นอกเหนือจากศึกปะทะศัตรูตัวฉกาจที่กลุ่มของอัลเดบารันกำลังเผชิญอยู่ ปัจจุบันยังมีศึกใหญ่อยู่อีกสองศึกที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ศึกแรกคือการปะทะระหว่าง [นักดาบเทวา] ผู้พยายามจะหยุดยั้งการล่มสลายของโลกกับ [แม่มดแห่งริษยา] ที่ปรากฏร่างส่วนหนึ่งออกมาจากศาลเจ้าที่ตนถูกผนึกไว้
หากคู่ต่อสู้ของแต่ละฝ่ายเป็นคนอื่น ศึกนี้คงจะจบลงในพริบตา แต่พอเป็นคู่นี้มาเจอกันเอง การต่อสู้เลยจะดำเนินไป 7 วัน 7 คืนและจบลงด้วยการล่มสลายของโลก
ศึกที่สองคือการดิ้นรนของเหล่าผู้ที่ต้องไล่ล่า [ดวงดาวผู้ติดตาม] โดยมีเพทร่า เลย์เตเป็นกุญแจหลัก
. เพทร่าแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายผู้มีนามว่า “คลินด์” เลย เธอรู้แค่ว่าเขาเป็นพันธมิตร เป็นพ่อบ้านผู้ครบเครื่องที่คอยทุ่มเทรับใช้แอนเนโรเซ่ มิโลด
สาวใช้ของตระกูลเมเธอร์สทุกคนเคยผ่านการฝึกสอนและชี้นำจากคลินด์ผู้น่าเชื่อถือมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเฟรเดริก้า รัม หรือตัวเพทร่าเอง
ทว่า คลินด์กลับปฏิเสธที่จะเรียกตนเองว่าอาจารย์ เขามองว่าตนแค่ถ่ายทอดความรู้จากคนรับใช้รุ่นก่อนๆ ให้รุ่นน้องต่อก็เท่านั้น ไม่ได้มีความคิดอยากจะเป็นอาจารย์เลย
หากมองอย่างผิวเผิน คลินด์อาจจะดูเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เพทร่าสัมผัสได้ว่าเขาประเมินตัวเองเช่นนั้นจากใจจริงล้วนๆ
【เฟรเดริก้า: ท้ายที่สุดแล้ว ชายคนนั้นก็เป็นพวกด้อยค่าตัวเองค่ะ เพราะว่าประเมินค่าตัวเองต่ำ ก็เลยมองว่าภาระงานที่ทำไปไม่คู่ควรแก่การยกย่อง …คิดว่าคนอื่นเขาโง่นักหรือไงคะเนี่ย!】
เฟรเดริก้าเป็นบุคคลที่เพทร่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก แต่เธอไม่เห็นด้วยกับความเห็นนี้ 100% ถ้าหากคลินด์ด้อยค่าตัวเองจริง เขาควรจะแสดงความลังเลให้เห็นมากกว่านี้
ในมุมมองของเพทร่า คลินด์นั้นเป็นผู้ที่ไร้ซึ่งความลังเลและมิเคยด้อยค่าตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับตัวเธอ
. เพทร่า: ถ้าหากคิดจะทำอะไรแล้วล่ะก็ ฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ
หลายคนอาจจะมองว่าเธอหลงตัวเอง แต่เพทร่าเป็นคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพและพรสวรรค์ของตัวเองเช่นนั้น ขอแค่คนใกล้ชิดเห็นพ้องกับเธอ คนอื่นจะคิดอย่างไรก็ช่าง
ในฐานะผู้มีพรสวรรค์ เพทร่าดูออกว่าคลินด์เป็นคนมีความมั่นใจสูงและตระหนักถึงความสามารถแสนสุดยอดของตนดี เพียงแต่ว่าเขามิได้รู้สึกภาคภูมิต่อมันเท่านั้นเอง
เพทร่า: แต่ว่า ไม่ชอบอะไรแบบนั้นเลย
เพทร่าแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายผู้มีนามว่า “คลินด์” เลย แต่ว่าเธอไม่ค่อยจะชอบคลินด์เท่าไหร่นัก
ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เฟรเดริก้าทำตัวเข้มงวดกับคลินด์เป็นพิเศษทั้งที่เธอใจดีดุจแม่พระกับคนอื่น เพราะเพทร่าพอเดาออกว่าอารมณ์ใดเป็นต้นเหตุให้เฟรเดริก้ามีท่าทีเช่นนั้น
แล้วก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คลินด์เป็นคนสนิทที่รู้จักกับรอสวาลมาเนิ่นนานด้วย เพทร่าไม่ชอบคลินด์เนื่องจากเขายึดมั่นในวิถีที่เป็นขั้วตรงข้ามกับอุดมการณ์ของเธอ
. เพทร่า: ――เรากลับมาแล้ว ได้โปรดขอยืมพลังหน่อยเถอะ! ได้ยินใช่ไหมล่ะ ท่านพี่คลินด์!
ฝีเท้าของพาทรัชช่วยพากลุ่มของเพทร่ามาถึงเมืองมิรูล่าโดยเร็วที่สุดเพื่อยืมพลังของบุคคลที่จะช่วยให้ไล่ตามกลุ่มของอัลได้ทัน
แต่ทั้งที่ยังเป็นกลางวันแสกๆ เมืองมิรูล่ากลับกลายสภาพเป็นเมืองร้าง ประชากรที่ควรมีอยู่ราว 100-200 คนหายจ้อยไปหมดเลย
เมลี่: …นี่หรือว่า คุณลุงหมวกเกราะจะเก็บทุกคนทิ้งไปหมดแล้วกันน้า?
【สุบารุ: พูดจาน่ากลัวชะมัดยาด! เธอไม่ใช่เอลซ่านะเฟ้ย!】
เพทร่ากับอิมาจินารี่สุบารุได้ข้อสรุปตรงกันว่าชาวเมืองน่าจะอพยพหนีไปตั้งแต่เมื่อคืน เพราะสภาพเมืองไม่ได้เละเทะเหมือนถูกวอลคานิก้าถล่ม
การเห็นพ้องกับคนที่ชอบทำให้เพทร่าแอบเขิน แต่ตามหลักการอิมาจินารี่สุบารุที่อยู่ในหัวของเธอย่อมมีความคิดแบบเดียวกันอยู่แล้ว
??: ――เข้าใจผิดอยู่เล็กน้อย แต่การประเมินแบบนั้นก็มิได้ผิดพลาดหรอกครับ “เฉียบแหลม”
ตอนนั้นเองที่ชายผู้สง่าผ่าเผยปรากฏตัวออกมา มาดแสนลึกลับทำให้ตัวเขาโดดเด่นดุจจุดสีน้ำเงินที่ถูกแต้มลงไปบนกระดานวาดรูปสีขาว
ต่อให้ที่นี่จะมิใช่เมืองร้างแต่เป็นนครหลวงสุดแสนวุ่นวายหรืองานเทศกาลดอกไม้ไฟสุดครึกโครม บุคคลนี้ก็จะโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เสมอ
【สุบารุ: ช้าก่อน ตอนนี้กำลังรีบนาวโลดดิ่งความรู้ของเพทร่าอยู่】
เพทร่า: ――ท่านพี่คลินด์
คำตอบถูกเฉลยก่อนที่อิมาจินารี่สุบารุจะคิดทัน เพทร่ารีบกระโจนลงจากที่นั่งสารถีเพื่อไปหาพ่อบ้านผู้ครบเครื่องซึ่งตัดสินใจไม่รีบกลับคฤหาสน์ได้อย่างถูกต้อง
คลินด์: มาคุยกันเถอะ เพทร่า ดูท่าพวกเราจำเป็นต้องทำเช่นนั้น “เร่งด่วน”
. หลังจากที่ฟังคำอธิบายเหตุการณ์คร่าวๆ จากเพทร่าจนจบ คลินด์ก็สอบถามอาการของการ์ฟีลกับเอซโซซึ่งยังไม่ฟื้นทั้งคู่ ทั้งที่ปกติการ์ฟีลถึกทนมากๆ
เพทร่าเดาว่าการ์ฟีลน่าจะกระโจนเข้าไปบังการโจมตีของ [มังกรเทพ] และช่วยรักษาชีวิตของเอซโซ่ไว้ได้ แลกกันกับที่เขาเจ็บหนักเป็นพิเศษ
【สุบารุ: แสดงว่าการ์ฟีลรับการโจมตีของมังกรเข้าไปเต็มข้อเลยสินะ …แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอนี่จะเป็นคนถึงไหนถึงกันขนาดนี้ทั้งที่พึ่งจะอายุ 14 ปีเท่าเด็ก ม.2 อยู่เลย】
เพทร่า: อนึ่ง คุณการ์ฟเขาอายุ 15 ปีแล้วน่ะ จะว่าไปแล้ว อีกไม่นานฉันก็จะอายุครบ 14 ปีแล้วด้วยนะ
【สุบารุ: เวลามันผ่านไปเร็วแท้ มิหน่าล่ะเพทร่าถึงได้เปลี่ยนจากสาวน้อยคนสวยเป็นหญิงงาม】
เพทร่า: …
เพทร่าตอกย้ำตัวเองว่าอิมาจินารี่สุบารุเป็นเพียงจินตนาการในหัวเธอ แต่สุบารุตัวจริงก็เคยหลุดพูดอะไรทำนองนี้ออกมาเหมือนกัน
เพราะงั้นเพทร่าจึงแอบเหนื่อยใจไม่เบาที่กระทั่งสุบารุตัวจริงก็สามารถโพล่งคำชมแบบนี้กับสาวคนอื่นนอกจากเอมิเลียได้
. คลินด์ชี้แจงว่าสาเหตุที่เขาตัดสินใจอยู่ที่เมืองมิรูล่าต่อเป็นเพราะความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยซึ่งเขาได้แจ้งให้สุบารุกับเบียทริซทราบแล้ว
เนื่องจากสองคนนั้นถูกอัลเล่นงานทั้งที่เจ้าตัวได้เตือนไปแล้ว คลินด์จึงก้มหน้าก้มตาอย่างเศร้าโศกด้วยความรู้สึกผิดที่ตนมองข้ามเรื่องนั้นไป
【สุบารุ: เดี๋ยวดิ ยังฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าชั้นกับเบียทริซผิดเต็มประตูเลยนี่ ก็แหม คุณคลินด์เขาอุตส่าห์ปรึกษาอย่างจริงจังแล้วใช่ไหมล่ะ? แล้วพวกชั้นก็ดันไม่ยอมรับฟังคำปรึกษาใช่ไหมล่ะ? ผลลัพธ์มันก็เลยลงเอยแบบนี้ แหงอยู่แล้วล่ะนะ…】
เพทร่า: สุบารุกับเบียทริซจังไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ สุบารุช่วยหุบปากด้วย
【สุบารุ: โดนห้ามใส่เจตนาของชั้นลงในจดหมายสำนึกผิดของชั้นเฉยเลย!】
ต่อให้จะเป็นตัวสุบารุเอง เพทร่าก็จะไม่ยอมให้เขาตำหนิตัวเองโดยเด็ดขาด ระหว่างนั้นเมลี่ก็ถามเรื่องความผิดปกติที่คลินด์สัมผัสได้
คลินด์ตอบอย่างอ้อมค้อมว่าเขาติดใจเรื่องสมาชิกที่เดินทางไปยังหอสังเกตการณ์เพลอาเดสตั้งแต่แรก ซึ่งเพทร่าเองก็เห็นพ้องอยู่ในใจว่าตัวเธอคือส่วนเกิน
เมลี่จำเป็นสำหรับการเดินทางข้ามทะเลทราย การ์ฟีลเป็นกำลังรบที่พึ่งพาได้ มีเพียงเพทร่าเท่านั้นที่เป็นสมาชิกที่ใครจะมาแทนก็ได้
ถ้าหากเอมิเลีย รัม ออตโต้ หรือเฟรเดริก้าเป็นคนที่ไปแทนเธอ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะสามารถหยุดยั้งพฤติกรรมของอัลได้ตั้งแต่ต้น
จริงอยู่ว่าสมาชิกฝ่ายแต่ละคนต่างติดพันภารกิจสำคัญ ทั้งการรายงานสถานการณ์ที่วอลลาเคียและการช่วยดูแลชูลท์ แต่เพทร่ามองว่าเธอควรจะทำมากกว่านี้
เพทร่าเห็นแก่ตัวเองที่ไม่อยากอยู่แยกกับสุบารุหลังจากที่ห่างเหินกับเขามานาน เธอผิดเองที่อยากทำตัวให้มีประโยชน์ เธอผิดเองที่คิดว่าตนเองจะสามารถช่วยเหลือสุบารุแทนที่เอมิเลียหรือเรมได้
【สุบารุ: ――เพทร่า แบบนั้นมันออกจะคิดมากเกินไปนะ】
อิมาจินารี่สุบารุพยายามปลอบใจว่าด้านที่เพทร่าอยากจะไปกับเขาอาจนับเป็นความเห็นแก่ตัวสัก 1% แต่เจตนาอีก 99% ที่เหลือเป็นความเอาใจใส่อย่างแน่นอน
เพทร่าปฏิเสธคำปลอบใจนั้น เนื่องจากมันไม่ต่างอะไรจากบังคับให้สุบารุในหัวเธอพูดจาเข้าข้างเพื่อปลอบใจตนเอง
. ทั้งเพทร่าและอิมาจินารี่สุบารุไม่เคยเห็นอัลต่อสู้มาก่อน แต่การที่สามารถเอาชนะการ์ฟีลกับเอซโซ่มาได้ แสดงว่าเขาต้องแกร่งอยู่พอตัว
ทว่า ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ล้วนแต่ไร้ความหมายต่อหน้าไรน์ฮาร์ด เพราะงั้นความน่าสะพรึงกลัวของอัลจะต้องมีอะไรในก่อไผ่มากกว่าความแกร่งแน่นอน
【สุบารุ: ว่าตามตรง จนกระทั่งถึงตอนนี้ อะไรๆ มันก็ดูเข้าที่เข้าทางสำหรับอัลไปหมดเลย】
เพทร่า: แต่ว่า คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ดวงดีอยู่เสมอน่ะ จะต้องมีต้นตอที่ไม่เกี่ยวกับดวงอยู่แน่นอนสินะ
【สุบารุ: ถูกต้องตามนั้น】
เพทร่าเชื่อมั่นว่า [หวนกลับจากความ] คือพลังที่มีเพียงแต่คนที่อ่อนโยนอย่าง [สุบารุของเธอ] เท่านั้นที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่
[คัมภีร์ผู้วายชนม์] เล่มที่เธอได้อ่านเองก็คงเป็นแค่หนึ่งในความตายครั้งอดีตของสุบารุ อีกอย่าง มันไม่มีทางเลยที่สุบารุจะมิได้ตายเพิ่มอีกหลังความตายครั้งนั้น
การปะทะกับบิชอปมหาบาปที่โผล่มาหลายคน การผจญภัยที่หอสังเกตการณ์เพลอาเดส จักรวรรดิวอลลาเคียสุดแสนทรหด
กระทั่งอิมาจินารี่สุบารุยังยอมรับว่ามันไม่มีทางเลยที่ตัวเขาจะสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้โดยไม่เกิดความผิดพลาด
ตอนนี้เพทร่ารู้ซึ้งแล้วว่าสุบารุต้องรู้สึกผิดขนาดไหนที่ต้องปล่อยให้พริสซิลล่าตาย เขารู้สึกผิดจนยอมช่วยเหลืออัลทุกวิถีทาง แต่อัลทรยศความทุ่มเทนั้น
เพราะงั้น ถ้าหากอัลสังหารสุบารุกับเบียทริซไปแล้วก็ ต่อให้จะฉีกร่างกาย หัวใจ และดวงจิตของอัลออกเป็นชิ้นๆ มันก็คงยังไม่สาแก่ใจเพทร่า
ทว่า เพทร่าเลือกที่จะเชื่อมั่นว่าทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่ เมลี่เองก็เช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงของเมลี่คือหลักฐานอย่างดีถึงผลงานจากน้ำพักน้ำแรงของสุบารุ
. เพทร่า: ความไม่สบายใจที่ท่านพี่คลินด์รู้สึกน่ะไม่น่าจะผิดหรอก ถึงจะยังไม่รู้ต้นตอเรื่องนั้นก็เถอะ แต่ว่า ตราบใดที่ความไม่สบายใจนั้นยังไม่กระจ่าง ก็ไม่มีใครหยุดคุณอัลได้หรอก
คลินด์: …
เพทร่า: มีแค่พวกเราเท่านั้น มีแต่พวกเราที่สามารถหยุดคุณอัลได้ ――ต้องหยุดเขา จากนั้นก็เอาตัวสุบารุกับเบียทริซจังคืนมา
คลินด์: มีแค่พวกเธอที่สามารถทำได้งั้นเหรอครับ เป็นคำพูดช่างหาญกล้า ทว่า พลังใจแบบนั้นช่างน่าทึ่งเหลือเกินครับ “ชื่นชม”
เพทร่า: …
คลินด์: หากให้พูดตามตรง ตอนที่ [แม่มด] เริ่มเคลื่อนไหวที่สุดขอบของโลกจนนำไปสู่สถานการณ์ที่มีเพียง [นักดาบเทวา] สามารถหยุดยั้งได้นั้น เผลอทำใจไปครึ่งหนึ่งแล้วว่าคงไม่มีทางรื้อฟื้นได้ครับ “สำนึกเสียใจ” กระนั้น หากพวกเธอมีพลังใจที่มุ่งมั่นถึงเพียงนั้นล่ะก็――
เพทร่า: เดี๋ยวก่อน ท่านพี่คลินด์ ――ตอนที่ฉันพูดว่า “พวกเรา” น่ะ พวกเราที่ว่านั่นนับรวมท่านพี่คลินด์ด้วยนะคะ “พวกเธอ” อะไรกัน อย่าพูดเหมือนมันเป็นเรื่องของคนอื่นสิคะ
คลินด์: คือว่านั่น… “ลังเล”
เพทร่า: ถึงจะเป็นเวลาหน้าซิ่วหน้าขวาน ก็จะขอพูดออกมานะคะ ที่ผ่านมาท่านพี่คลินด์น่ะ ทั้งที่อยู่เคียงข้างพวกเรามาโดยตลอด แต่กลับทำหน้าเหมือนเป็นคนนอกเสมอเลยใช่ไหมล่ะ ฉันน่ะ ไม่ชอบอะไรแบบนั้นเลยค่ะ
ไม่ใช่แค่พวกเพทร่า คลินด์วางตัวเหินห่างกับทุกคน ทั้งแอนเนโรเซ่ที่เขาเทิดทูน รอสวาลที่เป็นสหายคนพาล และเฟรเดริก้าผู้มิอาจตัดขาดจากคลินด์ได้
เพทร่า: ราชอาณาจักรในอุดมคติของท่านพี่เอมิเลียน่ะ ไม่ยอมรับวิธีใช้ชีวิตแบบนั้นหรอกนะ
. เพทร่าเชื่อมั่นว่าไม่มีเรื่องใดที่ถือเป็น “เรื่องของคนอื่น” ตราบใดที่ยังชีวิตอยู่ ผู้คนควรที่จะได้พบเจอ พูดคุย และใช้เวลาร่วมกัน
แล้วก็ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการพบเจอผู้คน แทนที่จะเล่นโกงด้วยการเลือกเก็บแค่ส่วนดีๆ เอาไว้
เพทร่า: ขืนมัวแต่ทำแบบนั้นล่ะก็ สักวันหนึ่งสิ่งสำคัญอาจจะหลุดมือไปทั้งหมดนะคะ
คลินด์: ――สิ่งสำคัญอาจจะหลุดมือไปทั้งหมด งั้นเหรอครับ …”จุกอก”
ปกติคลินด์เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้านัก เพทร่าแทบไม่เคยเห็นเขายิ้ม โกรธ หรือเสียใจเลย
แต่ปัจจุบันสีหน้าของคลินด์กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น มันเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์หนึ่ง ――ความเศร้าโศก
คำพึมพำที่แฝงไปด้วยความเศร้าจุกอกรวมกับสีหน้าอันเศร้าโศกทำให้คลินด์ดูเปราะบางผิดปกติ ราวกับว่าเขากำลังโหยหาและนึกย้อนถึงอดีต
คลินด์: มันเกิดขึ้นแล้วน่ะสิครับ “รำลึกอดีต” ――เมื่อครั้งหนึ่ง กระผมเคยปล่อยให้สิ่งสำคัญหลุดมือไปหมดแล้วล่ะครับ เพทร่า “เยาะเย้ยตนเอง”
เพทร่ารู้สึกอับอายต่อประโยคก่อนหน้าของตนโดยทันที เธอโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิดว่าคลินด์อาจจะเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว
คลินด์: ――แต่ถึงกระนั้นก็เถอะครับ “ประทับใจ”
เพทร่า: เอ๋?
คลินด์: เมื่อครั้งหนึ่ง เคยปล่อยมือไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง จริงอยู่ว่านั่นทำให้กลายเป็นคนกลวงเปล่า แต่มันก็มีสิ่งที่กระผมได้รับและคอยสั่งสมอยู่เรื่อยมาจากเส้นทางที่ก้าวเดินหลังจากนั้นด้วยเช่นกัน “ทบทวนตนเอง” ――เพทร่า ความสัมพันธ์ที่มีร่วมกับพวกเธอเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นด้วย “ฟ้าบันดาล”
คลินด์กล่าวเช่นนั้นพลางเงยหน้าดูท้องนภาซึ่งหมู่เมฆแตกกระเจิงเพราะจุดจบของโลกที่กำลังเกิดขึ้น เพทร่าอดสงสัยมิได้ว่าเขาเห็นอะไรอยู่บนนั้นกันแน่
. คลินด์ตระหนักได้ว่าสาเหตุที่เขาตัดสินใจอยู่เป็นเพราะว่าไม่อยากปล่อยผ่านความรู้สึกไม่สบายใจของตน เขาจึงกล่าวขอโทษและขอบคุณเพทร่า
จากนั้นคลินด์ก็ประกาศว่าตนพร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ หลังจากนี้เขาจะช่วยคิดหาทางออกอีกแรงและเลิกดูอยู่เฉยๆ แล้ว
ถึงแม้พวกเธอจะยังไม่รู้จุดหมายของอัล แต่น่าจะมีคนเห็นตัว [มังกรเทพ] อยู่บ้างแน่ๆ ที่เหลือก็แค่ต้องพึ่งพาพลังเทเลพอร์ตของคลินด์เพื่อขจัดระยะห่างทิ้งให้หมด
คลินด์: น่าเสียดายที่ต้องแจ้งว่าวิชาเคลื่อนย้ายของกระผมมิอาจใช้งานได้อย่างไม่จำกัดครับ หากมองในแง่ข้อจำกัดแล้ว มันเป็นพลังที่ไม่ค่อยจะหยืดหยุ่นด้วยซ้ำครับ “น่าเสียดาย”
เพทร่า: ท่านพี่คลินด์คนขี้โม้! คนทรยศ!
【สุบารุ: อย่าทำให้คนอื่นเขาคาดหวังแบบนั้นเซ่! ผิดหวังในตัวท่านพี่คลินด์มาก!】
เมลี่งงว่าเพทร่าจะผิดหวังอะไรขนาดนั้น นิสัยส่วนหนึ่งของสุบารุจะคงกระทบเธอไปด้วย แต่ถ้าหากคลินด์ใช้พลัง [เคลื่อนย้าย] ไม่ได้ เขาก็เป็นแค่เพียงพ่อบ้านหนุ่มหล่อคนหนึ่ง
คลินด์: มันไม่เชิงว่าเป็น [การเคลื่อนย้าย] หากแต่เป็น [การบีบอัด] ของมิติและเวลามากกว่าครับ “อธิบาย” โดยหลักการแล้วมันคือการ [บีบอัด] ระยะห่างที่ควรใช้ในการเดินทางกับเวลาที่จำเป็น แต่ว่า มันอาจส่งผลกระทบต่อวิถีทางของโลกอย่างใหญ่หลวงได้ จึงจำเป็นทำให้โอโด ลากูน่ายอมมองข้ามเสียก่อน “เข้าทาง”
【สุบารุ: โอโด ลากูน่า? คืออะไรฟะนั่น?】
เพทร่า: แหล่งกำเนิดของมานาและสิ่งต่างๆ ถ้าอิงจากความรู้ของสุบารุก็คงจะเป็นตัวตนที่คล้ายกับพระเจ้าที่ไร้จิตสำนึก …ล่ะมั้ง
กระทั่งรอสวาลยังยอมรับว่าเขามิได้เข้าใจหลักการของโอโด ลากูน่าอย่างถ่องแท้เลย เพราะงั้นจะนับประสาอะไรกับเพทร่าที่เป็นเพียงนักเวทฝึกหัด
เธอรู้แค่ว่าโอโด ลากูน่าคือขุมพลังมหาศาล มันเป็นสิ่งที่อยู่บนจุดสูงสุดเช่นเดียวกับ [นักดาบเทวา] [มังกรเทพ] และ [แม่มดแห่งริษยา]
. เมลี่: แล้วถ้าเกิดว่าหลอกโอโด ลากูน่าอะไรนั่นไม่สำเร็จ จะเป็นยังไงงั้นเหรอ?
คลินด์: ไม่รู้เลยครับ เนื่องจากว่าไม่รู้นี่แหละ มันถึงได้น่าสะพรึงกลัว “สั่นกลัว”
ท่าทีของคลินด์บ่งบอกว่าเขาพูดความจริง แต่เพทร่านึกขึ้นได้ว่าคลินด์เคยใช้พลังนี้มาก่อนแล้ว แสดงว่ามันต้องมีวิธีการบางอย่างที่ทำให้เขาหลอกโอโด ลากูน่าได้
เวทมนตร์ต้องการมานา วิญญาณจะยอมทำตามต่อเมื่อมีสัญญา เพราะงั้นโอโด ลากูน่าจะยอมอนุญาตบางสิ่งก็ต่อเมื่อยอมเสียค่าใช้จ่ายบางอย่างให้
อิมาจินารี่สุบารุรู้สึกขัดใจแปลกๆ ที่ตัวตนระดับพระเจ้ายอมรับสินบนด้วย แต่เพทร่ามองว่าพระเจ้าที่เรียกร้องค่าใช้จ่ายยังน่าเชื่อถือกว่าพระเจ้าที่มอบบางสิ่งให้แบบฟรีๆ เสียอีก
โลกใบนี้ไม่ได้ถูกสร้างให้มีความยากระดับอีซี่ เพราะงั้นไม่มีสิ่งใดที่ได้มาฟรีโดยที่มิต้องสังเวยบางสิ่งเพื่อแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน
คลินด์: ――ศักยภาพครับ “คำตอบ”
คลินด์ยอมให้คำตอบอย่างไร้ความลังเล จากนี้เป็นต้นไปเขาได้ยอมรับพวกเพทร่าเป็นสหายที่ต้องเผชิญหน้าอุปสรรคร่วมกันอย่างถ่องแท้
คลินด์: ศักยภาพที่สามารถส่งผลกระทบต่อโลกหรือก็คือโอโด ลากูน่า นั่นแหละคือค่าใช้จ่าย นั่นแหละคือเงื่อนไขการใช้อำนาจของปัจจัยแม่มดบาป [โศกา] ที่กระผมถือครองอยู่ครับ ――“สารภาพ”
. จบตอน