารันจึงใช้ทุกลูปอย่างคุ้มค่าเหมือนการบีบยาสีฟันจนหมดหลอดและจบผลลัพธ์ที่ 6,724 ลูป
ส่วนตัวอัลมองว่าจำนวนครั้งที่ลูป [เหมาะสม] และ [ดีที่สุด] แล้วหากคำนึงถึงสถานการณ์ กระทั่งลูปที่เขาเสียไปเพื่อพักทำใจก็ยังคุ้มค่าหากได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
เฟลท์: ――โย่ ไอ้เวรหมวกเกราะเฮงซวย
พออัลเดบารันเดินทางมาถึงจุดนัดพบ ณ เหมืองหินร้างที่อยู่ห่างออกไปจากนครหลวง เฟลท์ที่ยืนพิงกำแพงอยู่ก็กล่าวทักทายเขาอย่างเกรี้ยวกราด
ดูเหมือนว่าอัลจะถูกลดระดับจาก [ไอ้เวรหมวกเกราะ] ไปเป็น [ไอ้เวรหมวกเกราะเฮงซวย] เนื่องจากวีรกรรมที่เขาพึ่งก่อเอาไว้
เฟลท์: ถ้าพี่เอมิเลียไม่ช่วยหยุดหินก้อนใหญ่นั่นเอาไว้ คิดว่าจะมีกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยกัน นโยบายไม่ปล่อยให้ใครตายของแกมันหายไปไหนแล้ว? พออะไรไม่เป็นดังใจหน่อยก็โลเลเลยรึไง โคตรเห่ยว่ะ
อัล: …นั่นสินะ ชั้นเองก็โล่งอกที่คุณหนูเฟลท์ปลอดภัยเหมือนกัน
เฟลท์: หา?
อัล: โจ๊กน่ะ แซวเล่นเฉยๆ ก็แค่แก๊กไม่ฮาพาเครียด
. รอยที่เกาะไหล่อัลเดบารันอยู่กล่าวทักทายเฟลท์ เขาได้ยินเรื่องที่ไรเคยกินชื่อเฟลท์แล้วเกิดอาการอาหารเป็นพิษมาจากรุยแล้ว
ที่จริงเฟลท์ไม่เคยเจอรอย อัลฟาร์ดมาก่อน แต่หน้าตาของอีกฝ่ายเหมือนกับเจ้าไร บาเทนไคทอสที่เป็นพี่ชายหรือไม่ก็น้องชายไม่มีผิด
รอย: ฮ่าฮ่า ที่จริงแล้วระหว่างพวกผมเอง พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนไหนเป็นลูกชายคนโตนั่นแหละเนอะ สำหรับพวกผม บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นลูกชายคนโต บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นลูกชายคนรอง อะไรทำนองนั้นแหละ
ยิ่งรอยอ้าปากพูด เฟลท์ก็ยิ่งรำคาญ แต่ก่อนที่เธอจะมีโอกาสได้จับเข่าคุยกับเจ้าบิชอปมหาบาป อัลอยากขอตรวจสอบความปลอดภัยของสมาชิกกลุ่มก่อน
ยาเอะ: ――ท่านอัล
ตอนนั้นเองที่ยาเอะเดินออกมาจากกระท่อมสภาพทรุดโทรมซอมซ่อด้านหลังเหมืองหิน กลิ่นหอมอุ่นๆ ที่ลอยตามมา บ่งบอกว่าเธอกำลังเตรียมอาหารอยู่
อัล: ท่าทางแบบนั้น คงจะโดนเล่นงานมายับเยินเลยสินะ?
ยาเอะยังอุตส่าห์ใส่ใจเรื่องปากท้องคนอื่นในขณะที่ชุดเมดสไตล์วะโซฉีกขาดหลายจุดและผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมเธอยังไม่ดูดี๊ด๊าเหมือนทุกที
ยาเอะ: …โล่งอกไปที
อารมณ์ที่ท่วมท้นอยู่ในน้ำเสียงของเธอสะเทือนจิตใจของอัล เขาจึงยักไหล่และพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยการชวนเปลี่ยนประเด็นคุย
อัล: เฮ้ยๆ ไม่สมกับที่เป็นเมดอเนกประสงค์คุณยาเอะเลย มัวไปกระหนุงกระหนิงอยู่กับเซอไพรส์เกสต์คนไหน ถึงโผล่มาช่วยชั้นไม่ได้ล่ะเนี่ย?
ยาเอะ: ――กระหนุงกระหนิงอะไรกัน พูดซะเสียหายเลยนะคะ ท่านอัล ก็รู้กันอยู่ว่าหัวใจของยาเอะจังน่ะตกอยู่ในกุมมือของท่านอัลแท้ๆ
. หลังยาเอะกลับมาเป็นคนเดิม เธอก็เล่าให้อัลฟังว่าแขกที่โผล่มาขัดขวางฝั่งเธอคือ [อสูรดาบ] วิลเฮล์ม วาน แอสเทรอา ――ไม่สิ วิลเฮล์ม ทริอัส
วิลเฮล์มเป็นศัตรูที่แกร่งอันดับต้นๆ ของราชอาณาจักรก็จริง แต่อัลประเมินว่านักดาบอย่างเขาไม่น่าจะตึงมือยาเอะเท่าการสู้กับจอมเวท
แถมคฤหาสน์บาริเอลยังเป็นทุ่งสังหารของ [ซากุระสีชาด] อีกต่างหาก แต่แล้ว [อัลเดบารัน] กลับต้องรีบโฉบไปช่วย แสดงว่ายาเอะเป็นฝ่ายที่แพ้ขาดยับเยิน
ที่อีกมุมหนึ่งของกระท่อม อัลพบไฮน์เคลนั่งคุดคู้ก้มหน้าก้มตาอยู่บนแท่นผ่าฟืน แถมทั่วร่างของเขายังเปรอะเปื้อนเลือดของใครไม่รู้เต็มไปหมด
อัล: เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น?
ยาเอะ: ตอนนั้นสติฉันยังเลือนลางอยู่ ก็เลยเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ว่า…
อัล: แต่ว่า?
ยาเอะ: ดูเหมือนว่าท่านไฮน์เคลจะโค่น [อสูรดาบ] ลงได้
อัลเดบารันไม่ได้รู้ลึกเรื่องปัญหาของตระกูลแอสเทรอา เขาเข้าใจเพียงแค่ว่า [พรคุ้มครองนักดาบเทวา] กับตำแหน่ง [นักดาบเทวา] คือสิ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งข้ามรุ่น
ในฐานะนักดาบ ไฮน์เคลช่างโชคร้ายเหลือเกินที่เกิดมาคั่นกลางระหว่างปู่กับหลาน แต่คนที่ลากไฮน์เคลมาเกี่ยวข้องอย่างอัลย่อมไม่มีสิทธิ์ถามไถ่ความทุกข์ร้อน
. อัล: จะว่าไป แล้วท่านปู่คนนั้นล่ะ? ได้ยินมาว่าถูกโค่น แถมเลือดที่โชกร่างของเตี่ยอยู่นั่นก็…
มังกรเทพอัล: ――อย่างน้อยก็รักษาขั้นต้นไปแล้วล่ะนะ แต่เพราะอยู่นานไม่ได้ ก็เลยทำทันแค่ขั้นต้นเท่านั้นแหละ
อัล: อุเหวอ!?
เสียงของ [อัลเดบารัน] ที่ดังขึ้นมาโดยกะทันหันทำให้เขาสะดุ้งตกใจ อัลเดบารันมองไม่เห็นตัวผู้พูดเลยทั้งที่เปลือกมกรควรจะมีขนาดใหญ่เตะตา
มังกรเทพอัล: โทษทีๆ ขอปิดใช้งานการพรางตัวด้วยแสงแป๊บนึง
ทันใดนั้นเองร่างของ [มังกรเทพ] ที่เหนื่อยหอบก็ปรากฏกายออกมาบริเวณพื้นที่ว่างเปล่าจุดเดียวกับกำแพงหินที่เฟลท์ยืนพิงอยู่
อัล: การพรางตัวด้วยแสงหมายถึงการล่องหนโดยอาศัยการหักเหของแสงสินะ ทำแบบนั้นได้ด้วยงั้นเรอะ
มังกรเทพอัล: แน่นอนแหละว่าการปรับแก้แบบเรียลไทม์ขณะที่เคลื่อนไหวอยู่มันเป็นไปไม่ได้ล่ะเนอะ? แต่ว่า ถ้าจำกัดไว้แค่ตอนที่อยู่นิ่งล่ะก็ ดิเมริต(จุดด้อย)เรื่องขนาดร่างกายมันจะหายไปเยอะเลยจริงไหม?
อัล: นั่นสินะ [มังกร] ที่ล่องหนได้นี่มันเจ๋งสุดๆ ไปเลย
การผสานเวทวายุกับเวทตะวันเข้าด้วยกันก่อให้เกิดเป็นเวทมนตร์ที่สามารถปรับแต่งการสะท้อนของแสงได้ แต่การคงสถานะไว้ต่อเนื่องค่อนข้างเปลืองพลังงาน
แถมต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นอย่างสูงในการใช้งานจนการบินอยู่เหนือเมฆยังง่ายกว่า แสดงว่า [อัลเดบารัน] คงเจอศึกหนักมาพอสมควรถึงได้เก่งขึ้น
มังกรเทพอัล: หนักพอๆ กับทางนั้นนั่นแหละ ว่ากันตามตรง เกิดความคิดอ่อนแอขึ้นมาในหัวเลยว่าขืนไม่ได้แบ็กสแต็บของเตี่ยช่วยไว้ล่ะก็ อาจจะแพ้ก็ได้
อัล: แบ็กสแต็บงั้นเหรอ…
ถึงแม้ซอฟแวร์จะเป็นอัลเหมือนกัน แต่ฮาร์ดแวร์ของ [มังกรเทพ] มีสเปคที่ต่างกับร่างต้นสุดขั้ว ดังนั้น การที่ [อัลเดบารัน] จินตนาการถึงความพ่ายแพ้ย่อมแปลว่าอีกฝ่ายคือสัตว์ประหลาดของแท้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฮน์เคลต้องใช้การลอบแทงข้างหลังเพื่อเอาชนะศัตรูระดับนั้น แต่ผลลัพธ์คือเขาจิตใจแตกสลายจนไม่ยอมคุยกับใครเลยตั้งแต่ที่หนีออกมา
. ความพ่ายแพ้ทำให้ยาเอะท้อแท้ ส่วน[อัลเดบารัน] ก็หวั่นเกรงต่อ [อสูรดาบ] โดยที่ไฮน์เคลยังคงช็อกไม่เลิกหลังแทงพ่อตัวเองไป
เฟลท์ไม่คิดจะเก็บซ่อนความไม่เป็นมิตรต่อสมาชิกคนอื่น ในขณะที่เจ้ารอยระริกระรี้อยู่บนไหล่ของอัลเดบารัน
พวกเขาคือกลุ่มวิลเลินที่กำลังมุ่งหน้าสู่เส้นทางแห่งผู้โฉดเขลาทั้งที่เมมเบอร์แต่ละคนตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอม
อัล: ――แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ยังมีชีวิตอยู่
หลังยืนยันความปลอดภัยของทุกคน อัลเดบารันก็ทำการปลด [อาณาเขต] ออกและเปิดใช้งานเมทริกซ์ครั้งใหม่ เท่านี้จุดรีสตาร์ทก็ได้รับการอัปเดต
นั่นส่งผลให้เหตุการณ์ในนครหลวงกลายเป็นประวัติศาสตร์หลัก เขาจึงมิอาจย้อนไปแก้ไขน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตาสีม่วงครามคู่นั้นได้อีกต่อไป
อัลเดบารันกล่อมตัวเองว่าเขาตั้งใจจะทรยศทุกคนอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงไม่ควรใจโลเลไม่อยากทรยศเพียงบุคคลเดียว ห้ามประนีประนอม ห้ามใจสั่นคลอน
เพื่อที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกตนทำมากับความเจ็บปวดทางกายและทางใจจะได้ไม่สูญเปล่า พวกอัลเดบารันมิอาจล้มเลิกหรือล้มเหลวได้เป็นอันขาด
. สถานการณ์วุ่นวายทำให้ยาเอะหยิบอาหารจากคฤหาสน์บาริเอลมาไม่ทัน เธอจึงขโมยวัตถุดิบจากร้านข้างทางมาแทน พร้อมจดรายการกับชื่อร้านไว้ให้อัลไปชดใช้ทีหลัง
ยาเอะใช้ลวดเหล็กผูกรอยไว้กับกำแพงเหมืองหินและกระตุกลวดให้ร่างของเจ้าเด็กเปรตลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
อัล: ห้อยอยู่แบบนั้นไปก่อนนะ ไว้คิดวิธีสั่งสอนแกได้แล้วจะรักษาแขนขาให้ แต่ว่า
รอย: อย่าลืมอักขระคำสาปใช่ไหมล่าววว? ก็ดีเลยนี่? พวกเราคงไม่คิดจะก่อเรื่องอะไร แต่จะขอประเมินค่าอยู่เงียบๆ ไปก่อนก็แล้วกัน
อัล: ประเมินค่างั้นเรอะ
รอย: เพราะไรตายไปแล้วหรือเปล่าน้า? ไม่คิดจะสืบทอดตำแหน่ง [กินอาหารโอชะ] เลยสักนิดอยู่หรอก แต่จะลองให้ความสนใจในอาหารก่อนที่มันจะมาลงจานดูสักหน่อยละกันเนอะ!
อัลเดบารันเพิกเฉยต่อรอยที่ส่ายตัวไปมาอย่างน่าลุกและหันไปสบตากับ [อัลเดบารัน] เพื่อสื่อสารกับอีกตัวตนหนึ่งของเขาให้จับตาดูรอยเอาไว้
อัล: จะว่าไป แพลน B ช่วยไว้ได้มากเลยล่ะ ที่หนีมาได้ก็เพราะมันนี่แหละ
มังกรเทพอัล: อา ออริจินเลือกใช้เป็นคำนั้นหรอกเรอะ ฝั่งชั้นคิดเป็นคำว่า [เซคันด์แพลน] น่ะ เอาเหอะ ดีแล้วที่แนวคิดลงเอยเป็นแบบเดียวกัน
อัล: ออริจิน?
มังกรเทพอัล: จะให้เรียกว่า “ตัวชั้นอีกคน” มันก็ชวนสับสนจริงไหม? เพราะงั้นก็เลยคิดว่า “ออริจิน” ที่หมายถึงต้นตำรับคงเหมาะดี ส่วนตัวชั้นก็เป็น “ทายาทสายตรง” อะไรทำนองนั้นดีไหม?
อัล: ต้นตำรับกับทายาทสายตรงงั้นเรอะ อย่างกับเป็นสายตระกูลร้านราเม็งเลยนะ
. อัลเดบารันขอเก็บข้อเสนอแนะของ [อัลเดบารัน] ไปคิดดูก่อนและหันไปคุยกับเฟลท์ที่ยังคงมีออกอาการขุ่นเคืองไม่เลิก
อัลจึงยอมรับว่าเขาตั้งใจโยนภาระการช่วยเหลือชาวเมืองให้เอมิเลียจริงๆ ซึ่งนั่นทำให้เฟลท์ประกาศกร้าวว่าอัลไม่รอดตัวแค่โดนเธอเตะก้นแน่
เฟลท์จะไม่ได้อารมณ์เสียแค่เรื่องอัลเท่านั้น การต่อสู้ระหว่างวิลเฮล์มกับไฮน์เคลทำให้เธออารมณ์ไม่ดีด้วยเช่นกัน อัลจึงปลอบใจว่าอย่าโทษตัวเองเลย
แต่ที่จริงแล้วเฟลท์โทษทุกอย่างเป็นความผิดของพวกอัลเดบารัน ไฮน์เคล รวมถึงตัววิลเฮล์มเองด้วย พอจินตนาการถึงความรู้สึกของไรน์ฮาร์ดหลังได้รู้เรื่องนี้ เธอก็ยิ่งโมโหหนักขึ้น
เฟลท์: ตั้งแต่ตอนที่ชั้นยอมรับหมอนั่นเป็นอัศวิน ก็จะมัวแต่คิดว่าเรื่องที่เกี่ยวกับหมอนั่นมันไม่เกี่ยวข้องกับตัวชั้นไม่ได้แล้วย่ะ จำใส่กะโหลกไว้ซะ ไอ้เวรหมวกเกราะเฮงซวย
อัล: …ว่าไงนะ?
เฟลท์: ต่อให้แกจะมองว่าเรื่องที่ทำไปเป็นความรับผิดชอบของตัวแกคนเดียว ยังไงเจ้าหญิงคนนั้นก็จะถูกเอาไปเชื่อมโยงด้วยอยู่ดีแหละว้อย สิ่งที่แกทำอยู่มันคือการเตะศพซ้ำนั่นแหละ
นั่นคือการตอกหน้าครั้งที่หนักหน่วงที่สุดของเฟลท์อย่างไม่ต้องสงสัย วีรกรรมเลวร้ายของอัลจะกลายเป็นวีรกรรมของพริสซิลล่าไปด้วย
การตระหนักถึงเรื่องนั้นอีกคราทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัส ทว่า――
อัล: ท่านหญิงไม่อยู่แล้ว ไม่เหลือกระทั่งศพด้วยซ้ำ
เฟลท์: ――กรอด …ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นว้อย!
อัล: หมายถึงแบบนั้นนั่นแหละ สำหรับชั้นแล้ว นั่นแหละคือชีวิตล่ะ
ชื่อเสียงหลังความตายกระทบแค่คนเป็น คนตายกลายเป็นผู้เสียหายมิได้ สำหรับอัลเดบารันแล้ว ทุกสิ่งล้วนแต่มีความหมายยามที่ยังคงมีชีวิตอยู่เท่านั้น
เฟลท์: ――ไอ้เวรหมวกเกราะเฮงซวย แกน่ะเป็นใครกันแน่เนี่ย?
อัล: …ชั้นคือดวงดาวผู้ติดตามยังไงล่ะ
เฟลท์: …ผู้ติตตาม?
อัล: คนที่ล้มเหลวในการเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืนไงล่ะ
. อัลเดบารันตัดจบการสนทนากับเฟลท์แล้วเดินไปดูอาการไฮน์เคลต่อ เขารู้ดีว่าไฮน์เคลมิได้ต้องการคำปลอบใจหรือคำขอโทษ
เพราะงั้นอัลจึงให้คำมั่นสัญญาว่าหลังจบเรื่องทั้งหมด ไฮน์เคลจะได้รับ [โลหิตมังกร] อย่างแน่นอน แต่พอได้ยินดังนั้น ไฮน์เคลก็กระชากชายเสื้อให้อัลคุกเข่าลง
ไฮน์เคลผู้ใบหน้าเปรอะเปื้อนเลือดชูดาบไปจ่อลำคอของอัลเดบารัน ดวงตาสีฟ้าของเขากำลังแดงก่ำอย่างเดือดดาล
ไฮน์เคล: ไม่ว่ายังไง ――ไม่ว่ายังไง ก็จงรักษาสัญญาซะ ห้ามเบี้ยวเรื่อง [โลหิตมังกร]… เรื่อง [แม่มดแห่งริษยา] ก็ด้วย!
อัล: เข้าใจหรอกน่า ไม่คิดจะปล่อยให้โลกต้องจบเห่หรอกเฟ้ย เพื่อการนั้นถึงได้ต้องมี [ตะกละ] ไงล่ะ
เขาตอบกลับอย่างใจเย็นพลางชูมือห้ามมิให้ยาเอะตอบโต้ หลังจากที่จ้องตากันอยู่ในระยะเผาขนสักพัก ไฮน์เคลก็ผลักอัลหงายหลังและสบถว่า “แม่งเอ๊ย!”
หากเพิกเฉยต่อสภาพที่ย่ำแย่ของสมาชิกกลุ่ม อย่างน้อยทุกคนก็รอดชีวิตมาได้และชิงตัวรอยได้สำเร็จ จากนี้อัลแค่ต้องรับบทบาทผู้นำจำเป็นเพื่อช่วยกระตุ้นสมาชิก
อัล: ก่อนอื่นเลย ถ้าเป็นที่นี่ล่ะก็ น่าจะแอบกบดานอยู่ได้อีกสักพัก มาทานอาหารของยาเอะแล้วก็พักผ่อนกันสักหน่อยก่อนที่จะเริ่มเดินทางต่อกันเถอะ ความโกลาหลที่นครหลวงยังคง――
อัลดีดนิ้วเพื่อเรียกความสนใจสมาชิกกลุ่มและโน้มน้าวให้พวกเขาพักผ่อน โดยเฉพาะยาเอะกับไฮน์เคลติดตามช่วยเขามาไม่หยุดหย่อนถึงสามวัน
อัล: ห๊ะ
ตอนนั้นเองที่หินก้อนใหญ่ร่วงหล่นลงมาทับร่างของอัลเดบารัน พร้อมกันกับที่เขาได้ยินเสียงปีกแมลงดังแว่วอยู่ในหู
. ออตโต้ ซูเวนกำลังเดือดดาล ต้นตอของความโกรธคืออัลหรืออัลเดบารันผู้กลายเป็นคนบาปที่ก่อความผิดร้ายแรงอันมิอาจให้อภัยได้
บาปที่ว่าคือการหักหลังคนที่ห่วงใยเขาและการแหกกฏหมายเป็นร้อยมาตราของลูกุนิก้า แต่สิ่งน่าโมโหที่สุดคือการที่อัลมุ่งร้ายต่อคนใกล้ชิดของออตโต้
ปกติออตโต้เป็นคนรักสันติและเกลียดความขัดแย้ง สมัยที่เดินทางกับฟรูฟูเพียงสองคน ออตโต้มักจะหลีกเลี่ยงการใช้กำลังแก้ปัญหานอกจากจะเข้าตาจนจริงๆ
ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังเข้าร่วมฝ่ายเอมิเลีย หลังเปลี่ยนจากพ่อค้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับประเทศ ความมุ่งร้ายที่ออตโต้ต้องเผชิญมันหนักหนาขึ้นจนเขาต้องปรับตัวตาม
ออตโต้จะคอยยั้งมือตัวเองอยู่เสมอไม่ให้หลงระเริงไปกับอำนาจที่มีในฐานะผู้ช่วยดูแลอาณาเขตตระกูลเมเธอร์ส แต่เมื่อใดที่คนใกล้ชิดถูกทำร้าย ออตโต้จะไม่ยั้งมืออีกต่อไป
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบฉายา “เจ้าหน้าที่กิจการภายในสายบู๊” ที่สุบารุมักล้อ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายตั้งตัวเป็นศัตรูโดยที่ไม่คิดจะเจรจา ออตโต้ก็จะตอบโต้อย่างเหมาะสม
. ผลลัพธ์จากศึกที่นครหลวงคือเอมิเลียช่วยปกป้องชาวเมืองไว้ได้สำเร็จ ส่วนประชากรในเขตขุนนางก็ถูกอพยพล่วงหน้าโดยฝีมือของภาคีอัศวิน
ออตโต้กำหมัดแน่นเพื่อระงับความโกรธพลางประเมินสถานการณ์ ในหัวของเขายังคงปั่นป่วนไปหมดราวกับมีพายุฝน แต่บางครั้งสายฟ้าก็ช่วยส่องสว่างได้
เมื่อนานมาแล้วออตโต้เคยเจอเหตุฟ้าผ่าใส่สัมภาระที่เขาขนมาจนกลายเป็นขี้เถ้า แต่ฟรูฟูมกรปฐพีคู่หูปลอบใจเขาว่า “แค่ผมกับนายน้อยไม่บาดเจ็บก็น่าดีใจแล้วนี่ครับ”
เหตุครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ออตโต้หัดลดปัจจัยความเสี่ยงลงให้ได้ต่ำสุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเอาชีวิตไปแขวนไว้กับโชคชะตา
ซึ่งกลายเป็นที่มาของกลยุทธ์การต่อสู้ยามที่ออตโต้เดือดดาลและไม่คิดจะยั้งมืออีกต่อไป มันเป็นกลยุทธ์ต่อสู้ที่อาจถูกดูหมิ่นว่าไร้หัวใจได้
ออตโต้ตระหนักดีว่ากำลังรบที่มีอยู่ในนครหลวงมิอาจเทียบเคียงไรน์ฮาร์ดและกองทัพของเฟลท์ที่เคยพ่ายแพ้ต่ออัลเดบารันมาแล้วได้
เขาแอบหวังให้เอมิเลียกับวิลเฮล์มทำสำเร็จ แต่ลึกๆ ก็แอบรู้อยู่ในใจแล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ แถมพรรคพวกฝ่ายเอมิเลียคนอื่นก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
. ออตโต้ ซูเวนรู้ตัวดีว่าเขามิได้มีกำลังที่เทียบเคียงไรน์ฮาร์ด วาน แอสเทรอาหรือมีมันสมองที่เทียบเคียงวาลก้า ครอมเวลได้
สิ่งที่ออตโต้ทำได้คือการแสดงศักยภาพที่ตนมีอยู่ออกมาแบบเต็มร้อย และศักยภาพแบบเต็มร้อยของออตโต้ ซูเวนก็คือ――
ออตโต้: ――เหมืองหินร้าง ทางตะวันตกของนครหลวง
ออตโต้หรี่ตาลงและวาดสัญลักษณ์ลงบนแผนที่หลังได้รับรายงานจากแมลงกระพือปีก สติของเขาเริ่มขุ่นมัวและมีเลือดกำเดาไหลจนต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดไว้
สุบารุเคยเรียกอาการเหนื่อยล้าจากการใช้งานพรคุ้มครองมากเกินไปของออตโต้ว่า “โอเวอร์ฮีท” ซึ่งเป็นศัพท์ที่ทำให้การ์ฟีลตาลุกเป็นประกาย
ออตโต้: ถึงจะโอเวอร์ฮีทก็ไม่เห็นเป็นไร ต่อให้หัวฉีกจนแยกก็ไม่หยุดหรอกนะ ผมน่ะ
ออตโต้ดีดนิ้วมอบคำสั่งให้ฝูงแมลงซอดด้าจับตาดูต่อไป ข้อดีของแมลงซอดด้าคือการมันเป็นสิ่งมีชีวิตจิตรวมฝูงที่โน้มน้าวแต่ละตัวได้ไม่ยากนัก
ขอแค่โน้มน้าวได้สักตัว แมลงตัวอื่นในฝูงก็พร้อมจะให้ความร่วมมือตาม แถมค่าตอบแทนที่พวกมันมักขอยังเป็นแค่ [ความสงบใจ] เท่านั้น
ออตโต้ตั้งใจจะการันตีรางวัลนั้นให้ด้วยฐานะเจ้าหน้าที่กิจการภายในของตน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการออกคำสั่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเหล่าแมลง แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจทำได้
เช่น การบินไปเกาะ [มังกรเทพ] ที่บินหนีเพื่อระบุตำแหน่งจุดนัดพบและการผลักหินก้อนใหญ่ใส่หัวของศัตรูด้วยฝูงแมลงจำนวนแสนตัว
นอกจากนี้เจ้าแมลงซอดด้าก็ยังพบข้อความลับที่เฟลท์แอบทิ้งเอาไว้ให้ ณ คฤหาสน์บาริเอลที่ถูกทำลาย
ออตโต้: …ปากปล่องใหญ่โมโกเลด
มันคือชื่อของสถานที่แห่งหนึ่งในนครรัฐคารารากิ เดาไม่ยากว่าน่าจะเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งหากพวกเขาอยากไปนัก ก็เชิญเลย
ทว่า ออตโต้จะจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของกลุ่มอัลเดบารันโดยมิให้คลาดสายตาเด็ดขาด ต่อให้ตัวเขาเองจะต้องหูอื้อและเลือดกำเดาไหลมากแค่ไหน
ออตโต้: อย่าหลงคิดว่าจะได้หลับอีกเชียวล่ะครับ ――ตอนนี้โลกทั้งใบได้กลายเป็นศัตรูของพวกคุณแล้ว
เขาไม่มีพลังที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่าง [นักดาบเทวา] หรือ [ยอดกุนซือ] สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงแค่การตัดทอนพลังของศัตรูไปเรื่อยๆ
แต่นั่นแหละคือแนวทางการต่อสู้ของออตโต้ ซูเวนผู้ทุ่มเทแบบเต็มร้อยในฐานะเจ้าหน้าที่กิจการภายในของฝ่ายเอมิเลีย
. จบตอน